อัยการ ‘ไม่ฟ้อง’ บ.เครือญาติ อดีต รมต. คดีถมที่ดินรุกแม่น้ำเจ้าพระยา

เขียนวันที่

วันจันทร์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 14:00 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

Tags

อัยการสั่งไม่ฟ้อง บ.เครือญาติ ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ อดีต รมต. คดีรุกแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ ระบุถมพื้นที่อยู่ในโฉนดตนเอง ซื้อต่อจาก บ.บริหารสินทรัพย์ไทย ส่วน 1 แปลง ถมล้ำเล็กน้อย แต่จ้างคนอื่น ไม่ได้ทำเอง ขณะที่ชาวบ้านยื่นร้องศูนย์รับเรื่องทำเนียบฯ อีก

กรณีกรมเจ้าท่า ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีต่อ บริษัท บางซื่อ จำกัด ถมที่ดินรุกล้ำแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณซอยวัดมหาวงษ์ และวัดโยธินประดิษฐ์ ต.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมา วันที่ 23 มิ.ย. 2557 พ.ต.อ.อรรถพล อนุสิงห์ ผู้กำกับการ สภ.สำโรงใต้ จ.สมุทรปราการ มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา 3 รายคือ บริษัท บางซื่อ จำกัด ,นายวิทยา พร้อมทวีสิทธิ์ และ น.ส.พีรดา พร้อมทวีสิทธิ์ ในความผิดร่วมกันบุกรุกที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยการเททิ้ง หิน กรวด ดินทราย เศษวัสดุ ถมล่วงล้ำเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือเป็นที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ความคืบหน้าคดีนี้ อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2559 นายธนัท อุไรฤกษ์กุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการภาค 7 รักษาการในตำแหน่งอัยการ จ.สมุทรปราการ ได้ส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนโดยมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ระบุว่า พิจารณาแล้วเห็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 700 ,701 และ 702 เป็นที่ดินที่ออกโฉนดตังแต่ ร.ศ.123 โดยมีหลักฐานการซื้อขายเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและจดทะเบียนจำนองต่อเนื่องกันมานับสิบครั้ง จนเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2556 ผู้ต้องหาที่ 1 ซื้อที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าวมาจาก บริษัท บริหารสินทรัพย์ไทย จำกัด ตามเนื้อที่ที่ปรากฏในโฉนด

ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมตลอดจนผู้ต้องหาที่ 1 ได้แสดงเจตนาที่จะครอบครองและถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามจำนวนเนื้อที่ในโฉนดที่ดินทั้งสามแปลง และแม้ที่ดินทั้งสามแปลงจะมีน้ำท่วมถึงบางส่วนแต่ไม่ได้ท่วมตลอดเวลา เมื่อน้ำลงจะเห็นที่ดินทั้งสามแปลง โดยมีต้นหินที่เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมทำไว้กั้นอยู่ตามแนวโฉนดที่ดินเพื่อป้องกันนำกัดเซาะตลิ่ง และไม่ปรากฏว่า อธิบดีกรมที่ดินได้เคยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่น้ำท่วมถึงให้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินตามโฉนดดังกล่าวจึงไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่ใช่ทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 การเททิ้งหิน กรวด ดิน ทราย ลงในแม่น้ำของผู้ต้องหา จึงไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าท่า

หนังสือความเห็นของอัยการระบุว่า เมื่อที่ดินตามโฉนดทั้งสามฉบับดังกล่าวไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่ใช่ทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้ต้องหาที่ 1 จึงมีสิทธิเหนือที่ดินที่ตนมีกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำการถมที่ดินทั้งสามแปลง โดยแปลงโฉนดเลขที่ 700 และ 701 ได้ถมในภายคันหินแสดงเขตที่ดิน ส่วนแปลงหมายเลข 702 มีการถมล้ำเข้าในแม่น้ำมีเนื้อที่ 91.6 ตารางวา ซึ่งเป็นเนื้อที่เพียงเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวที่มีเนื้อที่ถึง 5 ไร่เศษ ทั้งการถมดังกล่าวผู้ต้องหาทั้งสามก็ไม่ได้ดำเนินการด้วยตนเอง แต่ได้ว่าจ้างผู้อื่นดำเนินการถม จึงอาจเป็นไปได้ที่ผู้รับจ้างถมล้ำเข้าไป เนื่องจากแนวหินที่เป็นต้นกั้นแนวเขตที่ดินบางส่วนชำรุด และมีเศษวัชพืชปกคลุม หรืออาจเกิดจากวัสดุที่ใช้ถมลงภายในเขตที่ดินไหลรุกล้ำออกไปนอกเขตเข้าไปในแม่น้ำ เนื่องจากไม่มีการทำเขื่อนกั้นไม่ให้วัสดุที่ใช้ถมไหลออกไป กรณีนี้จึงฟังได้ว่า ผู้ต้องหาทั้งสามไม่มีเจตนาที่จะบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามข้อกล่าวหา

สำนักข่าวอิศรารายงานว่า บริษัท บางซื่อ จำกัด ทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท มี นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ อดีต ส.ว.และ ส.ส. จ.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย และเป็นภรรยา นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ,นายพานิช พร้อมพัฒน์ บุตรชายนายสันติ และนางวันเพ็ญ ,นายวิทยา พร้อมทวีสิทธิ์ น้องชายนายสันติ ,นายพิชัย พร้อมทวีสิทธิ์ หลานชายนายสันติ ,นางนวลผจง สาลีผล อาชีพรัชราชการ น้องสาวนางวันเพ็ญ ,นายภาสกร ดมหอม และ นายไพรัตน์ จันทร์รอด คนใกล้ชิด เป็นผู้ร่วมจดทะเบียนก่อตั้ง ต่อมา ได้โอนหุ้นให้บุคคลในบริวารเครือข่ายหลายครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2560 นายสมชัย เศรษฐอนันต์ ชาวบ้านใน จ.สมุทรปราการ ได้ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสูด และศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล ขอให้พิจารณาดำเนินการนำคดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาล

13260 sunti p1