
"...ถ้อยแถลงที่ตรงไปตรงมาอย่างไม่ค่อยได้เห็นในการทูตไทยในเวทีระหว่างประเทศครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้เขมรและประชาคมโลกว่า ไทยเอาจริงและให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องที่กระทบโดยตรงต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ และการดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกอย่างจริงจังกำลังเริ่มขึ้นแล้ว หลังจากการดำเนินงานในกรอบสหประชาติแล้ว จุดต่อไปคือ อาเซียนซึ่งการประชุมระดับผู้นำในปลายเดือนต.ค. 2568 จะเป็นอีกเวทีหนึ่งที่ไทยใช้เป็นโอกาสดึงเอาสมาชิก อื่นๆ ของอาเซียนให้ร่วมกดดันเขมรให้เข้าสู่กรอบการเจรจาสันติวิธีโดยไม่บิดพลิ้ว..."
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าการกล่าวถ้อยแถลงของนาย สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 (UNGA 80)เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการดำเนินการทูตของไทย จากบทบาทเชื่องช้า ไม่เป็นที่เปิดเผย และไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่อยากเห็นประเทศมีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศที่ชัดเจน ทันเหตุการณ์และเป็นผู้คุมสถานะการณ์ที่แท้จริง โดยเฉพาะในประเด็นปัญหาชายแดนเขมร
คำพูดของรัฐมนตรีต่างประเทศที่จี้ลงไปแต่ละจุดของเขมรที่เป็นสิ่งค้างคาใจของประชาชน ไม่ว่าการไม่เคยเอาความจริงมาพูด การสร้างภาพการเป็นประเทศเล็กที่ถูกกระทำ การไม่จริงใจในการเจรจาแก้ปัญหา และการอ้างสิทธิในพื้นที่ของไทยที่เคยให้เป็นที่พักพิงยามเขมรประสบปัญหารบกันเอง
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ไม่เคยถูกนำออกมาสู่เวทีสาธารณะ เพราะที่ผ่านมาเรามุ่งหวังจะรักษาน้ำใจเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันและต้องการแก้ปัญหาโดยสันติวิธีเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี การกล่าวถึงความปรารถนาดีและความจริงใจในความช่วยเหลือของฝ่ายไทยมาโดยตลอดไม่ใช่การลำเลิกบุญคุณ แต่เป็นการยืนยันให้ประชาคมโลกประจักษ์โดยหลักฐานข้อเท็จจริงว่า ไทยเราแม้จะเป็นประเทศใหญ่กว่าและเหนือกว่าในทุกๆด้านแต่กลับต้องตกเป็นเหยื่อจากความมีน้ำใจของเรา และการประกาศชนกับเขมรแบบซึ่งๆ หน้าโดยเอาข้อเท็จจริงมาพิสูจน์กัน จึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในครั้งนี้
ถ้อยแถลงที่ตรงไปตรงมาอย่างไม่ค่อยได้เห็นในการทูตไทยในเวทีระหว่างประเทศครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้เขมรและประชาคมโลกว่า ไทยเอาจริงและให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องที่กระทบโดยตรงต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ และการดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกอย่างจริงจังกำลังเริ่มขึ้นแล้ว
หลังจากการดำเนินงานในกรอบสหประชาติแล้ว จุดต่อไปคือ อาเซียนซึ่งการประชุมระดับผู้นำในปลายเดือนต.ค. 2568 จะเป็นอีกเวทีหนึ่งที่ไทยใช้เป็นโอกาสดึงเอาสมาชิก อื่นๆ ของอาเซียนให้ร่วมกดดันเขมรให้เข้าสู่กรอบการเจรจาสันติวิธีโดยไม่บิดพลิ้ว
ทั้งนี้ ในการประชุมระดับผู้นำของอาเซียนทุกครั้งจะมีผู้นำหรือตัวแทนจากประเทศคู่เจรจาร่วม 10 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ซึ่งครั้งนี้คาดหมายว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะมาร่วมด้วยตัวเอง จึงนับว่าเป็นโอกาสดีที่ไทยเราจะร่วมมือกับสหรัฐฯ เร่งสร้างความคืบหน้าในการเจรจายุติข้อขัดแย้งอย่างจริงจัง เพราะในช่วงประชุม UNGA 80 นี้ผู้แทนสหรัฐฯได้แสดงความกระตือรือล้นจัดให้มีการปรึกษาหารืออย่างไม่เป็นทางการของ 4 ประเทศ คือ ไทย เขมร มาเลเซีย (ฐานะประธานอาเซียน)และสหรัฐฯเพื่อรับทราบความคืบหน้าล่าสุดและคงจะมีการนำเอาความคาดหวังของประธานาธิบดีมาแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบ เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศกับที่ประชุม UNGA 80 ว่า การเจรจายุติความขัดแย้งไทย-เขมรเป็นหนึ่งในผลงานของเขาในฐานะผู้สร้างสันติภาพของโลก
ดังนั้น ด้วยท่าทีและผลประโยชน์เฉพาะหน้าดังกล่าวนี้ย่อมจะส่งผลให้สหรัฐฯ พร้อมช่วยเหลือไทยในการโน้มน้าวและกดดันให้ฝ่ายเขมรต้องเข้าสู่กรอบการเจรจาอย่างสันติอย่างจริงจัง โดยในการดำเนินการดังกล่าวฝ่ายไทยจำเป็นต้องมีท่าทีและแนวทางดำเนินงานที่ชัดเจนรองรับ
นอกเหนือจากประเด็นปัญหาเขมรจะเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินโยบายต่างประเทศภายใต้รัฐบาลนี้แล้ว ปัญหาเมียนมาร์ซึ่งจะจัดให้มีการเลือกตั้งแบบเป็นช่วงๆ ตั้งแต่ปลายธ.ค. 2568 ก็นับเป็นโจทย์ใหญ่ที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศไม่ยิ่งหย่อนกว่าปัญหาเขมรและอาจจะยิ่งซับซ้อนยุ่งยากยิ่งกว่าด้วยซ้ำ (นอกเหนือจากมหาอำนาจจีนและสหรัฐฯแล้ว ยังมีรัสเซียและอินเดียที่มีผลประโยชน์ร่วม)
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องนโยบายภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไทยต้องมีนโยบายรับมืออย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติเศรษฐกิจและมิติการเมือง โดยไม่อาจจำกัดอยู่แค่ผลกระทบของนโยบายภาษี 19% แต่รวมถึงการรับมือกับความโกลาหลที่จะตามมาในช่วงต้นเดือนพ.ย. 2568 หากศาลสูงสุดของสหรัฐฯ มีคำพิพากษาว่า การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าโดยอำนาจประธานาธิบดีที่ทำอยู่นี้ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาไม่ใช่ของฝ่ายบริหาร อันจะส่งผลให้อัตราภาษีที่กำหนดไว้ถูกล้มเลิกหมดและการค้ากับสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกต้องมาปรับทิศทางกันใหม่ ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือสิ่งท้าทายที่สำคัญยิ่งที่รัฐบาลต้องเผชิญในห้วงเวลา 4-5 เดือนที่บริหารประเทศ ซึ่งแต่ละก้าวในการดำเนินงานจะกระทบต่อผลประโยชน์สำคัญของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
29 ก.ย. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา