
"...โรเบิร์ต บีวาส-ดีเนอร์ (Robert Biswas-Diener) นักจิตวิทยา ชาวอเมริกันได้ศึกษาเรื่องนิสัยบ่น และอธิบายไว้ในบทความเรื่อง “The Three Types of Complaining” ว่า การบ่นเกิดจากสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังคนขี้บ่นต่างก็ยึดความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงความถูกผิด อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจก็จะหงุดหงิดและตั้งต้นบ่น..."
...........................................
“แหม! ร้อนจัง ทำไมมาเลือกโต๊ะใกล้หน้าต่างล่ะ แล้วเมนูอยู่ไหน นานแล้วนะ ยังไม่เห็นเด็กเสิร์ฟเลย” เป็นเสียงบ่นที่โต๊ะอาหารกลางวัน ซึ่งเชื่อว่าพวกเราคงจะชินชากันแล้ว ไม่นับรวมถึงเสียงบ่นที่บ้านและที่ทำงาน เย็นกลับไปบ่นเรื่องที่ทำงานให้คนที่บ้านฟัง เช้าขึ้นมารีบบึ่งรถมาบ่นเรื่องที่บ้านให้เพื่อนที่ทำงานฟังแบบครบวงจร ถือเป็นนิสัยประจำตัวของคนทุกชาติ ทุกเพศ ทุกวัย และทุกอาชีพ

โรเบิร์ต บีวาส-ดีเนอร์ (Robert Biswas-Diener) นักจิตวิทยา ชาวอเมริกันได้ศึกษาเรื่องนิสัยบ่น และอธิบายไว้ในบทความเรื่อง “The Three Types of Complaining” ว่า การบ่นเกิดจากสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังคนขี้บ่นต่างก็ยึดความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงความถูกผิด อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจก็จะหงุดหงิดและตั้งต้นบ่น
บีวาส-ดีเนอร์ได้แบ่งลักษณะการบ่นออกเป็น 3 รูปแบบ แบบแรกคือ แบบที่บ่นทุกเวลาและทุกเรื่อง ไม่มีอะไรที่น่าพึงพอใจทุกอย่างขวางหูขวางตาไปหมด แรก ๆ บ่นพอจับความกันได้ แต่บ่นไปสักพักหนึ่งจะหยุดไม่อยู่ จนมาถึงจุดที่คนฟังจับต้นชนปลายไม่ถูกถ้าขืนไปตอบโต้ว่า “มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ” ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะจะถูกยิงกระสุนบ่นออกมาเป็นชุด ๆ ซึ่งน่าเบื่อหน่ายมาก คนบ่นลักษณะนี้จัดอยู่ในประเภทบ่นเรื้อรัง (chronic complainers) แบบที่สอง เป็นการบ่นแสวงหา ผู้เข้าร่วมกระบวนการ จะพยายามโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นว่า เรื่องที่ตนเองบ่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญและถูกต้อง จึงเที่ยววนเวียนหาคนรับฟังไปทุกที่ แต่ไม่เคยคิดวิธีการหาทางแก้ไขเรื่องที่ตนเองบ่น (venting) แบบที่สาม น่ากลัวน้อยหน่อย เป็นการบ่นแบบสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา คนบ่นรู้ความต้องการและรู้ข้อจำกัดความสามารถของตนเอง จึงอยากประสานให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยหาทางออก แต่น่าเสียดายที่เราไม่ค่อยได้ยินการบ่นลักษณะนี้มากนัก [1]
จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่สานต่อมาเมื่อปี 1996 พบว่า ถ้าเราใช้เวลาบ่นมากกว่า 30 นาทีต่อวัน โดยเฉพาะการบ่น 2 ลักษณะข้างต้น อาจทำให้ประสาทสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ การเรียนรู้ และการรับรู้ทางอารมณ์ (hippocampus) เสื่อมลงได้ [2]
อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า การบ่นเป็นเรื่องของนามธรรมจับต้องได้ยาก เป็นเรื่องภายในจิตใจ อารมณ์ เป็นเรื่องของมนุษย์กับความเป็นไปรอบตัวและเป็นเรื่องศิลปะของการดำรงชีวิต ได้มีการทดลองหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดในการจัดการกับคนขี้บ่น เช่น หลีกเลี่ยงไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยบ้าง ไม่พยายามหาทางแก้ไขให้บ้าง ไม่พยายามพูดเสริมด้วยความเห็นอกเห็นใจบ้าง เช่น พระไพศาล วิสาโล ได้ตอบคำถามประจำวันแนะนำถึงแนวทางแก้ไขนิสัย “จู้จี้ ขี้บ่นเอาแต่ใจ จนคนอื่นระอา” ว่า “ควรปล่อยวางให้มากขึ้น ไม่เอาความเห็นหรือความต้องการของตนเองเป็นใหญ่ หากตั้งมาตรฐานสูงไปหรือคาดหวังความสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ก็ควรผ่อนลงมา คือเรียกร้องหรือคาดหวังจากคนอื่นให้น้อยลง ขณะเดียวกัน ก็มองแง่บวกบ้างการมองแต่แง่ลบ จะทำให้เห็นแต่ข้อตำหนิอยู่เสมอ จึงอดบ่นไม่ได้ ถ้ามองเห็นด้านดีของคนอื่นหรือสิ่งที่คนอื่นทำบ้าง ก็จะบ่นน้อยลง” [3] แม้กระนั้น ทุกยุทธวิธีที่กล่าวมาก็ไม่อาจลดจำนวนคนขี้บ่นลงได้เลย ซ้ำกลับจะเพิ่มคนที่พยายามแก้ไขเรื่องบ่นให้เห็นดีเห็นงาม กระโจนเข้าร่วมวงจรบ่นไปด้วยซ้ำ

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่กล่าวอ้างถึงความสำเร็จของการสยบนิสัยความขี้บ่นลงได้อย่างน่าพอใจ เป็นเรื่องของ วิล โบเวน (Will Bowen) ชาวอเมริกัน อดีตนักขายประกันที่ประสบความสำเร็จและผันตัวมาเป็นศาสนาจารย์ นักเทศน์ผู้มากประสบการณ์จากการได้พบปะผู้คนทั่วสารทิศที่มาปรึกษาสารพันปัญหาแต่ละวัน ได้เขียนหนังสือติดอันดับ Best Sellers เรื่อง A Complain Free World เล่าเรื่องชีวิตตนเองไว้ว่า เป็นคนขี้บ่น ขาดความสุข เครียด ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและคนรอบข้างไม่ดีเลย จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตครั้งสำคัญ ชักชวนคนขี้บ่นรวม 250 คนมาก่อตั้งกระบวนการขจัดนิสัยขี้บ่นขึ้นในปี 2006 ด้วยการตั้งเป้าว่า จะต้องเลิกนิสัยบ่นให้ได้ภายในเวลา 21 วัน โดยใช้วิธีให้แต่ละคนใส่สายรัดข้อมือสีม่วงไว้ และทุกครั้งที่บ่นจะต้องถอดย้ายสายรัดจากข้อมือหนึ่งมาใส่อีกข้อมือหนึ่งเพื่อเป็นการเตือนสติให้สงบอารมณ์ ปรากฏว่าได้ผล จากนิสัยที่เคยบ่นถัวเฉลี่ยในแต่ละวัน 15-30 ครั้งได้ลดลง และที่น่าอัศจรรย์ก็คือในปัจจุบันคนทั่วโลกกว่า 11 ล้านคนสมัครเข้าร่วมกระบวนการเลิกบ่นดังกล่าว [4]
สำหรับตัวผม คิดว่าวิธีไหนก็ไม่มีผลเท่ากับการแก้ไขด้วยตนเอง โดยเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรยาก การ “มองให้เห็น” และการ “ฟังให้ได้ยิน”คือกุญแจสำคัญ ดูง่าย ๆ ถ้าเราเล่าเรื่องตลกให้คนฟังครั้งแรก ทุกคนจะรับมุก หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ถ้าเราเล่าเรื่องเดิมครั้งที่สองจะมีบางคนเดินหนีไปเงียบ ๆ ส่วนคนที่มีหัวเราะเบา ๆ คือคนที่พยายามรักษามารยาท แต่หากเราเล่าเป็นคำรบสาม ทุกคนจะหมดความอดทนเราจะกลายเป็นคนตลกแห้ง เปรียบเสมือนกับการที่เราบ่นเรื่องเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งคงไม่มีใครจะทนฟังได้ นอกจากจะได้ยินเสียงถอนหายใจเราจึงต้องถามตัวเองว่า เรากำลังสร้างพฤติกรรมที่ทำร้ายและก่อให้เกิดมลพิษกับตนเองและคนรอบข้างหรือไม่ ดังนั้น ถ้าจะเริ่มบ่น ขอให้ตั้งสติบ่นเบา ๆ ระบายความรู้สึกไม่พึงพอใจ พร้อมหายใจลึก ๆ ทำใจให้สงบ หากจำเป็นต้องบ่นจริง ๆ ขอให้บ่นเพียงว่า “ทำอย่างไร เราจะมีความสุขกับชีวิต สร้างมิตรภาพที่ดีกับคนรอบข้าง”
พยายามบ่นให้น้อยลงในแต่ละวัน แต่อย่าหยุดบ่นเสียเลยเพราะดูจะผิดธรรมชาติ คนที่บ่นไม่เป็นและไม่เคยบ่นดูจะเป็นคนด้อยเสน่ห์ไปบ้างนะครับ
แหล่งที่มา
[1] livingwisecoaching.com. 2021. วิธีคิดเพื่อเอาชนะอาการ "ขี้บ่น" - Livingwisecoaching. [online] Available at: <https://www.livingwisecoaching.com/content/14182/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%99-> [Accessed 13 June 2021].
[2] 2021. [online] Available at: <https://www.cnbc.com/2019/05/06/stanford-researchers-says-30-minutes-of-complaining-makes-you-dumber.html> [Accessed 13 June 2021].
[3] Facebook. 2021. Bei Facebook anmelden | Facebook. [online] Available at: <https://de-de.facebook.com/visalo/posts/236081013085890?form=MY01SV&OCID=MY01SV> [Accessed 13 June 2021].
[4] Youtube.com. 2021. Before you continue to YouTube. [online] Available at: <www.youtube.com/watch?v=-b8KTLzo5-0> [Accessed 13 June 2021].
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://www.freepik.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา