
‘สภาพัฒน์’ เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/67 ขยายตัว 3.2% เครื่องชี้เศรษฐกิจปรับดีขึ้น ‘ทุกตัว’ ขณะที่จีดีพีทั้งปี 67 พลาดเป้า เติบโตได้เพียง 2.5% คงคาดการณ์เศรษฐกิจปี 68 ขยายตัว 2.3-3.3%
...............................
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2567 ทั้งปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2567 ขยายตัว 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจทั้งในฝั่งการผลิตและฝั่งการใช้จ่ายปรับตัวดีขึ้นทุกตัว โดยเฉพาะการลงทุนรวม ขยายตัว 5.1% จากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัว 39.4% ในขณะที่การลงทุนเอกชนหดตัว 2.1%
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/2567 การบริโภคเอกชน ขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ,การอุปโภคภาครัฐบาล ขยายตัว 5.4% , ปริมาณการส่งออกสินค้า ขยายตัว 8.9% ,ปริมาณการส่งออกบริการหรือภาคการท่องเที่ยว ขยายตัว 22.9% ,ภาคเกษตรกลับมาขยายตัวที่ 1.2% ซึ่งขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ,สาขาอุตสาหกรรม ขยายตัว 0.2% สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัว 10.2%
สาขาการขนส่ง ขยายตัว 9% ,สาขาการค้า ขยายตัว 3.9%, สาขาก่อสร้าง ขยายตัว 18.3% โดยส่วนใหญ่มาจากลงทุนก่อสร้างของภาครัฐ และสาขาการเงิน ขยายตัว 1.5%
“เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2567 (ปรับฤดูกาลแล้ว) ยังคงขยายตัว 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567” นายดนุชา กล่าวและว่า “ในช่วงไตรมาส 4/2567 การลงทุนภาคเอกชนที่หดตัว 2.1% นั้น เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาส 3 จากการลงทุนในเครื่องจักรเครื่องมือที่ลดลง 1.7% ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของการลงทุนหมวดยานยนต์ ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลง 3.9% โดยเฉพาะการลดลงของการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ส่วนการก่อสร้างโรงงานยังขยายตัวได้ดี”
นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัว 2.5% เร่งขึ้นจาก 2% ในปี 2566 โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการกลับมาขยายตัวของการส่งออก อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนหดตัวที่ 1.6% จากปี 2566 ที่การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 3.1%
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในปี 2567 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.4% อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.3% ต่อจีดีพี
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการแถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2567 และแนวโน้มปี 2567-2568 ของ สศช. เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2567 สศช. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 จะขยายตัวได้ที่ระดับ 2.6%



นายดนุชา กล่าวว่า สศช.คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.3-3.3% ค่ากลาง 2.8% เท่ากับตัวเลขประมาณการในครั้งก่อน โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 3.3% ,การอุปโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 1.3% ,การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 3.2% ,การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 4.7% ,มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3.5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยายตัว 0.5-1.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.5% ต่อจีดีพี
โดยสมมติฐานการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ได้แก่ เศรษฐกิจโลกขยายตัว 3% โดยเศรษฐกิจสหรัฐ ขยายตัว 2.4% เศรษฐกิจยูโรโซน ขยายตัว 1% เศรษฐกิจญี่ปุ่น ขยายตัว 1% และเศรษฐกิจจีน ขยายตัว 4.4% ,ปริมาณการค้าโลก ขยายตัว 3% ,อัตราแลกเปลี่ยน 34.5-35.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ,ราคาน้ำมันดิบดูไบ 75-85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 38 ล้านคน และรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.69 ล้านล้านบาท
“เศรษฐกิจปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.8% (ค่ากลาง) เรารวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเข้าไปแล้ว และเราก็ได้รวมความเสี่ยงเรื่องความผันผวนในแง่การค้าโลกเข้าไปด้วย โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญ ส่วนเป้าหมายของรัฐบาลที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึง 3-3.5% ในปีนี้ เป้าหมายอันนี้ คงจะต้องใช้มาตรการต่างๆเข้ามาเสริมมากขึ้น ทั้งเรื่องการลงทุนและมาตรการกระตุ้นการบริโภคต่างๆ
โดยตัวหลักๆที่น่าจะต้องดำเนินการ คือ การกระตุ้นการเกิดการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในฝั่งภาคเอกชน และการกระจายเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐเอง ก็อาจจะต้องมีการจัดทำแพ็กเกจลงทุนเพิ่มเติม เช่น การลงทุนในแง่การบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างปัจจัยการผลิตในระยะยาวให้กับชุมชนต่างๆ และสร้างความมั่นคงในแง่การบริหารจัดการน้ำของประเทศได้ ถ้ามีการเพิ่มเม็ดเงินในส่วนนี้เพิ่มเติม ก็จะทำให้เป้าหมายของรัฐบาลสำเร็จได้” นายดนุชา กล่าว


นายดนุชา ระบุว่า ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจปี 2568 ได้แก่ 1.การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน 2.การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ โดยการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัว สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และการขยายตัวของการนำเข้าวัตถุดิบตามการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ ขณะที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง
3.การฟื้นตัวต่อเนื่องของการท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2568 จะปรับตัวเข้าสู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ4.การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า โดยการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวตามทิศทางการค้าโลก รวมถึงคำสั่งซื้อใหม่ (new orders) และแนวโน้มวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
“ในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 การส่งออกขยายตัวสูงมาก จากเซมิคอนดักเตอร์ที่กลับมาขยายตัวได้ดี รวมทั้งมีคำสั่งซื้อใหม่จากประเทศสำคัญๆ ดังนั้น ในปีนี้ การส่งออกจะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย” นายดนุชา กล่าว


ส่วนข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจปี 2568 ได้แก่ 1.ความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดมีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมกับทุกประเทศในอัตรา 25% เป็นต้น
“ในเรื่องนี้ คงจะต้องมีการติดตามสถานการณ์ และกำหนดมาตรการต่างๆในการดูเรื่องการเจรจาการค้าต่างๆ ซึ่งขณะนี้ภาครัฐและเอกชนได้หารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการต่างๆ สำหรับใช้ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯอยู่ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยเองก็อยู่ในสปอตไลต์ในเรื่องนี้เช่นกัน โดยปีนี้ที่แล้ว เราเกินดุลสหรัฐฯอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เราขยับจากอันดับ 12 มาอยู่อันดับที่ 10-11 จึงต้องมีการหาทางเจรจาเพื่อลดผลกระทบ” นายดนุชา กล่าว


2.ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ภายใต้มาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 3/2567 หนี้สินครัวเรือนอยู่ที่ 89% ต่อจีดีพี แต่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ในหลายๆวัตถุประสงค์ และสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SML) ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ในขณะที่สถาบันการเงินเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อกับธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะ SMEs
3.ความเสี่ยงความผันผวนในภาคการเกษตรทั้งผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรสำคัญๆ โดยผลผลิตภาคเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะสร้างแรงกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า ท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตข้าวจากผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ

นายดนุชา ระบุว่า สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2568 ควรให้ความสำคัญกับ
1.การเตรียมการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ โดย (1) การให้ความสำคัญกับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้า (2) การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น
การยกระดับมาตรการกำกับดูแลผู้ประกอบการออนไลน์จากต่างประเทศ และการติดตามเร่งรัดกระบวนการไต่สวนการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุน และมาตรการปกป้องจากการนำเข้า (AD/CVD/AC) รวมทั้งการดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ
(3) การเร่งรัดการส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้า ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ และ (4) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก
2.การเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาขยายตัว โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบของกิจการร่วมค้า (Joint venture) เพื่อสร้างโอกาสในการส่งเสริมการสร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่องของไทยในช่วงของการย้ายฐานการลงทุนของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตขยายการผลิตในประเทศไทย
(2) การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2565-2567 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว เพื่อช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่มีศักยภาพ (3) การพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับลดอุปสรรคด้านขั้นตอนกระบวนการ และข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต และการพัฒนาผลิตภาพแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมและภาคบริการเป้าหมาย
และ (4) การเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อนำไปสู่การผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพและมีมูลค่าสูงขึ้นที่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาและมีมาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาดและข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศให้มีความพร้อมและสามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกมากขึ้น
3.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่ให้ต่ำกว่าร้อยละ 75 ของกรอบงบลงทุนรวม โดยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการที่สำคัญทั้งโครงการลงทุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมทั้งโครงการลงทุนด้านการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อวางรากฐานปัจจัยการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการน้ำระดับพื้นที่ให้กระจายไปสู่ชุมชน
4.การสร้างการตระหนักรู้ถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ลูกหนี้โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจ SMEs ได้รับความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้และสามารถชำระหนี้ได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพ
5.การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว รวมถึงการเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ สนามบิน/เที่ยวบิน กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่และสิ่งแวดล้อม
อ่านประกอบ :
‘สภาพัฒน์’เผยไตรมาส 3/67 ว่างงาน 4.1 แสนคน-‘หนี้เสีย’แตะ 1.16 ล้านล้าน ขยายตัว 12.2%
‘สภาพัฒน์’เผยจีดีพีไตรมาส 3/67 โต 3%-คาดทั้งปี 2.6% จับตาผลกระทบสหรัฐฯกีดกันทางการค้า
สศช.เผย‘ว่างงาน’ไตรมาส 2/67 แตะ1.07% เพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังโควิด-NPLs หนี้ครัวเรือน 2.99%
‘สศช.’เผยจีดีพีไตรมาส 2/67 โต 2.3% คาดทั้งปี 2.3-2.8%-หนุน‘รัฐบาลใหม่’กระตุ้นเศรษฐกิจ
‘สศช.’ห่วงNPLสินเชื่อบ้านโต 12.4%-เผย'หนี้เสีย' 3 ใน 4 เป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-น้อย
‘สศช.’เผยเศรษฐกิจไตรมาส 1/67 ขยายตัว 1.5% หั่นคาดการณ์ GDP ทั้งปีเหลือ 2-3%
‘สภาพัฒน์’เผยจ้างงานไตรมาส 4/66 โต 1.7%-‘หนี้เสีย’ครัวเรือน’แตะ 1.52 แสนล้าน เพิ่ม 7.9%
‘สศช.’เผยเศรษฐกิจไตรมาส 4/66 โตแค่ 1.7% ทั้งปีขยายตัว 1.9%-หั่นเป้าปี 67 เหลือ 2.2-3.2%
'สศช.'เผยไตรมาส 3/66 ค่าจ้างโต 9%-ว่างงาน 0.99% ห่วงลูกหนี้'รหัส 21'พุ่ง 4.9 ล้านบัญชี
สศช.เผยGDPไตรมาส 3/66 โต 1.5% คาดทั้งปี 2.5%-ปีหน้า 2.7-3.7% ยังไม่รวมแจก'หมื่นดิจิทัล'
‘สศช.’เผยคนอายุน้อยกว่า 30 ปี‘หนี้เสีย’พุ่ง-ไตรมาส 2/66 ‘จ้างงานโต-ค่าจ้างแท้จริงเพิ่ม’
เศรษฐกิจไทยโตต่ำคาด! สศช.เผยจีดีพีไตรมาส 2/66 ขยายตัวแค่ 1.8%-หั่นเป้าทั้งปีเหลือ 2.5-3%
จ้างงานโต-ว่างงานลด! ‘เลขาฯสศช.’ห่วงขึ้น‘ค่าจ้าง’เท่ากันทั้งปท.-ระเบิดเวลาหนี้ครัวเรือน
สศช.เผยจีดีพีไตรมาส 1/66 โต 2.7% คาดทั้งปี 2.7-3.7%-แนะ‘รบ.ใหม่’รักษาวินัยการเงินการคลัง
'สศช.'ห่วงคนอายุ 60 ปีขึ้นไป มี'หนี้เสีย'บัญชีละ 7.7 หมื่น-ไตรมาส 4/65 ว่างงาน 4.6 แสนคน
เศรษฐกิจโตต่ำคาด! ‘สศช.’เผยจีดีพีไตรมาส 4/65 ขยายตัว 1.4%-หั่นจีดีพีปี 66 เหลือ 2.7-3.7%
‘สศช.’หวั่นขึ้นค่าจ้าง 600 บ. กดดันอุตฯปลดคนงาน-รัฐปรับฐานเงินเดือน‘ขรก.’ทำภาระงบเพิ่ม
เงินเฟ้อฉุด‘ค่าจ้างที่แท้จริง’ไตรมาส 3 หด 3.1%-สศช.ห่วงกลุ่มอายุ 41 ปีขึ้นไปหนี้เสียพุ่ง
‘สภาพัฒน์’ เผยจีดีพีไตรมาส 3/65 ขยายตัว 4.5% คาดทั้งปี 3.2%-มองปี 66 เศรษฐกิจโต 3-4%
‘สศช.’เผย ‘ผู้ว่างงาน’ ไตรมาส 2/65 ลดเหลือ 5.5 แสนคน-หนี้ครัวเรือน 89.2% ต่อจีดีพี
บริโภคเอกชน-ท่องเที่ยวเร่งตัว! ‘สศช.’เผยจีดีพีไตรมาส 2/65 โต 2.5% มองทั้งปี 2.7-3.2%
‘สศช.’ เผยจีดีพีไตรมาส 1/65 ขยายตัว 2.2%-หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปีเหลือโต 2.5-3.5%

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา