
"...ประเด็นเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันพระหากษัตริย์ของไทยก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่อ่อนไหวมากจนกระทั่งว่าใครก็ตามที่จะไปแก้ไขมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาคือผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ผมมีทฤษฎีที่สามารถนำมาใช้พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ภายใต้สถานการณ์ตามปกติ หรือที่ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เรียกข้อสมมุตินี้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่คงที่หรือเท่าเทียมกัน (ceteris paribus) ระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องตามภาษาอังกฤษว่า ระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) นั้น “ดีกว่า” (superior to) หรืออย่างน้อย “ไม่ด้อยกว่า” (not inferior to) ระบบสาธารณรัฐนิยม (Republicanism) ที่มีคนธรรมดาเป็นประธานาธิบดีเสมอ เพราะฉะนั้น ผู้มีอำนาจที่คอยจับผิดและลงโทษผู้ที่เห็นต่างโดยขาดเหตุผลที่สมควร น่าจะเป็นผู้ที่ “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของเราเสียเอง..."
ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีข่าวสะพัดว่า ป.ป.ช. จะมีการชี้มูลความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ ส.ส. 44 คนของอดีตพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะทำให้ภูมิทัศน์ทางการเมืองของไทยเปลี่ยนไปอย่างแน่นอนไม่มากก็น้อย
แต่ในฐานะที่ผมเคยเป็นกรรมการ ป.ป.ช. มาก่อน ผมไม่ค่อยแน่ใจ หรือไม่ค่อยเชื่อว่า ป.ป.ช. ได้มีมติเช่นที่กล่าวถึงข้างต้นออกมาแล้ว และรอวันแถลงผลให้สาธารณชนทราบในวันที่ 25 ธ.ค. ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แล้วไป
แต่ถ้าเป็นข่าวว่ากรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่จะประชุมเพื่อลงมติในเรื่องนี้ในวันที่ 25 ธ.ค. นี้ ผมคิดว่ายังจะต้องมีการถกเถียงกันในห้องประชุมเพื่อหาข้อสรุปเสียงข้างมาก ไม่ใช่การเอามติที่เขียนมาจากบ้านก่อนแล้วมาเปิดกันในที่ประชุมเหมือนกับการลงมติในเรื่องสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญ หากเป็นในกรณีหลังนี้ เป็นไปได้ที่อาจมีเหตุผลหรือความเห็นของกรรมการบางคนที่มีน้ำหนักมากจนทำให้กรรมการบางท่านเห็นประเด็นที่แตกต่างไปและมีมติเปลี่ยนไปจากที่มีอยู่ก่อน เช่นเปลี่ยนจากชี้มูลเป็นไม่ชี้มูล หรือตรงกันข้ามก็ได้
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ผมใคร่ขออนุญาตแสดงความเห็นมเห็นที่คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจกับประเด็นทางการเมืองที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ผมขอแสดงจุดยืนก่อนเลยว่า ถ้าผมยังมีตำแหน่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ ผมจะไม่ชี้มูลความผิดการละเมิดหรือฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ ส.ส. 44 คนนี้ ตามที่ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องไว้ไต่สวนตั้งแต่เมื่อต้นปีนี้ โดยตอนนั้นผมได้เขียนบทความเผยแพร่ในกรอบเวทีทัศน์แห่งนี้เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2568 ซึ่งท่านผู้อ่านที่สนใจและยังไม่ได้อ่าน จะสามารถย้อนกลับไปอ่านได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้ : ป.ป.ช. กับอนาคตของ 44 ส.ส. พรรคประชาชน
สำหรับผู้ที่ไม่ประสงค์จะคลิกเข้าไปอ่าน ผมขอสรุปประเด็นความเห็นสั้นๆของผมว่าในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นจะต้องมีการแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่าง 3 อำนาจ คืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ไม่มีการก้าวก่ายหรือละเมิดอำนาจซึ่งกันและกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่สามารถถกเถียงกันได้
ผมเห็นว่าการทำหน้าที่ของ ส.ส. ทั้ง 44 คนนี้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่เหตุผลการเข้ามาก้าวก่ายของฝ่ายตุลาการอย่างเช่นศาลรัฐธรรมนูญนั้นรุนแรงเกินไป ถ้าเปรียบการทำสงครามก็คือการที่ฝ่ายตุลาการโจมตีฝ่ายนิติบัญญัติก่อน (pre-emptive strike) ทั้งๆที่ยังไม่มีเครื่องบ่งชี้ใดๆเลยว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะทำเกินเลยกว่าขอบเขตอำนาจที่ตนมีอยู่
ด้วยเหตุนี้ การจะชี้มูลด้านผผิดจริยธรรมโดยองค์กรกึ่งตุลาการอย่างเช่น ป.ป.ช.ในเรื่องการทำหน้าที่ตามปกติของฝ่ายนิติบัญญัติก็เช่นเดียวกัน และอันที่จริงแล้ว ป.ป.ช. อยู่ในฐานะและมีอำนาจที่จะเห็นต่างจากศาลรัฐธรรมนูญเพราะฐานความผิดแตกต่างกันและอำนาจในการลงโทษต่างกัน
ประเด็นเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันพระหากษัตริย์ของไทยก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่อ่อนไหวมากจนกระทั่งว่าใครก็ตามที่จะไปแก้ไขมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาคือผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ผมมีทฤษฎีที่สามารถนำมาใช้พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ภายใต้สถานการณ์ตามปกติ หรือที่ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เรียกข้อสมมุตินี้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่คงที่หรือเท่าเทียมกัน (ceteris paribus)
ระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องตามภาษาอังกฤษว่า ระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) นั้น “ดีกว่า” (superior to) หรืออย่างน้อย “ไม่ด้อยกว่า” (not inferior to) ระบบสาธารณรัฐนิยม (Republicanism) ที่มีคนธรรมดาเป็นประธานาธิบดีเสมอ
เพราะฉะนั้น ผู้มีอำนาจที่คอยจับผิดและลงโทษผู้ที่เห็นต่างโดยขาดเหตุผลที่สมควร น่าจะเป็นผู้ที่ “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของเราเสียเอง
อย่างที่ผมเคยพูดไว้ตามที่ต่างๆ ในเมื่อกลไกการปกครองตามกติกาเดินทางมาถึงจุดนี้ เราในฐานะคนไทยที่เชื่อและยอมรับในกฎหมายคงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะรอให้ผู้ทำหน้าที่ต่างๆ ทำหน้าที่ของตนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์และเรายอมรับในการตัดสินเช่นว่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมเองก็ไม่เดือดร้อนอะไรมากไปกว่าการภาวนาให้กรรมการ ป.ป.ช. คิดเห็นเหมือนผมในเรื่องนี้ โดยขอฝากบทกลอนนี้ให้ท่านได้อ่านและพิจารณาด้งนี้
ป.ป.ช. ที่พึ่งสุดท้ายของ 44 ส.ส. พรรคประชาชน
แสนเสียดาย พิธา ที่น่ารัก ชะล่านัก วิ่งออก นอกสนาม
มัวแต่เพลิน หาเสียง เรียบเรียงความ ไม่ครั่นคร้าม 112 ต้องเปลี่ยนไป
เลยถูกศาล รัฐธรรมนูญ เล็งศูนย์เปรี้ยง ตำแหน่งเดี้ยง โดนยุบพรรค ถูกผลักไส
เป็นผู้ช่วย หาเสียง เลี้ยงเอาไว้ ยังไม่วาย โดนข้อหา จริยธรรม
44 เพื่อน ส.ส. ก็โดนด้วย คงต้องม้วย ทันตา ไม่น่าขำ
คงต้องรอ ป.ป.ช. เขาล่อซ้ำ คงคะมำ ถ้วนทั่ว ทุกตัวคน
แต่ยังพอ มีหวัง ในครั้งนี้ ก็ตรงที่ ป.ป.ช. ไม่ฉ้อฉล
ไม่ทำตัว ลื่นไหล ไม่ร้อนรน แต่ทำตน หนักแน่น ไม่แค้นใคร
กรรมการ ทุกคน มีอิสระ ที่ใครจะ สั่งการ ให้ขานไข
ให้หันซ้าย หันขวา ว่ากันไป ทำไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ผิดครองธรรม์
กรรมการ ยึดหลัก แสนหนักแน่น ไม่โลดแล่น ตามกระแส ไม่แปรผัน
แต่ยึดหลัก หน้าที่ใคร หน้าที่มัน เขาเหล่านั้น เป็นผู้แทน แสนดีนัก
เขาดูแล กฎหมาย ให้ถูกต้อง คอยประคอง ความชอบธรรม ให้จำหลัก
ไม่ถูกใช้ เป็นเครื่องมือ สื่อนำชัก ให้ปฏิปักษ์ ด่าวดิ้น สิ้นชีวา
ถูกต้องตาม หลักการ คานอำนาจ ใครไม่อาจ ก้าวก่าย ไปหักขา
ฝ่ายไหนทำ คือผู้ผิด กติกา ควรข้อหา เซาะกร่อน บ่อนทำลาย
ประเทศไทย ในสายตา ประชาโลก ถูกสับโขก มานาน ต้านไม่ไหว
อยุติธรรม นำหน้า ประชาไทย เขาเลยไม่ อยากมา ค้าขายด้วย
คงต้องพึ่ง กรรมการ ผู้หาญกล้า อย่าล่าช้า ตัดสินใจ ไม่โลกสวย
เน้นตรวจสอบ ถ่วงดุล พยุงช่วย อย่าให้ม้วย ปลอดภัย ไกลกังวล
ให้ยกฟ้อง ทุกคน ที่ต้นคิด อย่าเอาผิด คนจริงใจ ไม่สับสน
ให้โอกาส เขาทำดี เป็นศรีตน ประชาชน จะมีสุข ทุกวันเอย
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก thairath.co.th

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา