‘ทีมกุนซือแพทองธาร’ เตรียมเปิด ‘บ้านพิษณุโลก’ รับสภาหอ-สภาอุตฯ แก้เศรษฐกิจ

คณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เตรียมเปิดบ้านพิษณุโลก หารือ สภาอุต ฯ - สภาหอการค้า มีความเป็นไปได้เชิญ แบงก์ชาติ ถก ค่าเงินบาทแข็ง หมอเลี้ยบ ลั่น ทีมกุนซือแพทองธาร ไฟแรง-ไม่ตกยุค เป็นสารตั้งต้น สู่ความเปลี่ยนแปลง-แก้ปัญหาประเทศครั้งใหญ่ คนไทยพ้นความยากจน-เศรษฐกิจกลับมารุ่งเรือง จ่อ ตั้งคณะอนุกรรมการอีกจำนวนมาก

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 26 กันยายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งแรก ที่บ้านพิษณุโลก โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 2 ชั่วโมง ว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยได้ขอบคุณคณะที่ปรึกษานโยบายฯ ที่ได้ตอบรับมาเป็นที่ปรึกษานโยบายในครั้งนี้

“ท่านพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอแนะทุกอย่างของคณะที่ปรึกษานโยบาย ฯ และขอให้นำเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมา เห็นด้วยก็บอกว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็บอกว่าไม่เห็นด้วย เพื่อที่จะสามารถทำให้การกำหนดนโยบายได้รับข้อมูลที่รอบด้านมากยิ่งขึ้น”นพ.สุรพงษ์กล่าว

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า สำหรับบทบาทของคณะที่ปรึกษานโยบาย ฯ ที่จะทำต่อไปสรุปได้ 4 เรื่อง ดังนี้ เรื่องแรก คณะที่ปรึกษานโยบาย ฯ ทุกคนสามารถให้ข้อเสนอแนะโดยไม่มีข้อจำกัดในด้านที่ตัวเองเชี่ยวชาญ ขณะเดียวกันคณะที่ปรึกษานโยบายฯ แต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญในด้านใดและขับเคลื่อนเรื่องนั้นเป็นพิเศษ

1.นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษา มีประสบการณ์ด้านการเมืองและนโยบายมาหลายนายกรัฐมนตรี ต่างประเทศ เอสเอ็มอี การสร้างรายได้ถึงฐานราก

2.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษา มีประสบการณ์เรื่องสาธารณสุข และซอฟต์พาวเวอร์

3.นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ เคยทำงานอยู่ในภาคเอกชนมาก่อน ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจเป็นพิเศษ

4.นายธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษา มีความสนใจในเรื่องของการปฏิรูประบบราชการ

5.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ปรึกษา เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายมหาชน และกฎหมายต่าง ๆ

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า เรื่องที่สอง จะมีการเชิญผู้รับชอบของภาครัฐและเอกชน อุตสาหกรรม ธุรกิจขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ มาประชุมปรึกษาหารือเพื่อรวบรวมข้อมูลและองค์ความรู้ และเสนอเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อไป

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า เรื่องที่สาม นอกจากการเป็นคลังสมอง (think tank) ช่วยคิดแล้ว เราจะช่วยคิดด้วยว่า เราจะทำอย่างไร ไม่ใช่แค่ why แต่เป็น how จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร มีแผนและแนวทางที่ชัดเจน สอดคล้องและขับเคลื่อนระบบราชการและระบบเศรษฐกิจทั้งหมดให้ขับเคลื่อนไปได้และเสนอนายกรับมนตรี

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า เรื่องที่สี่ จะมีการประชุมคณะที่ปรึกษานโยบาย ฯ กันอย่างต่อเนื่องทุกวันพฤหัสบดี โดยนายกรัฐมนตรีจะมาร่วมประชุมทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า คณะที่ปรึกษานโยบาย ฯได้หารือกันเบื้องต้น ถึงเรื่องที่จะหารือกันที่เป็นเรื่องสำคัญที่จะเริ่มหารือกันอย่างจริงจัง คือ การอาศัยมาตรการเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยจะเสนอแนวคิดเบื้องต้นให้กับนายกรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้าเนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน มาตรการแก้หนี้ให้ได้ผลอย่างยั่งยืนในอนาคต ไม่ใช่แก้หนี้โดยการให้เงินอย่างเดียว แต่ต้องมีรายได้ และมาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีสามารถรุกไปยังต่างประเทศได้ เจาะตลาดต่างประเทศได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะที่ปรึกษานโยบายฯชุดนี้จะทำให้คนรุ่นใหม่ไว้วางใจได้อย่างไร นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า คำถามคือว่า ทั้งหมดนี้อายุมาก ประธาน (นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษานโยบายฯ) อายุ 80 ปีแล้ว รองลงมาคือท่านธงทอง อายุ 70 ปีแล้ว คณะที่ปรึกษานโยบายฯที่เหลืออายุ 60 ปีกว่า

“ผมไม่ได้มาลำเอียง มาชมกันเอง แต่ผมเชื่อว่า แต่ละท่านผ่านประสบการณ์กันมามากมาย วันนี้ก็ยังเรียนรู้ไม่หยุด ท่านติดตามสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ผมเชื่อว่า ทั้ง 5 คน เรื่องการตกสมัย ไม่มีแน่”นพ.สุรพงษ์กล่าว

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า คณะที่ปรึกษานโยบายฯไม่ได้ทำงานเพียง 5 คน หลังจากนี้จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการอีกจำนวนมากมายเพื่อช่วยกันพิจารณาในรายละเอียดแต่ละเรื่อง เช่น การศึกษา เทคโนโลยีชีวภาพ ซอฟต์พาวเวอร์

“คณะที่ปรึกษานโยบายฯจำนวน 5 คนนี้ เป็นเพียงสารตั้งต้นที่จะนำไปสู่การนำเสนอนโยบายที่ทำให้เกิดการแก้ปัญหาประเทศครั้งใหญ่”นพ.สุรพงษ์กล่าวและว่า

“บ้านพิษณุโลกต่อไปนี้ จะมีโอกาสที่จะเชิญประชุมทั้งภาครัฐและเอกชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมาร่วมประชุมกันในเรื่องต่าง ๆ ต่อไป”นพ.สุรพงษ์กล่าว

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชิญธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาพูดคุยเรื่องค่าเงินบาทแข็งหรือไม่ นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ธปท.ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาครัฐที่จะต้องมีบทบาทมาช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ มีความเป็นไปได้ที่จะมีการพูดคุยกัน แต่อาจจะไม่ถึงกับเชิญมาคุยอย่างเป็นทางการ

เมื่อถามว่า จะวัดผลงานของคณะที่ปรึกษานโยบายฯอย่างไร นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ไม่มีการกำหนด KPI (key performance indicator) ว่าจะต้องมีนโยบายออกมากี่เรื่อง ใน 3 เดือน 6 เดือน

“แต่เท่าที่ได้ประชุมร่วมกัน ผมเห็นเลยว่า ที่ปรึกษาฯแต่ละท่าน ต่างคนต่างมีไฟแรงมาก พร้อมที่อยากจะเริ่มงานกันเต็มที่เลย ท่านอาจารย์ธงทองเตรียมที่จะขอยืมตัวข้าราชการบางส่วนมาช่วยงานด้วยซ้ำไป”นพ.สุรพงษ์กล่าว

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า ถ้าวัดกันเป็น KPI คงจะวัดกันในลักษณะของภาพใหญ่ ที่เป็นผลงานของประเทศมากกว่า มีอะไรที่เป็นนโยบายสำคัญ ๆ ที่ทางที่ปรึกษาฯเสนอได้และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยของพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี คือ เรื่องการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสันติภาพในภูมิภาคนี้

“เรื่องนี้ คงจะไม่ได้มองเป็นเงื่อนเวลาว่า กี่เดือนจะได้อะไร แต่มองว่าภายในรัฐบาลขณะนี้ที่เหลือเวลาอีก 2 ปีกว่า สิ่งที่อยากเห็นคือ คนไทยต้องพ้นจากความยากจน ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่ในทุกวันนี้ และนำไปสู่ทิศทางที่ชัดเจนในการสร้างเศรษฐกิจให้กับมารุ่งเรืองอีกครั้ง”นพ.สุรพงษ์

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 317/2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ให้หน้าที่และอำนาจไว้ ดังนี้

• วิเคราะห์และศึกษาโอกาสในการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านนโยบายของรัฐบาล
• แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่ของคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
• ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ชี้แจง แสดงความเห็น ส่งเอกสาร ให้ข้อมูล หรือดำเนินการอื่นที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการของคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี
• ปฏิบัติงานอื่นตามที่นายกรับมนตรีมอบหมาย

ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอ และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี

สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี