
"...สิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ น่าจะเป็นฝั่งการคลัง การบ้านของใครที่เข้ามา จะต้องมาดูแลเรื่องเสถียรภาพการคลัง ซึ่งผมไม่เถียงว่า มันมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้น แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะลูกกระสุนในฝั่งการคลังมีจำกัด และเหลือไม่มากแล้ว ถ้าใช้เยอะเกินไป แล้วไม่มีแผนระยะยาว มันเสี่ยงที่ประเทศจะถูก Downgrade..."
....................................
หมายเหตุ : เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน ‘ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press)’ เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2568
เมื่อถอยกลับไปก่อนวิกฤติปี 2540 หรือก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง
กราฟของการเติบโตของเศรษฐกิจไทยค่อนข้าง ‘ชัน’ สะท้อนว่า เศรษฐกิจในช่วงนั้น โตเฉลี่ยสูงกว่า 7% ต่อปี เป็นยุคทองของเรา แต่พอปี 2540 เราเจอวิกฤติ ซึ่งเวลาที่เราใช้ เพื่อให้มันฟื้นกลับมาเท่ากับก่อนที่เจอวิกฤติ ค่อนข้างยาว คือ 17 ไตรมาส
แต่เมื่อสังเกตจะเห็นว่า ตอนที่เศรษฐกิจฟื้นกลับมาแล้ว ศักยภาพของการเติบโต หรือความชันของการเติบโตจะค่อยๆ flat (ราบ) ลง และเป็นอย่างนั้นทุกที ที่เราเจอวิกฤติ ก่อนหน้าวิกฤติต้มยำกุ้ง (ปี 2537-2539) เราโตเฉลี่ย 7.3% ต่อปี แต่หลังจากนั้น (ปี 2543-2550) โตเฉลี่ย 5.3%
จนเรามาเจอวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 เศรษฐกิจ drop (ตก) ลงมาเร็ว แล้วฟื้นกลับมาค่อนข้างเร็ว แต่หลังจากนั้น กราฟการเติบโตของเศรษฐกิจค่อยๆ drop จากเฉลี่ย 5.3% ก่อนหน้านี้ ลงมาเหลือเฉลี่ย 3.7% (ปี 2553-2562) จนมาถึงช่วงวิกฤติโควิด ซึ่ง ‘หนัก’ และ ‘นาน’ คือ drop เร็ว แต่กว่าจะกลับมาระดับเดิม ต้องใช้เวลา 13 ไตรมาส
ที่น่าเป็นห่วง คือ หลังจากที่มันฟื้น กราฟที่ flat ลงมาแล้ว ยิ่ง flat ลงไปอีก กระทั่งหลังโควิด (ปี 2564-2567) อัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2% ต่อปี และเหตุผลที่โชว์กราฟตัวนี้ เพื่อสะท้อนถึงปัญหาที่เราพูดกันบ่อยๆ คือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง และวิธีที่แก้ตรงนี้ เพื่อทำให้เศรษฐกิจโตสูงขึ้นอย่างยั่งยืน ก็ต้องแก้ในเรื่องที่เป็นเชิงโครงสร้าง
“การกระตุ้นๆ อะไรต่างๆ มันช่วยได้แค่ระยะสั้น ถ้าจำกันได้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยจะมีมาตรการกระตุ้นๆ อะไรออกมาสารพัดนานา แต่ของที่กระตุ้นๆ ท้ายที่สุด คือ เส้นที่มันกระดึ๊บๆ ขึ้นมาหน่อย แล้วมันก็หายไป แต่สิ่งที่เราต้องพยายามแก้ คือ โครงสร้างที่ทำให้ศักยภาพ (การเติบโตเศรษฐกิจ) กลับมาได้
ถ้าไม่ทำอะไร ชะตากรรมของเรา ก็จะ flat ไปเรื่อยๆ ด้วยปัญหาอย่างที่ทราบกับ คือ ปัญหาโครงสร้างในภาคแรงงานและประชากรที่เข้าสู่วัยชราภาพ แรงงานน้อยลง ประสิทธิภาพแรงงานไม่โต การลงทุนต่ำ ทั้งหมดนี้ ทำให้ตรงนี้ค่อยๆ flat ลงไปเรื่อยๆ ถ้าไม่แก้ตรงนั้น อนาคต ก็คือ flat ถ้าไปกระตุ้นอะไร ก็จะกระดึ๊บขึ้นมาหน่อย แล้วกลับสู่เทรนด์”

@ชี้ 2 ปัญหาเรื้อรัง‘ขีดแข่งขันลดลง-ความเหลื่อมล้ำสูง’
ตอนนี้บ้านเราที่เจอปัญหา ถ้าเทียบก็เหมือนคนไข้ที่มีอาการ ‘โรคเรื้อรัง’ อย่างโรคเบาหวานอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่โรคฉับพลัน แล้วถามว่ามีอะไรบ้างที่เราเห็น
อันแรกเลย คือ ความสามารถในการแข่งขันของเราลดลงในหลายมิติ ความสามารถของเราในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง โดยสัดส่วนการดึงดูด FDI โลกของไทย เทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงปี 2544-2548 มาเก็ตแชร์ของเราอยู่ที่ 0.57% สูงกว่ามาเลเซีย (0.3%) เวียดนาม (0.1%) และอินโดนีเซีย (0.07%)
แต่เวลาผ่านไป มาถึงปี 2567 สิ่งที่เราเห็น คือ มาเก็ตแชร์เราอยู่ใกล้เคียงเดิม (0.77%) แต่คนอื่นขึ้นแซงไปหมด มาเก็ตแชร์ของเรา ต่ำกว่าทั้งอินโดนีเซีย (1.83%) เวียดนาม (1.53%) และมาเลเซีย (1.18%) ทั้งหมดเลย เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของเราที่ลดลง
“ถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องความสามารถในการแข่งขัน ความสามารถในการลงทุน ไม่ได้ ไม่มี investment cycle ไม่มีการลงทุนเพิ่ม ก็เป็นไปไม่ได้ที่ประสิทธิภาพของแรงงาน และProductivity (ผลิตภาพ) จะเพิ่มขึ้น ไม่มีเทคโนโลยีใหม่ ไม่มีเครื่องจักรที่ช่วยให้เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้น เศรษฐกิจก็จะโตระดับ ‘แผ่วๆ’ อย่างนี้”

นอกจากเราจะต้องทำให้มั่นใจว่า การเติบโตระยะยาวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะระดับรายได้ของเราไม่ได้สูงอะไร เราต้องดูแลเรื่องการกระจายรายได้ว่า การเติบโตมันไปที่ไหน ไปกับใคร และใครได้ประโยชน์จากตรงนี้
“ผมคิดว่ามันชัดว่า ยิ่งวันมัน (การกระจายรายได้) สำคัญ ถ้าดูเหตุการณ์ที่เราเห็นตามข่าวตอนนี้ ไม่ว่าจะเนปาล อินโดนีเซีย หรือช่วงก่อนเป็นศรีลังกา มันมาจากอะไร จริงๆ อินโดนีเซีย ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ได้ดูแย่ Headline GDP ก็ดูดี แต่สิ่งที่เรารู้สึก คือ มันไม่ไปทั่วถึง มันมีความเหลื่อมล้ำที่สูง
มันเป็นการเติบโตที่ไม่ได้สร้างโอกาส โดยเฉพาะไม่ได้สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ที่เห็นชัดสุด คือ ที่เนปาล ประท้วงกัน โดยใช้ชื่อว่า ‘ประท้วง Gen Z’ การทำให้มั่นใจว่าการกระจายรายได้ต่างๆ ลดความเหลื่อมล้ำก็เป็นโจทย์ที่สำคัญ และเป็นโรคเรื้อรังอันหนึ่งที่เราต้องพยายามแก้”
บ้านเรา ความเหลื่อมล้ำมันสูงจริงๆ ตอนคนดูเรื่องความเหลื่อมล้ำในไทย โดยใช้ข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ดูรายได้แล้วนำมาเทียบกัน ซึ่งเป็นการเทียบรายได้ของคน 10% ที่มีรายได้สูงสุดกับคนจนสุด 10% แต่รายได้เป็นเพียงแค่ส่วนเดียว เพราะตัวที่สำคัญกว่า คือ ความมั่งคั่ง
“ถ้าเราดูทรัพย์สินสุทธิ เราจะยิ่งเห็นว่าความเหลื่อมล้ำของบ้านเรา มันสูงกว่าตัวเลขที่คนมักจะเอ่ยถึงมากกว่าเยอะ เพราะครัวเรือนที่จนบ้านเรา มีทรัพย์สินสุทธิ ‘ติดลบ’ เพราะมีหนี้มากกว่าสินทรัพย์ แล้วถ้าเราเรียงครัวเรือนไทยของเรา 24 ล้านครัวเรือน จากจนสุดไปรวยสุด ตามตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
จะเห็นว่ากลุ่มครัวเรือน Top 1% คือ 2.4 แสนครัวเรือน สินทรัพย์สุทธิของเขา เท่ากับ 13 ล้านครัวเรือนที่จนที่สุด หรือเกือบครึ่งประเทศ จากข้อมูลที่เห็น ดูแล้วอาการหนักแล้วใช่ไหม เหลื่อมล้ำสูงมากใช่ไหม แต่ข้อมูลอันนี้ ยังไม่สะท้อนความเหลื่อมล้ำที่แท้จริง และต่ำไปมากๆ เพราะตอนที่สำรวจ เขาจับครัวเรือนที่รวยจริงๆไม่ค่อยได้ แต่จะไปเน้นฝั่งขาล่าง
ตัวเลขที่สะท้อนว่า ตัวเลขความเหลื่อมล้ำมันหนักกว่านี้เยอะ คือ ถ้าเราเอาสินทรัพย์สุทธิเฉลี่ยของ 2.4 แสนครัวเรือน (1% ที่รวยที่สุด) ทรัพย์สินเฉลี่ยของเขาสุทธิอยู่ที่ 21 ล้านบาทแค่นั้นเอง ฟังดูน้อยมาก แต่ถ้าเราไปเปิดนิตยสาร forbes เราจะเห็นครัวเรือนที่รวยไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าเอาตรงนั้นมาดูจริงๆ จะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำบ้านเราต่างกันมหาศาล”
อันนี้มิติครัวเรือน ส่วนในมิติธุรกิจ ธุรกิจขนาดใหญ่เพียง 5% ของประทศ มีสัดส่วนรายได้สูงถึง 90% ของรายได้ธุรกิจทั้งหมด จึงเป็นที่มาว่า SMEs บ้านเรา มีปัญหาจริงๆ พื้นที่ที่เขาสามารถแข่งขันได้ ก็ลำบากมากขึ้น รวมทั้งมีความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ ระหว่างกรุงเทพและปริมณฑล หรือภาคกลางกับเหนือ อีสาน และใต้

@ห่วง‘เสถียรภาพการคลัง’เปราะบาง ถ้าไม่แก้เสี่ยงถูกหั่นเรตติ้ง
การแก้เรื่องโครงสร้างเป็นสิ่งต้องทำ และสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญและเป็นของแน่ คือ หลักๆเลย ภาคเอกชนต้องเป็นกลไกตัวนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนภาครัฐต้องมีบทบาทในการอำนวยความสะดวก ต้องดูแล SMEs และสนับสนุนรายย่อย รวมทั้งลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ
ที่สำคัญต้องไม่สร้างปัญหา อันหนึ่ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญในระยะข้างหน้าที่มองและกังวลอยู่ คือ เรื่องเสถียรภาพด้านการคลัง เพราะถ้าเรามองไปข้างหน้า ผมคิดว่ามีประเด็นที่ต้องจับตามองหรือใส่ใจในเรื่องของฝั่งการคลัง เพราะฝั่งการคลังของเรา ไม่ได้แข็งแรงเหมือนก่อน
อย่างที่ทราบกันดีว่า ในช่วงโควิด เราใช้ทรัพยากรไปเยอะในการพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทำกัน แต่สิ่งที่เราอยากเห็น คือ หลังจากที่ใช้ลูกกระสุนทางการคลังไปเยอะ มันมีการเริ่มรัดเข็มขัดหน่อย ให้ฐานะการคลังมันกลับมาในรูปแบบที่สร้างเสถียรภาพในระยะปานกลางสูงขึ้น ซึ่งถ้าเราดู ตอนนี้ มันยังไม่ค่อยเห็น
ถ้าเราดูรายจ่ายและรายได้ของรัฐบาล จะเห็นว่าในช่วงที่เกิดวิกฤติรายจ่ายก็เร่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และรายได้ก็ลดลง ตอนนั้นการขาดดุลก็เพิ่มขึ้น และหนี้อะไรต่างๆก็เพิ่มขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ เทรนด์ของมัน ถ้าเราปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรม ตามเทรนด์เดิม ผมคิดว่ามันค่อนข้างชัดเจนว่า เรื่องความยั่งยืนจะเป็นประเด็น
ถ้าเราดูรายจ่ายของรัฐบาล ค่าเฉลี่ยของการเติบโตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2567) รายจ่ายรัฐบาลโต 4% ต่อปี แต่ฝั่งรายได้โตเฉลี่ยไม่ถึงครึ่ง คือ 1.7% ต่อปี ถ้าปล่อยไปตามเทรนด์อย่างนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้น ของแน่ คือ การขาดดุลสูงขึ้น หนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งการขาดดุลที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ
แต่สิ่งที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ เขาอยากเห็น คือ หนี้เพิ่มขึ้นได้ แต่มันต้องเห็นว่า มันเริ่มลง ซึ่งตอนนี้ในตัวเลข เรายังไม่เห็น และแม้ว่าตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังระยะปานกลาง เราจะสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีมันเพิ่ม แล้วก็ชะลอ แต่ไม่ได้ลง
แล้วสมมติฐานที่ใส่ไว้ในนั้น มันอาจปฏิบัติได้ไม่ง่ายนัก คือ ในสมมติฐานที่ใส่ไว้มองว่า รายจ่ายจะชะลอตัวลง และรายได้จะเพิ่มขึ้น แต่มันไม่สอดคล้องกับเทรนด์ที่เราเห็นในอดีต จึงเป็นที่มากว่า เรตติ้งต่างๆจึงเตือนเรา และตอนนี้ของเราเป็น Negative outlook ถ้ายังเป็นอย่างนี้ โอกาสที่จะเกิด Downgrade (ลดอันดับความน่าเชื่อถือ) ก็มีอยู่แล้ว
ของพวกนี้ มันเกี่ยวกับว่า เราจะสามารถแสดงว่า มันมีเห็นภาพที่มันชัดเจน แม้ว่าจะไม่ได้ปรับเดี๋ยวนี้ วันนี้ แต่ต้องมั่นใจว่าเส้นทางที่จะปรับตัวไปสู่ Fiscal consolidation จึงต้องมีแผนว่า จะเพิ่มรายได้อย่างไร แผนจะเริ่มควบคุมการเติบโตของรายจ่ายได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้สำคัญ เพราะเสถียรภาพการคลัง เป็นพื้นฐานของทุกอย่าง
แต่ขอย้ำว่า ตอนนี้เราจะเกิดวิกฤติทางการคลัง คงไม่ใช่ เพราะถ้าเราดูดอกเบี้ย 10 ปี ที่เรากู้ยืมตอนนี้อยู่ที่ 1.4-1.5% จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ 1.2% กว่าๆ ซึ่งอัตราที่ 1.5% ถือว่าไม่ใช่อัตราที่สูงจนน่ากลัว แต่ผมคิดว่า ของพวกนี้อย่าชะล่าใจ ต้องมีแผนรองรับในระยะยาว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในฝั่งการคลัง
เพราะเราทราบกันดีว่า นอกจากตัวเลขที่เราเห็นพวกนี้ มันยังมีตัวเลขที่เรียกว่าภาระผูกพัน ที่มันมีอยู่ด้วย และจะโผล่ขึ้นมา แล้วกระทบตัวเลขพวกนี้ ถ้ามองไป จึงเป็นอะไรที่ต้องใส่ใจในแง่ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และต้องจำกัดไม่ให้มี downside risk ในฝั่งการคลังตรงนี้
วิกฤติเศรษฐกิจ ปกติจะเกิดขึ้นจาก 3 เรื่องหลัก คือ 1.เรื่องการคลัง 2.ฝั่งที่เกี่ยวกับดุลชำระเงิน ค่าเงิน คล้ายกับที่เราเจอตอนวิกฤติปี 2540 และ 3.ปัญหาเรื่องหนี้และแบงก์ ถ้าดูประเทศไทยตอนนี้ ตัวที่ 2 และตัวที่ 3 โดยภาพค่อนข้างดูโอเคอยู่ แต่สิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ น่าจะเป็นฝั่งการคลัง
การบ้านของใครที่เข้ามา จะต้องมาดูแลเรื่องเสถียรภาพการคลัง ซึ่งผมไม่เถียงว่า มันมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้น แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะลูกกระสุนในฝั่งการคลังมีจำกัด และเหลือไม่มากแล้ว ถ้าใช้เยอะเกินไป แล้วไม่มีแผนระยะยาว มันเสี่ยงที่ประเทศจะถูก Downgrade

@แก้หนี้‘ยั่งยืน’ต้องเพิ่มรายได้-สร้างกลไกค้ำสินเชื่อ SMEs
ในฝั่งการเงิน เรื่องการแก้ปัญหาหนี้ คงต้องทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่อะไรที่จะแก้ได้เร็ว ต้องใช้เวลา และหลักๆไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ท้ายที่สุด ถ้าจะปัญหาหนี้ให้ยั่งยืน ต้องแก้ด้วยรายได้ ถ้ารายได้ไม่โต เราจะแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน ไม่ได้
ส่วนฝั่งหนี้ที่ต้องทำ คือ การปรับโครงสร้างหนี้ คุณสู้เราช่วย อะไรตรงนี้ก็ต้องทำ แต่ถ้ารายได้ไม่กลับมาโต ไม่ฟื้น ปัญหาหนี้จะไม่หมดไป และตัวเลขที่มันสะท้อนปัญหาในเรื่องรายได้ คือ ครัวเรือน 2 ใน 3 มีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ ซึ่งถ้าสามารถเสกหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้หายไปหมดเลย ถ้ารายจ่ายมากกว่ารายได้ เขาก็ต้องกู้มาอีก
วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน คือ รายได้ต้องกลับมาฟื้น ซึ่งจะโยงไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และต้องทำให้มั่นใจว่า การเติบโตตรงนั้น มันกระจายไป ไม่ได้กระจุกตัว
อีกเรื่อง ภาพในระยะยาวที่เรากังวลอยู่ คือ เรื่องสินเชื่อ SMEs เพราะเทรนด์มันค่อนข้างฟ้องว่า สินเชื่อ SMEs หดตัวมาตั้งแต่ก่อนโควิดแล้ว เดิมเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ในช่วงโควิดดีขึ้นมาจาก พ.ร.ก.ที่ออกไป ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก.ซอฟต์โลน หรือ พ.ร.ก.ฟื้นฟูฯที่ออกไป แต่ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาสู่เทรนด์อีกแล้ว และต่ำกว่าเดิมอีก ล่าสุดสินเชื่อ SMEs หดตัว 6%
ถามว่าทำไม หลักๆเป็นเรื่องความเสี่ยง ถ้าเราดู NPL ของ SMEs อยู่ที่ 7.6% ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ที่ประมาณ 1% เมื่อ credit risk (ความเสี่ยงด้านเครดิต) มันสูง สถาบันการเงินที่จะปล่อยสินเชื่อให้ SMEs ก็ลดลง ปัญหานี้ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ถ้าไม่แก้ด้วยมีการมีวิธีลดความเสี่ยงในเรื่อง credit

การจะคาดหวังว่าสินเชื่อ SMEs จะกลับมาโตได้ เป็นไปได้ยากมาก จะไปบีบคั้นให้เขาปล่อย แต่ถ้าเขารู้ว่าปล่อยไปแล้วจะกลายเป็น NPL แล้วเขาต้องรับความเสี่ยง มันเป็นการฝืนกลไกตลาด จะไม่ได้อะไรที่ยั่งยืน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกลไกการค้ำประกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
เราพยายามผลักดันในเรื่องสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) มานาน แต่ถ้าจะไม่เอา NaCGA จะปรับเป็นรูปแบบอะไรก็ตาม ก็ได้ แต่ถ้าไม่มีอะไรตรงนี้ ไม่มีอะไรเข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ ลด credit risk ของ SMEs ได้ โอกาสที่สินเชื่อ SMEs จะฟื้น เป็นไปได้ยากมาก
จะใช้กลไก บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) หรือจะปรับปรุงรูปแบบอะไร ก็ได้ เพราะกลไก บยส.ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก อันนี้ จึงยังเป็นการบ้านที่ค้างอยู่ ยังทำไม่เสร็จ
อีกอันหนึ่ง คือ เรื่อง Your Data ผมคิดว่าสำคัญมาก คือ การทำให้ข้อมูลมันไหล หรือพูดง่ายๆ คือ ข้อมูลของผมอยู่กับสถาบันการเงินที่หนึ่ง แต่ผมอยากให้สถาบันการเงินอีกที่หนึ่งใช้ข้อมูลได้ เพื่อจะได้ยื่นข้อเสนอสินเชื่อให้ผมได้ ผมอยากให้ตรงนี้เกิดขึ้นได้ง่าย ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไหลได้ง่ายขึ้น อันนี้เดินต่อ เขาสัญญาว่าจะเป็นของขวัญก่อนผมเกษียณ
อีกอันที่สำคัญ คือ การผลักกลไกการกำหนดดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ (risk based pricing) คือ การทำให้ดอกเบี้ยสะท้อนความเสี่ยง ซึ่งอันนี้มีการประชุมกันไปเมื่อไม่นานนี้ โจทย์ คือ การดึงคนที่ตอนนี้ ต้องไปกู้นอกระบบให้กลับเข้ามาในระบบ แต่ด้วยมีความเสี่ยงสูงขึ้น ดอกเบี้ยจึงต้องสูงกว่าที่เป็นอยู่ แต่ต่ำกว่าดอกเบี้ยนอกระบบ
อันสุดท้ายเป็นเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การยกระดับมาตรการจัดการภัยทางการเงิน ควบคู่กับการสนับสนุนนวัตกรรมที่รับผิดชอบ
“อันหนึ่งเราอยากทำ ซึ่งเราทำร่วมกับ กกร. และสภาพัฒน์ คือ Reinvent Thailand (แนวทางดำเนินการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน) โจทย์ของมัน เป็นมากกว่า การที่ว่าเราจะทำอะไร แต่จะเป็นเรื่องวิธีการทำงานที่อยากเห็น คือ อยากให้เป็นการหันหน้าเข้าหากันระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ หน่วยงานรัฐ และภาควิชาการ
แล้วกำหนดโจทย์ที่ต้องแก้ไข และกำหนด Agenda ที่ต้องทำ และอยากจะให้เป็นอะไรที่ยั่งยืน เป็นโจทย์ที่ใครมา ประเทศก็ต้องทำอย่างนี้ เพื่อให้ไปต่อ ถ้าไม่มีอะไรที่เป็นเหมือน ‘หางเสือ’ หน่อย อะไรมันก็จะเป๋ไปเป๋มา ผมเป็นผู้ว่าฯ 5 ปี ผมเจอนายกฯ 4 คนใน 5 ปี มันสะท้อนว่าความต่อเนื่อง มันขาด
เราจะนั่งบอกว่า ช่วยไม่ได้ ให้รัฐบาลบอกมา ผมว่าไม่ใช่แล้ว ต้องหันหน้าเข้าหากัน แล้วตกลงกันว่า มันต้องไปอย่างนี้ ใครจะมาก็ตาม เราอยากเห็นแบบนี้ แล้วต้องไม่ใช่อารมณ์ว่า เอกชนมานั่งขอนั่นขอนี่อย่างเดียว ต้องเป็นอารมณ์ว่า เอกชนเห็นอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น แบงก์บอกว่า ถ้าเอกชนทำอย่างนั้น รัฐบาลทำอยางนี้ สถาบันการเงินก็จะเข้ามาช่วยปล่อย เป็นการหันหน้าเข้าหากัน เพื่อร่วมหาทางออก”
อ่านประกอบ :
บันทึกการเดินทาง 5 ปีของแบงก์ชาติ: การดำเนินนโยบายในยุคแห่งความท้าทาย
'ผู้ว่าฯธปท.'ห่วง'เสถียรภาพการคลัง'แนะ'รบ.ใหม่'กระตุ้นศก.ต้องอยู่ในกรอบฯ-เร่งแก้'บาทแข็ง'
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ : เงินของธนาคารกลางในฐานะศูนย์กลางจะยังคงอยู่ต่อไป
เศรษฐพุฒิ : ศก.'โตต่ำ-ฟื้นช้า'ซ่อนทุกข์ปชช.-'แบงก์'ไม่อยากเป็นตัวร้าย โทษ'ธปท.'คุมสินเชื่อ
‘ผู้ว่าฯธปท.’จี้ลงทุน-รื้อโครงสร้างศก.ดันGDPโตเกิน 3%-ย้ำขยับ‘กรอบเงินเฟ้อ’กระทบเครดิต

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา