"...วันนี้ ประชาชนไม่ได้หวังวิสัยทัศน์อันล้ำลึกของผู้บริหารประเทศ ไม่ได้หวังความสำเร็จของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เราหวังในวันนี้ขอให้พวกเรารอดพ้นจากโควิท-19 ขอเพียงแค่ภาครัฐจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และเพียงพอต่อจำนวนประชาชนของประเทศ หยุดเถิด หยุดซื้อวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ แล้วหันมาซื้อวัคซีนที่มีคุณภาพดีๆ ให้มีจำนวนที่เพียงพอ ทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องง่ายเถิด เพื่อชาติ..."
.....................
เรื่องง่ายๆ ที่ทำไมต้องทำให้ยาก “การจัดหาวัคซีน”
ความหวังของคนไทยทุกคนในขณะนี้ก็คงหนีไม่พ้นให้ประเทศไทยสามารถจัดการการแพร่ระบาดของโรคโควิท-19 ให้ได้ แต่ประชาชนก็ได้แต่นั่งมอง อดทน เศร้าใจกับการบริหารที่ไร้ทิศทางของรัฐบาล ประเด็นสำคัญที่สุดในขณะนี้ก็คือ การจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ และวัคซีนต้องมีประสิทธิภาพ
การที่ประเทศไทยเริ่มฉีดวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ถ้าคิดในเชิงบวก เราก็จะได้ทราบผลวิจัยจากประเทศต่างๆ จากการฉีดวัคซีน มาเป็นข้อพิจารณาในการบริหารจัดการ ซึ่งพอเชื้อโควิท-19 มีการกลายพันธ์ ยิ่งทำให้เรารับรู้ได้ว่า วัคซีนชนิดใดมีประสิทธิภาพ หรือมีประสิทธิภาพต่ำ
วัคซีนหลักของประเทศทั้ง AstraZeneca และ Sinovac เราก็บริหารจัดการแบบปิดหูปิดตา คือไม่รับรู้ความเป็นจริง หรือข้อมูลใดๆ เลย สำหรับ AstraZeneca เราก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมีปัญหาเรื่องการส่งมอบล่าช้า และไม่ตรงตามแผนที่ตั้งใจไว้เพราะบริษัท AstraZeneca เองก็มีสัญญาที่จะต้องจัดส่งวัคซีนให้กับประเทศต่างๆ ในโลก ที่มีความต้องการวัคซีนเหมือนกับประเทศไทย อีกทั้งก็มีปัญหาเรื่องการส่งมอบวัคซีนล่าช้าให้กับ EU จนขึ้นโรงขึ้นศาลกันไปแล้ว บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ผู้รับผลิตวัคซีน ก็ออกมายอมรับว่ากำลังผลิตมีจำกัด และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดสรรวัคซีน จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเลยว่าในเดือนมิ.ย.ที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้วัคซีนจำนวน 6 ล้านโดส แต่นี่ก็จะสิ้นเดือนมิ.ย.แล้ว เราก็ได้รับวัคซีนเพียง 3.4 ล้านโดสเอง แล้วอีก 5 เดือนข้างหน้าที่แจ้งว่าจะได้รับวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส เราจะมั่นใจได้อย่างไร หรือเอาอะไรมามั่นใจ
สมมติว่า อีก 5 เดือนข้างหน้าเราจะได้รับวัคซีนเพียง 50% จากที่เราสั่ง (เปรียบเทียบจากเดือนมิ.ย.) ก็คือ 5 ล้านโดส การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนก็จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน เพราะวัคซีนมีน้อยกว่าที่ต้องการ แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงอีกข้อคือ วัคซีนต้องฉีด 2 เข็ม กลุ่มที่ฉีดวัคซีนในเดือนมิ.ย. จะครบกำหนดฉีดเข็มที่สอง ประมาณปลายเดือนส.ค. ต่อกับเดือนก.ย. ซึ่งหมายความว่าต้องกันวัคซีนจำนวนหนึ่งไว้สำหรับเข็มสอง ซึ่งการส่งมอบวัคซีนล่าช้าและก่อให้เกิดปัญหา ก็เห็นได้จากปัญหาที่เกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่วัคซีน AZ ภายใต้โครงการ COVAX มีการจัดส่งล่าช้า จนในที่สุดต้องตัดสินใจใช้วัคซีน Pfizer เป็นเข็มที่สองแทน หรือด้วยเหตุผลอื่นที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี (German Chancellor Angela Merkel) ซึ่งฉีดวัคซีน AZ เข็มที่หนึ่ง และฉีดเข็มที่สองคือ Moderna ซึ่งเป็นวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับวัคซีนของ Pfizer
ต่างประเทศเค้าก็รับรองผลกันแล้ว เรื่องการฉีดวัคซีนเข็มสองด้วย Pfizer หรือ Moderna เมื่อเราก็รู้อยู่แล้ว ว่าจะเกิดปัญหากับวัคซีน AZ ที่จะได้รับ และมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ เราก็เพียงแก้ไขปัญหาด้วยการสั่งซื้อวัคซีนทั้ง Pfizer และ Moderna มาใช้สำหรับเข็มที่สองเลย วัคซีนเหลือดีกว่าวัคซีนขาด และถ้าไม่ได้ฉีดเข็มที่สอง การที่จะป้องกันเชื้อโควิท-19 ย่อมจะไม่มีประสิทธิภาพ เท่ากับว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งเสียเปล่าไปเลย
ส่วนวัคซีน Sinovac ตามแผนของปี 2564 ที่จะจัดซื้อเป็นจำนวน 19.5 ล้านโดส และแผนการจัดหาในปี 2565 ในปี 2565 อีก 28 ล้านโดส ก็ไม่เข้าใจว่าจะซื้อวัคซีนยี่ห้อนี้ไปทำไม ในเมื่อประสิทธิภาพในการป้องกันก็ต่ำกว่าวัคซีนชนิดอื่นๆ และยังมีประสิทธิภาพที่ต่ำลงไปอีก กับเชื้อโควิท-19 ที่กลายพันธ์ ผลการวิจัยก็มีให้เห็นมากมาย และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศชิลี
วันนี้ ประชาชนไม่ได้หวังวิสัยทัศน์อันล้ำลึกของผู้บริหารประเทศ ไม่ได้หวังความสำเร็จของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เราหวังในวันนี้ขอให้พวกเรารอดพ้นจากโควิท-19 ขอเพียงแค่ภาครัฐจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และเพียงพอต่อจำนวนประชาชนของประเทศ หยุดเถิด หยุดซื้อวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ แล้วหันมาซื้อวัคซีนที่มีคุณภาพดีๆ ให้มีจำนวนที่เพียงพอ ทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องง่ายเถิด เพื่อชาติ นะจ๊ะ.......
ภาพประกอบจาก : https://www.freepik.com/free-photo/arrangement-with-coronavirus-vaccine-bottle_13436609.htm

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา