
"...เป็นอันว่าคุณยิ่งลักษณ์ต้องถูกตัดสินว่ามีความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ในทัศนะและความรู้สึกจริงๆของผู้เขียนแล้ว มองว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็น “เหยื่อ” (Victim) มากกว่าเป็น “ตัวการ” หรือ “เจ้ากี้เจ้าการ” (Perpetrator) ของนโยบายหรือเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่เธอไปเชื่อใครบางคนที่เป็นเจ้าของความคิดนโยบายที่แสนสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ แทนที่จะฟังผู้ที่หวังดีจริงๆ ซึ่งรวมถึงที่ปรึกษาใหญ่ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลของเธอเองด้วย..."
คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้คุณยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรีต้องชดใช้ความเสียหายให้แก่รัฐในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลของเธอระหว่างปี 2554 ถึงปี 2557 เป็นจำนวนกว่าหมื่นล้านบาท ได้ไปสะกิดความทรงจำที่เจ็บปวดของผู้เขียนเมื่อกว่าสิบปีมาแล้วเมื่อครั้งยังทำงานอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ในฐานะกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการทั้ง 9 คน
โดยส่วนตัวแล้ว ที่เป็นความเจ็บปวดก็เพราะต้องมีหน้าที่ต้องไต่สวนคดีของคุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งถึงแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ตอนนั้นก็ได้รุ้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมชั้นเรียนในโครงการฝึกอบรมของวิทยาลัยการตลาดทุน
และถึงแม้ว่าเมื่อตอนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคุณยิ่งลักษณ์นั้น ผู้เขียนจะได้เกษียณจาก ป.ป.ช. ไปแล้ว ก็ยังอดทุกข์ใจไม่ได้ว่า คุณยิ่งลักษณ์คงต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้ายแน่นอน ซึ่งในที่สุดก็เป็นเช่นนั้นจริงๆในทางอาญา และคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 ก็เป็นชะตากรรมที่เลวร้ายอีกครั้งหนึ่งในทางแพ่ง
นับตั้งแต่ผู้เขียนได้เข้าไปทำงานที่ ป.ป.ช. ตั้งแต่เมื่อปลายปี 2549 ก็ได้เห็นแล้วว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดต่างๆในขณะนั้นมีปัญหาเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับการตรวจคุณภาพข้าว การเก็บรักษา การะบายข้าว และอื่นๆ ซึ่งนโยบายการอุดหนุนของรัฐในพืชผลอื่นๆ เช่น มันสำปะหลัง ยาง หรือ ข้าวโพด ก็คล้ายคลึงกัน
ผู้เขียนในฐานะนักเศรษฐศาสตร์โดยอาชีพจึงริเริ่มให้มีการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบโดยใช้เงินวิจัยของ ป.ป.ช. เอง จ้างนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศในการอุดหนุนราคาพืชผลต่างๆหลายชนิดรวมทั้งข้าวด้วย
ข้อสรุปที่ได้ก็คือว่า นโยบายการอุดหนุนพืชผลการเกษตรที่เหมาะสมที่สุดคือการกำหนดราคาพืชผลที่เหมาะสมกับความเป็นอยู่หรือการอยู่รอดของเกษตรกร แล้วชดเชยให้เกษตรกรโดยตรงหากราคาตลาดที่ขายได้ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่กำหนดนี้ ซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกหลักเศรษฐศาสตร์โดยการไม่บิดเบือนกลไกตลาด ใช้ต้นทุนน้อย และเป็นการป้องการการทุจริตของผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายด้วย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เสนอแนวนโยบายนี้ให้แก่รัฐบาลของคุณสมัคร สุนทรเวช แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลจากคุณสมัครและคุณสมชาย มาเป็นคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แนวนโยบายนี้ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์โดยการเรียกชี่อใหม่ว่าเป็นนโยบายประกันรายได้ และเพิ่มเติมแนวทางปฏิบัติของตนเองเล็กน้อย
เมื่อจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2554 โดยพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของคุณยิ่งลักษณ์ นโยบายการอุดหนุนการเพาะปลูกและการซื้อขายข้าวก็มีทีท่าว่าจะเปลียนไปอีกเนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้หาเสียงว่า หากได้เป็นรัฐบาลจะมีโครงการรับจำนำข้าวที่จะให้ราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดถึงร้อยละ 50
พวกเราใน ป,ป.ช. รุ้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะจากประสบการณ์เราแน่ใจว่าจะเกิดการทุจริตอย่างมโหฬาร และเสี่ยงต่อความล้มเหลวในทางเศรษฐศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง
เราจึงได้พยายามที่จะแสดงจุดยืนต่อสาธารณะในส่วนนี้ และเมื่อคุณยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้งและได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็มีความพยายามที่จะสื่อสารกับทางรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ถึงความเสี่ยงในเรื่องต่างๆของนโยบายรับจำนำข้าวทุกเม็ดของรัฐบาลในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดร้อยละ 50 นี้
ผู้เขียนเองถึงกับส่งจดหมายส่วนตัวไปให้คุณยิ่งลักษณ์โดยทางอีเมลในวันเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ขอให้ยกเลิกอย่าทำนโยบายนี้เมื่อชนะการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบ
หนึ่งวันก่อนถึงวันเริ่มโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ คือวันที่ 7 ต.ค. 2554 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะได้ส่งหนังสือถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ เตือนให้เห็นถึงความเสี่ยงในการทุจริตและความสูญเสียทางด้านทรัพยากร และขอให้ยกเลิกหรือทบทวนนโยบายนี้เสียใหม่ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากรัฐบาลแต่อย่างใด
เพียงฤดูแรกของปี 2555 เราก็เห็นร่องรอยของการทุจริตและความไร้ประสิทธิภาพของโครงการนี้แล้ว รัฐบาลก็ยังไม่ทำอะไร
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการไปยังรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ทบทวนนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลในขณะนั้น
คราวนี้ได้ผลในระดับหนึ่ง กล่าวคือ รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ขอให้หน่วยงานทางเศรษฐกิจทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ฯ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และอื่นๆ ส่งความเห็นเข้ามา ซึ่งข้าราขการประจำของหน่วยงานเหล่านี้ ต่างก็มีความเห็นไม่สนับสนุนนโยบายรับจำนำข้าวในรูปแบบที่ทำอยู่ทั้งสิ้น
มีข้อยกเว้นอยู่กระทรวงเดียวเท่านั้นที่สนับสนุน คือกระทรวงพาณิชย์ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมข้าราชการประจำของกระทรวงพาณิชย์กระทรวงเดียวเท่านั้นที่ติดคุกพร้อมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการขายข้าว
ในเมื่อคุณยิ่งลักษณ์ไม่เปลี่ยนใจและยังดำเนินโครงการนี้ต่อไปอีก 3-4 ฤดู ท่ามกลางความไม่ชอบมาพากลต่างๆอย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการสวมสิทธิ์ การนำข้าวจากเพื่อนบ้านเข้ามาขาย การพิสูจน์คุณภาพของข้าว ต้นทุนการจัดเก็บ และการขายข้าว
งั้นเดี๋ยวในตอนท้ายสุด เมื่อความเสียหายปรากฏชัดแจ้งในเวลาต่อมา และมีการร้องเรียนเข้ามาที่ ป.ป.ช. ประกอบกับหนังสือเตือนหลายฉบับที่ ป.ป.ช. ส่งให้รัฐบาล ปัญหาเรื่องเจตนาของรัฐบาลจึงไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องพิสูจน์แต่อย่างใด ป.ป.ช. สามารถไต่สวนเอาผิดรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ได้ทันที
นักกฎหมายและนักรัฐศาสตร์หลายคนให้ความเห็นว่า ในระบอบประชาธิปไตย เมื่อรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง และได้เสนอนโยบายที่หาเสียงไว้ต่อรัฐสภาและได้รับอนุมัติแล้ว ไม่ควรมีองค์อำนาจอื่นหรือองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. มาเอาผิดได้ เพราะเป็นเรื่องของการกระทำทางรัฐบาล (Act of Government) ตามลัทธิหรือปรัชญาการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Power) ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
แต่เรื่องนี้ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะหากมีกฎหมายที่ห้ามรัฐบาลทำหรือดำเนินนโยบายบางอย่างอยู่แล้ว นโยบายที่หาเสียงไว้ หรือที่ได้แถลงไว้กับรัฐสภาก็ไม่มีผล และอาจถูกไต่สวนลงโทษได้
หลายคนบอกว่าคุณยิ่งลักษณ์ไม่มีความผิดในส่วนของการซื้อข้าว แต่ผิดเฉพาะส่วนของการขายข้าว ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น ป.ป.ช. เองเห็นว่าการ “ซื้อ” ข้าวตามนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์เป็นความผิดต่อมาตรา 84(1) ของรัฐธรรมนูญปี 2550 *1ด้วยซ้ำ เพราะนโยบายนี้ได้ทำให้รัฐบาลกลายมาเป็นผู้ผูกขาดตัดตอน และทำลายระบบการซื้อขายข้าวของไทยในระบบตลาดตามปกติจนหมดสิ้น แต่นั่นเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งอยู่นอกอำนาจหรืออาณัติของ ป.ป.ช.
แค่ความผิดเกี่ยวกับการระบายข้าวก็มีหลักฐารชัดแจ้งเพียงพอที่จะเอาผิดกับรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อหาให้ครบทุกข้อเหมือนคดีอาญาโดยทั่วไป ซึ่งก็ได้ผลเช่นนั้นจริงๆเมื่อเรื่องขึ้นไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างที่เรารู้ๆกัน
เป็นอันว่าคุณยิ่งลักษณ์ต้องถูกตัดสินว่ามีความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง
ในทัศนะและความรู้สึกจริงๆของผู้เขียนแล้ว มองว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็น “เหยื่อ” (Victim) มากกว่าเป็น “ตัวการ” หรือ “เจ้ากี้เจ้าการ” (Perpetrator) ของนโยบายหรือเหตุการณ์ในครั้งนี้
เป็นที่น่าเสียดายที่เธอไปเชื่อใครบางคนที่เป็นเจ้าของความคิดนโยบายที่แสนสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ แทนที่จะฟังผู้ที่หวังดีจริงๆ ซึ่งรวมถึงที่ปรึกษาใหญ่ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลของเธอเองด้วย
ถ้าผู้เขียนเป็นเศรษฐีมีเงินเป็นแสนๆล้านเหมือนกับเศรษฐีหลายคนในประเทศนี้ จะไม่ลังเลเลยที่จะยอมจ่ายค่าปรับให้กับคูณยิ่งลักษณ์ให้เธอได้กลับมารับโทษที่ผ่อนปรนเหมาะสมและไม่ผิดกฎหมายหรือระเบียบในประเทศได้
เงินค่าปรับนี้ก็มิได้หายไปไหน แต่จะเป็นเงินที่รัฐจะเอาไปพัฒนาประเทศต่อไป เป็นการยุติบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่แสนจะเจ็บปวดนี้เสียที
บทความโดย :
เมธี ครองแก้ว
25 พ.ค. 2568
*1 “มาตรา 84 : รัฐต้องดำเนินการแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ ดังต่อไปนี้ :
(1) สนับสนุนระบบเศรษฐกิจระบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาด และสนับสนุนให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยต้องยกเลิกและละเว้นการตรากฎหมายและหลักเกณฑ์ที่ควบคุมธุรกิจซึ่งมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่งคงของรัฐ รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการจัดให้มีสาธารณูปโภค”
ประเด็นความผิดตามมาตรานี้คือจุดที่ ดร. อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิย นิด้าได้ระดมรายชื่อนักเศรษฐศาสตร์หลายร้อยคน ทำเรื่องเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจยับยั้งนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ แต่ศาลฯไม่รับเรื่องไว้พิจารณา ไม่ใข่เพราะว่าคำร้องเรียนไม่มีมูล แต่เป็นเพราะว่ายื่นเรื่องเข้ามาผิดช่องทาง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา