
"...ข่าวสารที่หลั่งไหลสู่สายตาของผู้คนจึงเต็มไปด้วย ความเห็นทางอารมณ์ปนอคติ การเสกสรรปั้นแต่ง จริงปนเท็จ จนทำให้โซเชียลมีเดียกลายเป็นสื่อที่ทำให้ความจริงถูกลดความสำคัญลงด้วยอิทธิพลของอารมณ์และความเชื่อส่วนบุคคลและชักนำให้มนุษย์เข้าสู่โลกกึ่งความจริงได้อย่างง่ายดาย เพราะความจริงได้ถูกบดบังด้วยข่าวสารจากอารมณ์และความเชื่อของคนส่งข่าวสารจนเกือบหมดสิ้นและหากผู้รับข่าวสารไม่สามารถต้านทานต่ออารมณ์และความเห็นส่วนตัวเหล่านี้ได้ก็จะก้าวเข้าไปสู่โซนของความเห็นโดยไม่รู้ตัว เราจึงอยู่ในโลกที่มีความเห็นเป็นฉากข้างหน้าโดยมีความจริงซ่อนอยู่ข้างหลังและตราบใดที่เราไม่สามารถเลื่อนฉากให้พ้นสายตาได้เราก็จะไม่สามารถพบกับความจริงที่อยู่หลังฉากได้เลย..."
................................
“สื่อเฟคนิวส์ ไม่ใช่ศัตรูของผม แต่เป็นศัตรูของคนอเมริกันทั้งชาติ”
โดนัลด์ เจ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
17 กุมภาพันธ์ 2017 บน Twitter
(สื่อเฟคนิวส์ในที่นี้ ทรัมป์ หมายถึง nytimes, NBCNews, ABC, CBS, CNN ซึ่งอยู่คนละข้างกับเขา)
1. แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรกระฉ่อนโลก
เรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องที่เขย่าขวัญคนอังกฤษมากที่สุดเมื่อกว่า 130 ปีที่แล้ว คงไม่มีเหตุการณ์ใดได้รับความสนใจมากเท่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่มักถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงเสมอในความซับซ้อนและความลึกลับของคดีฆาตกรรมของฆาตกรโหดซึ่งเชื่อกันว่า ชื่อ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ เพราะเขาได้สังหารโหดหญิงสาวไปถึง 5 คนในเวลาไล่เลี่ยกัน ด้วยวิธีชำแหละและผ่าอย่างประณีต จนมีการสันนิษฐานว่าฆาตกรน่าจะเป็นผู้มีความรู้ทางการแพทย์หรือคนขายเนื้อซึ่งมีความชำนาญในการใช้มีดเป็นพิเศษ
เรื่องของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นที่จดจำของผู้คนในหลายแง่มุม แม้ว่าจะผ่านมาถึงร้อยกว่าปีแล้วก็ตาม จนถึงวันนี้ตัวตนของเขายังคงเป็นความลับมืดมน แม้ว่าจะมีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อยที่สุด 4 ราย และผู้ต้องหารายสุดท้ายซึ่งเป็นอดีตศัลยแพทย์ชื่อ โทมัส นีล ครีม ได้ถูกแขวนคอให้ตายตกไปตามกันแล้วก็ตาม แต่หลังจากนั้นการฆ่าชำแหละศพก็ยังคงเกิดขึ้นต่อไปอีก จนเกิดข้อสงสัยว่า โทมัส นีล ครีม อาจเป็น แพะรับบาปด้วยการถูกจัดฉากให้เป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ ก็เป็นได้
2. เฟคนิวส์ กระฉ่อนเมือง
สิ่งที่ปรากฏในช่วงเวลาที่เกิดการฆาตกรรมนับจากหญิงสาวรายแรกจนถึงรายสุดท้าย คือ พาดหัวข่าวใหญ่ต่อเนื่องของหนังสือพิมพ์ รวมทั้งข่าวลือจากปากผู้คนที่แพร่ไปทั่วลอนดอนอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ทำให้การฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์เป็นข่าวที่คนอังกฤษให้ความสนใจและติดตามข่าวอย่างใจจดใจจ่อ
ชาวลอนดอนต่างเข้าคิวกันยาวเหยียดเพื่อซื้อหนังสือพิมพ์ติดตามความคืบหน้าของคดี หลายคนทำตัวเป็นนักข่าวพลเมืองโดยการแจ้งเบาะแสการฆาตกรรม เป็นต้นว่า มีผู้เห็นผู้ชายที่ดูเหมือนมีอาการทางจิตถือมีดอยู่ในสถานที่เกิดเหตุในวันเดียวกับการฆาตกรรม บ้างก็ว่าเห็น พอลลี่ (แมรี แอนน์ นิโคล เหยื่อคนแรก) คุยกับชายที่มีสำเนียงต่างชาติก่อนเกิดเหตุ เป็นต้น แต่ก็ไม่สามารถนำไปสู่ข้อยุติของคดีได้
การฆาตกรรมด้วยการชำแหละศพหญิงสาวและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากสื่อทำให้กรุงลอนดอนตกอยู่ในความน่าสะพรึงกลัว หญิงสาวถูกพ่อและสามีห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล ตำรวจเพิ่มกำลังในการตรวจตราย่านไวท์ชาเปล ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ หนังสือพิมพ์ต่างประโคมข่าวสร้างความหวาดกลัว ทั้งเนื้อข่าวและภาพวาดที่น่ากลัวของการฆาตกรรมไปต่างๆนานาจนเกินความเป็นจริงทั้งๆที่ไม่มีใครเคยเห็นหรือรู้จักตัวตนของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์แม้แต่น้อย
สำนักข่าวท้องถิ่นบางแห่งถึงกับพิมพ์ข่าวพิเศษเพื่อให้ผู้อ่านอัปเดตข่าวฆาตกรรมเป็นระยะและยิ่งเขียนข่าวมาก ข้อมูลใหม่ๆก็ยิ่งลดลง พวกเขาจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะหาข้อมูลการสืบสวนของตำรวจให้มากที่สุด แต่เมื่อไม่ได้ผล สิ่งที่พวกเขามักกระทำคือ ละเลงข่าวเฟคนิวส์ เสียเอง
หลังเกิดเหตุ หญิงขายบริการบางคนอ้างว่า พบชายชาวยิวอพยพ ซึ่งมีฉายาว่า “ผ้ากันเปื้อนหนัง” สะสมมีดไว้ในร้านและเดินเร่อยู่แถวย่าน อีส เอนด์ พร้อมที่จะชำแหละหญิงสาวหากไม่ได้เงินจากพวกเธอ ผู้หญิงบางคนอ้างว่าพบผู้ตายอยู่กับชายลักษณะเหมือนชาวต่างชาติก่อนถูกฆาตกรรม แต่ในภายหลังเธอได้ยอมรับว่าเห็นชายคนนั้นจากด้านหลัง
ข่าวสารที่หลั่งไหลออกมาจากปากของผู้คนรวมทั้งจากสื่อเองที่ชี้นำว่ารูปลักษณ์ของฆาตกรเป็นชาวยิวน่าจะมีอิทธิพลต่อความเชื่อของผู้คนอยู่ไม่น้อย เพราะหลังจากการสังหารเหยื่อรายที่สองของฆาตกร หนังสือพิมพ์ The Star ฟันธงในทันทีว่าฆาตกรคือช่างทำรองเท้าชาวยิวเพียงเพราะมีการพบเศษหนังชิ้นเล็กๆในที่เกิดเหตุ ซึ่งสันนิษฐานจากการสวมผ้ากันเปื้อนหนังของช่างทำรองเท้าชาวยิว โดยไม่มีหลักฐานอื่นใดสนับสนุน ทั้งที่การสวมผ้ากันเปื้อนหนังเป็นเหมือนเครื่องแบบที่สวมกันทั่วไปในผู้ที่มีอาชีพเป็นช่างทำรองเท้าทุกคน
ในช่วงการฆาตกรรมมีข่าวสารมากมายเกิดขึ้นในลอนดอน จดหมายทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามายังสำนักข่าวกลางของลอนดอนและสำนักงานตำรวจอย่างไม่ขาดสาย จดหมายจำนวนมากให้คำแนะนำ แจ้งเบาะแส รวมทั้งคาดคะเนเหตุการณ์ไปต่างๆนานา หลายคนอาสาเป็นนักสืบสมัครเล่น ขณะที่จดหมายบางฉบับอ้างว่าเห็นฆาตกรซุ่มอยู่ในเงามืดทั่วลอนดอน ข่าวบางกระแสอ้าง ทฤษฎีภูมิหลังของฆาตกรที่ถูกกระทำอย่างโหดร้ายจากแม่ของตัวเอง จึงต้องระบายออกด้วยการหาเหยื่อหญิงสาวเพื่อการแก้แค้น และข่าวบางกระแสคาดว่าฆาตกรคือหมอหรือนักผ่าตัดจากวิธีชำแหละศพเหยื่อ เป็นต้น แต่มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ต่างจากจดหมายทั่วไป เพราะมีการบรรยายถึงการสังหารเหยื่อ การเย้ยหยันเจ้าหน้าที่ตำรวจและยืนยันว่าเขาจะทำงานสังหารซึ่งเป็นงานที่เขารักต่อไป จดหมายฉบับนี้ ลงชื่อว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรนิรนามที่ไม่มีใครรู้จักจึงมีชื่อว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ นับแต่นั้นมา
แม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นตัวตนเขา นับตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งหลายปีต่อมา ทั้งสื่อของลอนดอนและตำรวจได้รับจดหมายจากผู้ที่อ้างตัวว่าเป็น แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ นับพันฉบับ จดหมายเกือบทั้งหมดเชื่อว่าน่าจะเป็นของปลอมและภายหลังพิสูจน์ได้ว่าจดหมายบางฉบับมาจากนักหนังสือพิมพ์ของสำนักข่าวกลาง ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่ได้รับจดหมายฉบับแรกของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ นั่นเอง
ข้อมูล ข่าวสาร จากการฆาตกรรมกรณีของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ แสดงให้เห็นว่า ทั้งข่าวลือจากผู้คน จดหมายแจ้งเบาะแสต่างๆจากทั่วสารทิศ รวมทั้งนักหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอทั้งข่าวจริงและความเห็นที่ไม่ได้แยกแยะ จึงทำให้ ข่าวสารที่แพร่ในหมู่ชาวอังกฤษรวมไปถึงทั่วโลกที่ได้รับข่าวสารมีทั้ง ความจริง ความเห็น และความเท็จ ปะปนกันไป ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการฉวยโอกาสของนักหนังสือพิมพ์จากสถานการณ์ที่ผู้คนให้ความสนใจกุข่าวขึ้นมาเสียเองเพื่อหวังผลทางธุรกิจ
ความสับสนของข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นในช่วงฆาตกรรมได้สะท้อนถึงระดับมาตรฐานและจริยธรรมของสื่อในยุคนั้นที่อาศัยสถานการณ์และความอ่อนไหวทางอารมณ์ของผู้คนเพื่อการขายข่าว รวมทั้งการไม่ให้ความสำคัญต่อการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของข่าวจนทำให้ ความเห็นและความจริง ที่ไม่มีการแยกแยะหลุดรอดออกมาสู่สาธารณะโดยขาดการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
ข่าวปลอม ข่าวลวง และรายงานที่ขัดแย้งกันของสื่อที่ต่างคนต่างนำเสนอนอกจากจะสร้างความสับสนต่อผู้รับข่าวสารแล้ว ยังมีผลต่อรูปคดีอีกด้วย เพราะเมื่อสื่อฟันธงว่าฆาตกรคือชายชาวยิวอพยพ ความโน้มเอียงต่อความเชื่อว่าฆาตกรคือชาวยิวจึงค่อนข้างมีน้ำหนักและทำให้การสืบสวนของตำรวจไขว้เขวด้วยการชี้นำของสื่อและ พุ่งเป้าไปยังชุมชนผู้อพยพ ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานใดๆพิสูจน์ได้เลยว่าฆาตกรคือชาวยิวหรือผู้อพยพคนใด นอกจากการนำเสนอที่เลื่อนลอยของสื่อและผู้สงสัยที่ถูกจับกุมก็สามารถแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างไร้ข้อสงสัยจนทำให้ตำรวจต้องปล่อยตัวไปในที่สุด

3. Post Truth - ความจริงในเงามืด
ข่าวและข้อมูลที่เต็มไปด้วย ความเห็น การคาดเดาหรือแม้แต่ความเท็จ ที่เกิดขึ้นจากคดีฆาตกรรมของ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ในยุคที่ไร้อินเทอร์เน็ต คงเป็นบรรยากาศที่ไม่ได้ต่างจากโลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนมีสื่ออยู่ในมือและกำลังแข่งกันเผยแพร่สิ่งที่ตัวเองอยากนำเสนอผ่านโซเชียลมีเดียและถูกขยายความ บิดเบือน ตัดแต่งและเผยแพร่ต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบไม่เหลือเค้าของความจริง
ข่าวสารที่หลั่งไหลสู่สายตาของผู้คนจึงเต็มไปด้วย ความเห็นทางอารมณ์ปนอคติ การเสกสรรปั้นแต่ง จริงปนเท็จ จนทำให้โซเชียลมีเดียกลายเป็นสื่อที่ทำให้ความจริงถูกลดความสำคัญลงด้วยอิทธิพลของอารมณ์และความเชื่อส่วนบุคคลและชักนำให้มนุษย์เข้าสู่โลกกึ่งความจริงได้อย่างง่ายดาย เพราะความจริงได้ถูกบดบังด้วยข่าวสารจากอารมณ์และความเชื่อของคนส่งข่าวสารจนเกือบหมดสิ้นและหากผู้รับข่าวสารไม่สามารถต้านทานต่ออารมณ์และความเห็นส่วนตัวเหล่านี้ได้ก็จะก้าวเข้าไปสู่โซนของความเห็นโดยไม่รู้ตัว เราจึงอยู่ในโลกที่มีความเห็นเป็นฉากข้างหน้าโดยมีความจริงซ่อนอยู่ข้างหลังและตราบใดที่เราไม่สามารถเลื่อนฉากให้พ้นสายตาได้เราก็จะไม่สามารถพบกับความจริงที่อยู่หลังฉากได้เลย
4. “ความเห็น” กับ “ความจริง”
เมื่อเดือน มิถุนายน 2018 สำนักวิจัย พิว ( Pew Research Center) ของสหรัฐอเมริกา ได้ออกแบบสอบถาม ด้วยการให้ผู้ใหญ่จำนวน 5,000 คนในสหรัฐอเมริกา ตอบแบบสอบถาม 10 ข้อ โดยให้อ่านข้อความที่เป็น “ความจริง” จำนวน 5 ข้อ และข้อความที่เป็น “ความเห็น” 5 ข้อ และให้ตอบว่า ข้อความใดเป็น “ความจริง” และข้อความใดเป็น “ความเห็น”
ผลการสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างเพียง 26 เปอร์เซ็นต์หรือ 1,300 คน สามารถบอกได้ว่าข้อความใดคือความจริงทั้งหมด ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 35 เปอร์เซ็นต์หรือ 1,750 คน ชี้นิ้วไปที่ข้อความซึ่งเป็นความเห็น
จากผลสำรวจจึงพอจะประเมินได้ว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ที่กรอกแบบสอบถามไม่สามารถแยกแยะระหว่างความเห็นกับความจริงได้ และเมื่อศึกษาต่อไปถึงบริบททางการเมือง ผลการศึกษาพบว่า ไม่ว่าจะอยู่ในพรรคการเมืองฝ่ายใดก็ตาม กลุ่มตัวอย่างจะมีความโน้มเอียงที่จะเชื่อว่าข้อมูลจากพรรคการเมืองที่ตนเองถือหางเป็น “ความจริง” เสมอ ในทำนองเดียวกันก็มีความเชื่อว่าข้อมูลที่ตัวเองไม่ชอบคือ “ความเห็น” โดยไม่ทันพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นเป็นเหตุเป็นผลมากน้อยเพียงใด
ดังนั้นในบริบททางการเมือง หากมีข้อมูลใดก็ตามที่ออกมาจากพรรคการเมืองที่ตัวเองชอบมักจะถือว่าเป็นความจริง ส่วนข้อมูลใดก็ตามที่มาจากพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามมักจะถือเป็นความเห็น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าความเห็นทางการเมืองของพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน จึงแทบไม่มีวันบรรจบกันได้ เพราะทุกคนมีความลำเอียงและมักจะเชื่อในสิ่งที่อยากจะเชื่อเสมอ
5. บทเรียนจากมหาอำนาจ
แม้ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ผ่านพ้นไปแล้วและ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ตาม แต่กระแสการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งจนทำให้เกิดเหตุจลาจลอันเกิดจากการยุยงปลุกปั่นบนสังคมออนไลน์ว่ามีการทุจริตการเลือกตั้ง ผ่านโซเชียลมีเดีย ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 5 คน ยังคงคุกรุ่นและยังไม่เป็นที่ยุติโดยสิ้นเชิง
จากผลการสำรวจหลังการจลาจลพบว่าชาวอเมริกันจำนวน 32 เปอร์เซ็นต์ ยังคงเชื่อว่า โจ ไบเดน คือผู้ชนะที่ไม่มีความชอบธรรม ทั้งๆไม่ได้มีหลักฐานใดๆพิสูจน์ให้เห็นเลยว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการโกงเกิดขึ้นจริงและปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากอิทธิพลของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งใช้พลังของโซเชียลมีเดียเป่าหูผู้สนับสนุนตัวเองจนนำไปสู่การจลาจลและกลายเป็นความเชื่อที่ยังไม่สามารถลบล้างออกไปจากสมองของคนอเมริกันบางกลุ่มอันเป็นผลมาจากความลำเอียงที่มนุษย์มักไขว่คว้าหาข้อมูลเพื่อยืนยันความเชื่อของตัวเอง(Confirmation bias) จากโซเชียลมีเดียที่หลั่งไหลเข้ามาหาอย่างไม่ขาดสาย และกลายเป็นสะพานเชื่อมไปสู่ความเชื่อต่อข่าวปลอมหรือความเห็นโดยไม่รู้ตัว
6. ความลำเอียง – ปัญหาของมนุษย์
ความลำเอียงเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ที่ถ่ายทอดต่อจากรุ่นสู่รุ่น มนุษย์จึงมีความลำเอียงอยู่ในตัวเองทุกคนไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็น คนเชื้อชาติใด ศาสนาไหน อาชีพใดหรืออยู่ในวรรณะใดก็ตาม ความลำเอียงที่อยู่ในตัวมนุษย์ไม่เพียงแต่ทำให้เราชอบและหลงใหลในสิ่งที่ตรงใจกับตัวเองจนปิดกั้นข้อมูลหรือความเห็นอื่นๆแล้ว ความลำเอียงของมนุษย์ยังสามารถถ่ายทอดไปยังเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมทั้งถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆได้ตลอดเวลาทั้งด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ความลำเอียงในตัวมนุษย์จึงเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อข้อมูลข่าวสารที่เรากำลังให้ความสนใจ จนอาจทำให้เราไม่ยอมรับต่อข้อมูลที่มีความสำคัญและสะท้อนความจริง แต่กลับเต็มใจยอมรับต่อข้อมูลอีกชุดหนึ่งโดยอัตโนมัติเพราะข้อมูลชุดนั้นเป็นข้อมูลยืนยันในสิ่งที่เราเชื่ออยู่แล้วและมีความเป็นไปได้ที่ความลำเอียงสามารถชักนำมนุษย์ให้เข้าไปอยู่ในกับดักความเชื่ออย่างหัวปักหัวปำต่อข้อมูลบางกระแสและเฟคนิวส์ได้โดยง่ายดาย
มนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากที่สุด เพราะขณะที่มนุษย์ใช้ความฉลาดหลักแหลมของตัวเองในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับโลก แต่ในเวลาเดียวกันมนุษย์ก็มักเปิดเผยถึงจุดอ่อนของตัวเองด้วยการแสดงออกถึงความไร้เหตุผลอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเกิดในยุคใดสมัยใด ไม่ว่าจะถือหางพรรคการเมืองใด ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าผู้ตื่นรู้ทางสังคมหรือพวกอนุรักษ์นิยมและไม่ว่าจะอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วหรืออยู่ในประเทศที่ล้าหลังที่สุดของโลกก็ตาม
อ้างอิง
1. https://www.silpa-mag.com/history/article_9816
2. True or False โดย Cindy L. Otis
3. https://www.theatlantic.com
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://msmagazine.com/2019/09/24/telling-a-new-story-about-jack-the-ripper/

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา