
"...วัคซีนได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดเกิดขึ้นในปี 1885 เกือบหนึ่งศตวรรษ์หลังจากนายแพทย์เจนเนอร์ค้นพบวัคซีนเข็มแรก เมื่อหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ได้ค้นพบยาป้องกันพิษสุนัขบ้า ด้วยกลวิธีที่ทำให้เชื้อจากพิษสุนัขบ้าอ่อนกำลังลง และนำกลับมาฉีดเป็นภูมิคุ้มกันให้กับมนุษย์ นำไปสู่การค้นพบวัคซีนป้องกันโรคอีกมากมาย เช่น อหิวาตกโรค วัณโรค โรคคอตีบ โปลิโอและโรคไข้หวัดใหญ่ และแม้ว่า “วัคซีน” จะเริ่มจากการใช้ป้องกันโรคไข้ทรพิษที่นำมาจากฝีดาษวัว ปัจจุบัน “วัคซีน” กลายเป็นยาเพื่อการรักษาโรคระบาดทุก ๆ โรครวมทั้งโรคโควิด-19..."
.........................................
โรคระบาดโควิด-19 ระลอกสามกำลังโจมตีเราอย่างหนักหน่วงจนเกิดความสับสนและความบอดใบ้จนหาแนวทางการควบคุมไม่ได้ความหวังอยู่ที่ความร่วมมือของพวกเราที่ต้องตั้งการ์ดสูง และการนำวัคซีนมาฉีดในวงกว้างตั้งแต่ต้นเดือนหน้าเป็นตันไป อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่การเปิดแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังไปลงทะเบียนรับการฉีดวัดซีน ปรากฏว่า มีผู้มาลงทะเบียนเพียง 1.5 ล้านกว่าคนจากจำนวนผู้มีสิทธิกว่า 16 ล้านคน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกลัวจากการเสพข่าวว่า วัคซีนก่อให้เกิดผลข้างเคียง ทั้ง ๆ ที่ตามข้อเท็จจริง คนที่มีผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนมีน้อยมากและยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า คนที่แพ้ถึงขั้นรุนแรงเสียชีวิตนั้นเกิดจากการฉีดวัดซีนหรือไม่ ขณะเดียวกันแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างยืนยันว่า “ไม่ว่าประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนจะมากน้อยแค่ไหนหากคุณติดเชื้อโควิดก็จะผ่อนหนักเป็นเบา อาการจะไม่รุนแรง ที่แน่ ๆ ไม่ทำให้อาการหนักถึงขั้นเสียชีวิต”
ถ้าพวกเรายังหวาดผวาต่อการฉีดวัคซีน ลองอ่านถึงความเป็นมาของ “วัคซีน” เข็มแรกของโลกเมื่อ 225 ปีที่แล้วในช่วงการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของไข้ทรพิษหรือโรคฝีดาษที่ผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก อาจทำให้พวกเราคลายความกังวลได้บ้าง
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ ทวีปยุโรปเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงจากไข้ทรพิษ มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แพทย์ทั่วโลกพยายามค้นคว้าหาตัวยามารักษา แต่เนื่องจากวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่ดีพอจึงไม่เป็นผล อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เอดเวิร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner) แพทย์ชนบทชาวอังกฤษจากเมือง Gloucestershireได้สังเกตเห็นว่า ตามมือและแขนของผู้หญิงรีดนมวัวมักมีแผลที่เกิดจากฝีดาษวัว (cowpox) ที่ไม่รุนแรง และพบว่า ผู้หญิงรีดนมวัวในหมู่บ้านทุกคน ไม่มีใครป่วยเป็นโรคไข้ทรพิษเลย นายแพทย์เจนเนอร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็อยากค้นหาความจริง เพราะสถานการณ์การระบาดในเวลานั้น “เข้าตาจน” จึงเริ่มทำการทดลองโดยไม่ทำเป็นขั้นเป็นตอนที่ต้องเริ่มจากทดสอบกับสัตว์ก่อน แล้วจึงค่อยสุ่มตัวอย่างทดลองกับมนุษย์ นายแพทย์เจนเนอร์ทำแบบลูกทุ่งให้เห็นดำเห็นแดงกันเลย โดยในวันที่ 14 พฤษภาคม 1796 ได้นำหนองจากแขนของซาร่าห์ เนลเมส (Sarah Nelmes) หญิงรีดนมวัวที่ติดจากฝีดาษวัว ไปป้ายไว้ใต้ผิวหนังแขนของเจมส์ ฟิปส์ (James Phipps) เด็กชายวัย 8 ขวบ และพบว่าฟิปส์มีไข้เล็กน้อย แต่ก็หายภายในเวลาไม่นาน หลังจากนั้นประมาณ 6 สัปดาห์ นายแพทย์เจนเนอร์ได้นำเชื้อฝีดาษป้ายบนแผลของฟิปส์ ผลปรากฏว่า ฟิปส์ไม่แสดงอาการเป็นไข้ทรพิษเลย และเมื่อนำวิธีการนี้ไปทดสอบกับคนในหมู่บ้านก็ได้ผลเช่นเดียวกันนายแพทย์เจนเนอร์เรียกวิธีการนำฝีดาษวัวมาใช้ในการรักษานี้ว่า “vaccine” ซึ่งมาจากภาษาละตินว่า vacca ที่แปลว่าวัว นั่นเอง [1]

นายแพทย์เจนเนอร์ ได้ปลูกฝีให้กับฟิปส์เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 1796 (รูปภาพจาก https://en.wikipedia.org)

การฉีดวัคซีนยุคแรกๆ ของไทย (ภาพจาก “ตำราวัคซีน”)
เมื่อนายแพทย์เจนเนอร์ นํารายงานผลการทดลองเสนอต่อ ราชสมาคมแห่งลอนดอน (Royal Society of London) กลับไม่ได้รับการรับรอง เขาจึงตัดสินใจตีพิมพ์ผลการศึกษาดังกล่าวด้วยทุนส่วนตัวออกเผยแพร่ ซึ่งยังคงถูกคัดค้านจากวงการแพทย์เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องหลอกลวงคล้ายกับกรณีของเลดี้ แมรี เวิร์ทเลย์ มองตากู (Lady Mary Wortley Montagu) ที่นำวิธีการการปลูกฝีของชาวจีนมาใช้ในประเทศอังกฤษเพื่อป้องกันไข้ทรพิษเมื่อปี 1721 แต่ปรากฏว่า มีผู้ที่ได้รับการปลูกฝีบางรายป่วยเป็นไข้ทรพิษและเสียชีวิต [2]
แม้จะถูกปฏิเสธจากวงการแพทย์ แต่กลับได้รับความนิยมจากประชาชน มีผู้คนจำนวนมากพากันมารับการปลูกฝีจากนายแพทย์เจนเนอร์โดยไม่มีใครล้มป่วยเป็นฝีดาษ ในที่สุด รัฐสภาอังกฤษจึงรับรองผลงานนี้ในปี 1800 และในปีต่อมา ประธานาธิบดีทอมัส เจฟเฟอร์สัน ของสหรัฐฯได้ประกาศให้ประชากรสหรัฐฯ ทุกคนต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ
วัคซีนได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดเกิดขึ้นในปี 1885 เกือบหนึ่งศตวรรษ์หลังจากนายแพทย์เจนเนอร์ค้นพบวัคซีนเข็มแรก เมื่อหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ได้ค้นพบยาป้องกันพิษสุนัขบ้า ด้วยกลวิธีที่ทำให้เชื้อจากพิษสุนัขบ้าอ่อนกำลังลง และนำกลับมาฉีดเป็นภูมิคุ้มกันให้กับมนุษย์ นำไปสู่การค้นพบวัคซีนป้องกันโรคอีกมากมาย เช่น อหิวาตกโรค วัณโรค โรคคอตีบ โปลิโอและโรคไข้หวัดใหญ่ และแม้ว่า “วัคซีน” จะเริ่มจากการใช้ป้องกันโรคไข้ทรพิษที่นำมาจากฝีดาษวัว ปัจจุบัน “วัคซีน” กลายเป็นยาเพื่อการรักษาโรคระบาดทุก ๆ โรครวมทั้งโรคโควิด-19
สำหรับประเทศไทย ไข้ทรพิษถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงอย่างหนึ่งมาตั้งแต่โบราณ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีบันทึกเรื่องการระบาดของไข้ทรพิษบ่อยครั้ง ตั้งแต่ระดับชาวบ้านจนในรั้วในวัง มีพระมหากษัตริย์สวรรคตด้วยโรคไข้ทรพิษถึง 2 พระองค์คือ พระบรมราชาธิราชที่ 4 และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช [3]
จนในสมัยรัตนโกสินทร์ โรคนี้ก็ยังแพร่ระบาดเป็นประจำและไม่มีหนทางรักษาจนถูกหยิบยกมาตั้งคำถามคาดคั้นเอาจากมิชชันนารีอเมริกันที่เพิ่งเดินทางเข้ามาถึงเมื่อปี 1835 คือนายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ (หมอบลัดเลย์) วัย 31 ปี
ที่จริงมิชชันนารีอเมริกันก่อนหน้านี้เคยทดลองปลูกฝีตามวิธีของนายแพทย์เจนเนอร์มาแล้ว แต่หนองฝีที่บรรจุมาในกลักขี้ผึ้งต้องส่งทางเรือข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากสหรัฐฯ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 เดือนกว่าจะถึงเมืองไทยเชื้อก็เสื่อมคุณภาพไปจนใช้การไม่ได้
เมื่อไข้ทรพิษระบาดอีกครั้งในปี 1838 หมอบลัดเลย์ตัดสินใจใช้วิธีปลูกฝีแบบใหม่โดยใช้หนองฝีสดจากสะเก็ดแผลของผู้ป่วย ปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษให้แก่ลูก ๆ ของหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันเพื่อเป็นตัวอย่าง และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทย โดยคิดเงินค่าปลูกฝีคนละ 1 บาท มีเงื่อนไขให้กลับมาติดตามตรวจดูผล หากฝีขึ้นดีจะคืนเงินให้ 50 สตางค์ เพื่อนำเงินกลับไปซื้อพันธุ์หนองฝีวัวมาเพิ่มเติม ปรากฏว่าผู้คนให้ความสนใจกันมาก และเมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงทราบก็ได้ทรงส่งแพทย์หลวงมาเรียนรู้วิธีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษกับหมอบลัดเลย์ และในปีต่อมายังพระราชทานเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือในการหาซื้อเชื้อหนองฝีวัวซึ่งต้องนำเข้าจากสหรัฐมาใช้[4] ในปี 1844 หมอบลัดเลย์ได้สรุปบทเรียนเรียบเรียงเป็นหนังสือ “ตำราปลูกฝีโคให้กันโรคธรพิศม์ ไม่ให้ขึ้นได้” ตีพิมพ์จำนวน 500 ฉบับ
เมื่อถึงรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 การปลูกฝีเพื่อป้องกันไข้ทรพิษกลายเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาล และมีการรายงานความก้าวหน้าของเรื่องนี้ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาเป็นประจำ ในทศวรรษถัดมา ถือเป็นช่วงที่มีความก้าวหน้าอย่างสำคัญในเรื่องวัคซีน เมื่อรัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริให้เมืองไทยคิดทำหนองฝีขึ้นใช้เอง กระทรวงธรรมการได้ส่งนายแพทย์ของไทย 2 ท่านไปศึกษาดูงานเรื่องดังกล่าวที่ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งมีความก้าวหน้าในด้านนี้มากที่สุดในภูมิภาคตั้งแต่ยังอยู่ใต้การปกครองของสเปน แต่ขณะนั้นเพิ่งตกเป็นอาณานิคมของสหรัฐฯ ประกอบด้วยนายแพทย์แฮนซ์ อดัมเซ็น (Hans Adamsen) ภายหลังเป็นพระบำบัดสรรพโรค นายแพทย์ลูกครึ่งมอญ-เดนมาร์ก ผู้สำเร็จวิชาแพทย์จากสหรัฐฯ และ นายแพทย์อัทย์ หะสิตะเวช ต่อมาได้เป็นหลวงวิฆเนศประสิทธิวิทย์ นักศึกษาแพทย์หมายเลขประจำตัว 1 ของไทย และเมื่อทั้งสองท่านกลับมาเมืองไทยก็มีการทำพันธุ์หนองฝีครั้งแรกที่สำนักงานบริเวณสี่กั๊กพระยาศรี (สี่แยกพระยาศรี) ต่อมากระทรวงธรรมการเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “กอเวอนเมนต์ซีร่ำแลโบแร็ตโตรี” สำหรับผลิตพันธุ์หนองฝีขึ้นใช้ปลูกป้องกันไข้ทรพิษภายในประเทศ และได้ย้ายสถานผลิตพันธุ์หนองฝีไปตั้งที่ตำบลห้วยจรเข้ จังหวัดนครปฐม ก่อนโอนกิจการทั้งหมดมาไว้ที่สภากาชาดไทย ถนนพระราม 4 ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงปัจจุบัน [2]
หากจะย้อนกลับไปดูอดีต เราจะพบว่า ประสบการณ์อันหลากหลายจากกรณีโควิด-19 ตั้งแต่การเตรียมรับมือล่วงหน้าหลังมีข่าวการระบาด ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน การป้องกันโรคจากคนเดินทาง การออกประกาศให้ความรู้ นวัตกรรมการรักษา การตั้งโรงพยาบาลสนาม การตรากฎหมายเพื่อควบคุมโรค ไปจนถึงชีวิตวิถีใหม่ new normal ล้วนเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหน้าประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น แต่เราก็ผ่านพ้นมาได้ ขอเพียงให้เราเชื่อมั่นในนักวิทยาศาสตร์ นักการศึกษา แพทย์ พยาบาล ผู้ให้คำแนะนำด้านสาธารณสุข ซึ่งทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยว่า สามารถพาพวกเราไปสู่ตอนจบที่มีความสุข
ขอให้เราเป็นเหมือนหนูน้อยเจมส์ ฟิปส์ ผู้กล้าหาญเข้าร่วมทดสอบการปลูกหนองฝีวัว ฟิปส์แต่งงานมีลูกสองคน ไม่เคยเป็นโรคไข้ทรพิษ และใช้ชีวิตอยู่นานพอที่จะไปร่วมงานศพของนายแพทย์เจนเนอร์ ผู้ค้นพบวัคซีนเข็มแรก ช่วยให้ชาวโลกปราศจากโรคไข้ทรพิษมากว่า 40 ปีแล้ว โดยที่องค์การอนามัยโลกได้เลิกฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษมาตั้งแต่ปี 2513
แหล่งที่มา:
[1] Science Friday. 2021. The Origin Of The Word 'Vaccine'. [online] Available at: <https://www.sciencefriday.com/articles/the-origin-of-the-word-vaccine/> [Accessed 9 May 2021].
[2] ศิลปวัฒนธรรม. 2021. วัคซีนเข็มแรกของโลก วัคซีนเข็มแรกของไทย เกิดขึ้นเมื่อใด. [online] Available at: <https://www.silpa-mag.com/history/article_60861> [Accessed 9 May 2021].
[3] LINE TODAY. 2021. รู้จัก “5 โรคระบาด” ที่เคยรุกรานไทย อย่างเข้าใจและมีสติ - จุดประเด็น | LINE TODAY | LINE TODAY. [online] Available at: <https://today.line.me/th/v2/article/lYjXjB> [Accessed 9 May 2021].
[4] National Geographic Thailand. 2021. สยามยามเผชิญ โรคระบาด - National Geographic Thailand. [online] Available at: <https://ngthai.com/history/31993/siampandemic/> [Accessed 9 May 2021].
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://www.freepik.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา