"...นโยบายด้านรัฐวิสาหกิจนั้น ประเทศไทยสามารถรักษาทุนรัฐ ทรัพย์สินแผ่นดิน หรือรัฐวิสาหกิจไว้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องแปรรูป แต่สามารถหากำไรและรายได้เข้ารัฐได้มหาศาล ไม่ต่างจาก ปตท. ที่กำไรหลายแสนล้าน โดยต้องแยกรัฐวิสาหกิจที่หากำไรให้รัฐออกมา และแยกรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริการสาธารณะแก่ประชาชน ซึ่งจะไม่ได้คิดกำไรต้นทุนตามแนวคิดทุนนิยมเสรี..."
รัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ถูกกล่าวหาว่าบริหารประเทศแบบทักษิณสไตล์ “ทักษิณวางแผน แพทองธารทำ” เพราะปัจจุบันมือทำงานในรัฐบาลทักษิณเก่าย้ายเข้ามาทำงานแทนในตำแหน่งเดิมในรัฐบาลแพทองธารแทบทั้งสิ้นหลายครั้งที่คุณทักษิณแสดงวิสัยทัศน์จึงกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลไปโดยปริยาย
แต่ต้องขอสนับสนุนนโยบายล่าสุดในการลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนโดยเร่งด่วน แต่ไม่ใช่การลดค่าไฟโดยเอางบประมาณรัฐไปชดเชยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) แต่ต้องยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเอกชนที่ไม่เป็นธรรมและทำให้เกิดการผูกขาดการผลิตไฟฟ้ากว่า 25 ปี ผสมกับนโยบายรัฐบาลเก่าที่ไปลดการผลิตของ กฟผ.ลงเพื่อไปรับซื้อจากเอกชนแทน ทำให้กลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้าร่ำรวยขึ้นแบบก้าวกระโดด และทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงเพราะไปชดเชยให้เอกชนผ่านค่า FT
เรื่องนี้รัฐบาลควรทำนานแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้กลุ่มทุนอิ่มก่อนค่อยทำ เพราะคุณทักษิณก็เพิ่งไปตีกอล์ฟกันมา แต่เหตุผลจริงๆ แล้ว น่าจะมาจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ตกต่ำ วิกฤต และเหลื่อมล้ำ ปัญหาค่าไฟฟ้าที่แพงมากทำให้การลงทุนจากต่างประเทศน้อยลงและย้ายฐานการผลิตหันไปลงทุนที่เวียดนามกันแทนจำนวนมาก เพราะค่าไฟที่เวียดนาม 2.69 บาทต่อหน่วย แต่เมืองไทย 4.15 บาทต่อหน่วย จึงไม่มีใครอยากมาลงทุนในไทย ก็เลยถึงเวลาที่รัฐบาลจะหาวิธีดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาโดยการลดค่าไฟฟ้าลง ซึ่งสามารถทำได้เพราะที่ผ่านมารัฐไปทำสัญญาผูกขาดการผลิตไฟฟ้าให้เอกชน เพราะหาก กฟผ.ผลิตเองทั้งหมด หรือมากกว่า 75% ค่าไฟก็จะตกประมาณเพียงแค่ 2 บาทกว่าต่อหน่วยเท่านั้นเอง แต่กลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้าจะไม่ร่ำรวยขึ้น
ปัจจุบัน กฟผ.เหลือกำลังผลิตไฟฟ้าเพียง 32% ทั้งที่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ แต่รัฐบาลไปออกแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 กำหนดให้ กฟผ. ลดการผลิตไฟฟ้าลงตามสัญญาให้เหลือเพียง 24% เพื่อที่จะใช้เงินของรัฐ ภาษีของประชาชน ไปซื้อไฟฟ้าจากโรงงานเอกชนแทน ตามนโยบายรัฐบาลก่อนเอื้ออาทรกลุ่มทุน
ในอดีตกระบวนการแปรรูปการณ์ไฟฟ้าและรัฐสาหกิจเป็นนโยบายตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งแปรรูป ปตท.สำเร็จ และต่อมาพยายามแปรรูป กฟผ. แต่ไม่สำเร็จ กลุ่มทุนจึงพยายามแทรกแซง โดยตั้งบริษัทลูกเพื่อผลิตไฟฟ้าส่งให้ กฟผ. และสั่งให้ลดการผลิตไฟฟ้าของกฟผ.ลงให้มากที่สุดเพื่อรับซื้อจากเอกชนแทน ซึ่งรัฐบาลคุณประยุทธ์ก็ทำต่อมาเหมือนเดิม และอนาคตข้างหน้าอาจจะมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพิ่มเติมตามแนวคิดที่คุณทักษิณเคยเผยออกมา หากรัฐบาลใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่โดยไม่ทบทวน
เนื่องจากปัจจุบันทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจ 52 แห่งรวมกันราว 18.4 ล้านล้านบาท จึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มทุนธุรกิจการเมืองจ้องเขมือบ ไม่ต่างจากยุคทหารที่ส่งคนของตนเองเข้าไปเป็นบอร์ดเพื่อรับผลประโยชน์ แต่รัฐบาลทุนนิยมเสรีหนักกว่านั้นเพราะต้องการตัดซอยผลประโยชน์จากทรัพย์สินมหาศาลดังกล่าวให้เอกชนกลุ่มทุนพวกพ้องผ่านการแปรรูปและหาเหตุแปรรูปโดยทำให้ขาดทุนเพื่อแปรสภาพ
วิสัยทัศน์รัฐบาลและคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาตั้งแต่ Vision for Thailand 2024 จึงมักผูกพันกับโครงการและโอกาสของกลุ่มทุนแทนโอกาสของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงานใต้ทะเลพื้นที่ทับซ้อน การซื้อรถไฟฟ้าคืนรัฐแต่ให้เอกชนบริหารเหมือนเดิมแทนที่รัฐจะบริหารเอง นโยบายสถานบันเทิงครบวงจรแต่แอบแฝงคาสิโน นโยบายด้านดาวเทียมที่กลุ่มทุนยึดคืนจากรัฐแม้ว่าจะสิ้นสุดสัญญา 30 ปีแล้ว
ยกตัวอย่างรัฐวิสาหกิจการบินไทยที่ไม่ควรเจ๊งก็สามารถทำให้เจ๊งได้ เพราะการบริหารแบบระบบอภิสิทธิ์และการผูกขาดผลประโยชน์มากมายที่ราชการและนักการเมืองรุมทึ้งบริษัทกันจนเละ เต็มไปด้วยหนี้สินจนต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟู แต่ก่อนแปรรูปก็แอบเอาเงินรัฐซื้อเครื่องบินทิ้งไว้หลายลำหน่อย เพราะต่อไปทรัพย์สินจะตกเป็นของเอกชน ซึ่งวันนี้การบินไทยก็ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจอีกแล้วเพราะรัฐถือครองต่ำกว่า 50% เป็นต้น
นโยบายรถไฟฟ้าจะขอซื้อคืนมาเป็นของรัฐแต่จะให้เอกชนบริหารแทน เท่ากับเอกชนได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งที่รัฐสามารถบริหารหากำไรให้รัฐเองได้เหมือนรถไฟฟ้าสายสีแดง กรณีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี ในเมื่อรัฐลงทุนแล้วและกำลังจะทำรายได้แต่กลับเอาไปให้เอกชนบริหารหากำไรเข้ากระเป๋าตัวเองแทนตั้งแต่ปี 2564 นี่คือความล้มเหลวของรัฐอย่างชัดเจน
นโยบายด้านรัฐวิสาหกิจนั้น ประเทศไทยสามารถรักษาทุนรัฐ ทรัพย์สินแผ่นดิน หรือรัฐวิสาหกิจไว้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องแปรรูป แต่สามารถหากำไรและรายได้เข้ารัฐได้มหาศาล ไม่ต่างจาก ปตท. ที่กำไรหลายแสนล้าน โดยต้องแยกรัฐวิสาหกิจที่หากำไรให้รัฐออกมา และแยกรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริการสาธารณะแก่ประชาชน ซึ่งจะไม่ได้คิดกำไรต้นทุนตามแนวคิดทุนนิยมเสรี
1.รัฐวิสาหกิจที่หากำไรให้รัฐได้ ไม่จำเป็นต้องทำให้ขาดทุนแล้วแปรรูปแจกจ่ายเอกชน เหมือน ปตท. เพราะถ้าหากเอกชนสามารถทำให้กำไรได้ รัฐก็สามารถทำได้ โดยอาจใช้รูปแบบทุนนิยมโดยรัฐ เช่น ปตท. ควรเป็นของรัฐ 100% มีประชาชน 70 ล้านเป็นหุ้นห่วน กำไรหลายแสนล้านควรเป็นของประชาชนทุกคน ไม่ใช่หุ้นส่วนไม่กี่คนในตลาดหลักทรัพย์ ประเทศมาเลเซียผลิตน้ำมันเบนซิน 95 ขายให้ประชาชนราคาถูก แต่สำหรับต่างชาติที่มาเติมน้ำมันในประเทศขายให้ใช้เฉพาะน้ำมันเบนซิน 97 ในราคาที่แพงกว่า
กฟผ.ถ้าให้ผลิตเอง 100% จำหน่ายให้เอกชนและตลาดโรงงานอุตสาหกรรม ย่อมหารายได้เข้ารัฐได้มากมายและขายให้ประชาชนราคาถูกได้ด้วย อย่าลืมว่าโครงข่ายไฟฟ้าตามถนนหนทางต่าง ๆ ล้วนเป็นบริการสาธารณะที่ไม่ได้คิดราคา แต่ถ้าเป็นเอกชนย่อมคิดราคาเพิ่มขึ้นแน่นอน
นึกภาพตามว่า รถไฟฟ้า รางและทางหลวงแผนดินต่าง ๆ ถ้าเรามีรัฐวิสาหกิจที่ทำเองโดยไม่ต้องไปจัดซื้อจัดจ้างเอกชนทำ รัฐก็จะมีรายได้มหาศาลและลดรายจ่าย แต่ทุกวันนี้ รัฐไปจัดซื้อจัดจ้างให้เอกชนทำแทนเกือบทั้งหมดโดยใช้งบประมาณแผ่นดินมหาศาล ราชการและรัฐวิสาหกิจมีหน้าที่แค่ตรวจสอบ แต่ถ้าเกิดรัฐมีหน่วยงานที่สามารถทำเองได้ โดยใช้เจ้าหน้าที่รัฐและทรัพยากรแผ่นดิน เช่นการสร้างถนนหนทางทั่วประเทศ นึกภาพตามอีกว่าถ้าบริษัทเอกชนทั้งหลาย เช่น ช.การช่าง อิตาเลียนไทย หรือซิโน-ไทย (ขออภัยที่เอ่ยนามเพื่อเปรียบเทียบเป็นความรู้เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ) เป็นหน่วยงานของรัฐ เหมือนที่ประเทศจีน โดยรัฐสร้างรางรถไฟฟ้า สร้างถนนหนทางเอง การใช้งบประมาณจะประหยัดแค่ไหน แต่ทุกวันนี้รัฐบาลไม่มีวิสัยทัศน์และนโยบายสนับสนุนให้มีรัฐวิสาหกิจลงทุนทำเอง ไม่ส่งเสริมนวัตกรรม จนวันนี้การรถไฟก็สร้างรางรถไฟเองไม่ได้แล้ว
2.รัฐวิสาหกิจที่เป็นบริการสาธารณะและความมั่นคงของชาติ ส่วนนี้ไม่ต้องคิดกำไรขาดทุน แต่ต้องมีไว้เพื่อประกันความมั่นคงและทำหน้าที่บริการประชาชน โดยใช้รูปแบบสังคมนิยมโดยรัฐ เช่น ความมั่นคงด้านพลังงาน โทรคมนาคม ทรัพยากร ถนนหนทาง ขนส่งทางราง รถไฟ-รถไฟฟ้า อาหารและยา การศึกษาและสาธารณสุข ฯลฯ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จะให้เอกชนมาควบคุมไม่ได้ รัฐสามารถใช้เทคโนโลยีในระบบราชการเพื่อการบริหารที่มีประสิทธิภาพได้ นอกจากดูแลประชาชน-บริการสาธารณะแล้ว ส่วนเกินยังสามารถควบคุมขายให้เอกชนหรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่หารายได้เพิ่มให้รัฐได้ด้วย
ยกตัวอย่างการรถไฟปัจจุบันคิดราคาโดยสารต่ำกว่าต้นทุนเพื่อบริการประชาชน จะคิดในแง่กำไรขาดทุนไม่ได้ เพราะเป็นบริการสาธารณะ เหมือนที่เคยทำนโยบายรถไฟฟรี รถเมล์ฟรีเพื่อคนยากจน เหมือนกับเรื่องการศึกษา-มหาวิทยาลัย สุขภาพและยา-โรงพยาบาล น้ำประปา-ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐในการดูแลโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โดยส่วนที่เป็นบริการประชาชนรัฐไม่จำเป็นต้องหากำไรจากส่วนนี้
ประเทศไทยต้องการรัฐบุรุษ หรือ State Man แบบอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ใครก็ได้มาบริหารประเทศตามระบอบทุนนิยมเสรีจนเกิดความเหลื่อมล้ำไปทั่ว ไม่มีทุนนิยมที่เอื้ออาทรหรือทุนนิยมที่มีหัวใจ เพราะระบอบทุนนิยมเน้นการกอบโกยกำไรเป็นหลักโดยอ้างกลไกตลาดแต่นำไปสู่การผูกขาดในที่สุด
ถ้าหากเราหนีทุนนิยมไม่พ้นแต่ประเทศต้องอยู่ให้ได้และมีเสถียรภาพ รัฐจะต้องเข้ามากำกับควบคุมทุนนิยมและกลไกตลาดให้เกิดความเป็นธรรมให้ได้ โดยใช้รูปแบบสังคมนิยมประชาธิปไตยเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรม การตลาดที่แฟร์ไม่ใช่ฟรี (fair trade, not free trade)
แต่ทุกวันนี้เรายังหาผู้นำที่เป็น State Man ที่กล้าหาญที่จะนำการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ที่จะรื้อปัญหาประเทศจากโครงสร้างทุนนิยมที่หมักหมมเอารัดเอาเปรียบ รัฐบาลคุณแพทองธารกล้าหาญเพียงพอไหมที่จะทำ หรืออยากจะเป็นแค่รัฐบาล Stunt Man ที่เป็นแค่ตัวแสดงแทนในเวลานี้
นายเมธา มาสขาว
ผอ.สถาบันสังคมประชาธิปไตย และผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ