
‘ธปท.’ ประเมินผลกระทบ ‘ภาษีทรัมป์’ ทุบเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% อย่างน้อย 1 ปีครึ่ง คาด ‘ส่งออก’ ครึ่งหลังปี 68 ส่อหดตัว 4% ส่วนปี 2569 ทั้งปีติดลบ 2%
..........................................
เมื่อวันที่ 9 ก.ค. นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายในงาน Monetary Policy Forum 2/2568 ว่า ความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษี reciprocal tariff ในอัตราที่สูงนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญ ที่จะมีนัยยะต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก ซึ่ง ธปท. และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
“ตอนนี้ ยังไม่ชัดเจน 100% ว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าภาษี (reciprocal tariff) เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% ทุกคนจ่าย 10% ส่วน sectoral tariffs ก็มี 25% หรือ 50% แต่ตัวใหญ่ๆ ก็ยังมีความไม่แน่นอนว่า จะเป็นรูปแบบไหนกันแน่ โดยภาษี tariff ซึ่งเป็นการเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าของสหรัฐแพงขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อให้ดีมานด์ลดลงจากฝั่งสหรัฐเอง และพยายามผลักต้นทุนให้ผู้ประกอบการ ทั้งในสหรัฐหรือผู้ส่งออกจากประเทศอื่นๆ
เป็นต้นทุนที่แพงขึ้นในทางค้าขาย ซึ่งส่งผลค่อนข้างกว้าง เพราะสหรัฐเป็นเหมือน final demand ที่สำคัญมากของโลก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บทบาทของสหรัฐเป็น final demand ทำหน้าที่เป็นผู้บริโภคหลักของโลก ถ้าตรงนี้แผ่วลง ผลกระทบจะค่อนข้างกว้าง ก็เห็นด้วยกับ IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) ว่า เรื่องนี้มีผลกระทบระยะยาว เพราะโครงสร้างการค้าต้องเปลี่ยน ซัพพลายเชนต้องเปลี่ยน ต้องปรับตัว ต้องหาตลาดใหม่” นายปิติ กล่าว
เมื่อถามว่า กรณีที่ไทยถูกสหรัฐฯเก็บภาษี reciprocal tariff ในอัตราสูงสุดที่ 36% จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างไร นายปิติ กล่าวว่า ในการประชุม กนง. ครั้งที่ผ่านมา กนง.ได้ประเมินฉากทัศน์ต่างๆ ไปจนถึงฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งสมมติฐานของตัวเลขอัตราภาษีฯถูกเรียกเก็บที่ 18% นั้น น่าจะเป็นตัวแทนของภาพรวมว่าจะอยู่ที่ประมาณนี้ แต่หากไทยถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากกว่านี้ ก็ต้องนำไปบวกหรือลบจากเส้นกลางนี้
“เรื่องตัวเลข ผมคิดว่าไม่สำคัญมาก เท่ากับทิศทางโดยรวมของเศรษฐกิจที่เรามองว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตัวที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น scenario ไหน ครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป เศรษฐกิจจะแผ่วลง ตั้งแต่เดือน ส.ค. ไปจนถึงครึ่งแรกของปีหน้า โดยล่าสุดเราได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2569 ลงมาอยู่ที่ 1.7% ทิศทางของเศรษฐกิจ จึงชะลอลงพอสมควรจากนี้ไป อัตราการขยายตัวจากนี้ ต้องเรียนตามตรงว่า ไม่ดี เราขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ
แต่เมื่อเรามองว่าเป็นปัจจัยที่เข้ามา มันมีช็อกที่ทอดยาว จึงมีเหตุผลว่า ทำไมมันจึงขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ และหากเกิดกรณีเลวร้าย ก็อยู่ในวิสัยที่เราได้ประเมินไว้แล้ว แต่ภาพใหญ่คงไม่เปลี่ยน ทิศทางการขยายตัวจะชะลอตัวพอสมควร และที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็น 36% หรือ 18% หรือ 10% นั้น reciprocal tariff ทั้งหลายที่พูด หรือเป็นไปอย่างที่แถลงไว้นั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจาก sectoral tariffs ที่อาจจะถูกยกเว้นได้
พูดง่ายๆ คือ ตะกร้าส่งออกของเราที่ส่งออกไปสหรัฐ 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ไม่ใช่ว่าทุกส่วนจะโดน reciprocal tariff ที่ 36% หรือ 18% หรือ 10% สินค้าส่วนใหญ่ อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ยังไม่ได้ถูก tariff แต่ถ้าเป็นยานยนต์และชิ้นส่วนฯ ถูกเก็บ sectoral tariffs ที่ 25% ซึ่งทั้งหมดนี้เป็น 40% ของตะกร้าส่งออกของเราไปสหรัฐ และทั่วโลกโดนภาษีเท่ากัน ไม่ว่า reciprocal tariff จะเป็นเท่าไหร่
ดังนั้น ความเสี่ยงที่ไทยจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบประเทศอื่น มันจะอยู่ที่ 60% ของตะกร้าส่งออกไปสหรัฐ ไม่ใช่ทั้งหมด ดีกรีของผลกระทบจึงต้องมีการแยกแยะอีก แต่เนื่องจากความไม่แน่นอนยังมีอยู่เยอะมาก และไม่ทราบว่าจะมีการปรับอะไรกันอีกข้างหน้า” นายปิติ กล่าว
นายปิติ ระบุด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยที่อยู่ในระดับต่ำ ไม่ได้สะท้อนว่าคนรีรอที่จะบริโภค เพื่อรอว่าราคาสินค้าจะต่ำลง และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำนั้น มาจากราคาในหมวดพลังงานและหมวดอาหารสดที่ปรับตัวลดลง โดยไม่ได้แพร่กระจายไปสู่หมวดอื่นๆ ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืด และในทางตรงกันข้าม เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำจากราคาพลังงานที่ถูกนั้น จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง
“เงินเฟ้อที่ต่ำ ที่สะท้อนพลังงานที่ถูกในช่วงนี้ จะเป็นอะไรที่ช่วยต้นทุนการผลิตของเศรษฐกิจมากกว่า ในการรองรับเรื่อง tariff” นายปิติ ระบุ

ด้าน นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า จากตัวเลขเศรษฐกิจจริงตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค.2568 และเครื่องชี้เร็วในเดือน มิ.ย.2568 จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.2568) ยังขยายตัวได้ แต่เมื่อมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายหลายด้าน เช่น เรื่องภาษีนำเข้า (tariff) ที่จะส่งผลกระทบเรื่องการส่งออก และทอดไปถึงการลงทุนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง
“ครึ่งปีแรก สิ่งที่เราเห็น คือ เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ ยังไม่เห็นการสะดุดรุนแรง แต่เมื่อมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายหลายด้าน เช่น เรื่อง tariff ที่จะกระทบต่อการส่งออก และทอดไปถึงการลงทุนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง นักท่องเที่ยวโตช้ากว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ การส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว ที่ชะลอตัว สุดท้ายแล้วจะกระทบการบริโภคในระยะต่อไป โดยจะเริ่มเห็นตั้งแต่ในครึ่งปีหลัง ทอดยาวไปจนถึงปี 2569” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ ระบุว่า ธปท.ยังคงต้องติดตามพัฒนาการมาตรการภาษี reciprocal tariff ของสหรัฐฯ เพราะแม้ว่าเมื่อวานนี้ (8 มิ.ย.) สหรัฐฯได้ส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษี reciprocal tariff กับ 14 ประเทศ รวมถึงไทยแล้ว แต่การที่สหรัฐฯเลื่อนระยะเวลาจัดเก็บภาษีฯออกไปเป็นวันที่ 1 ส.ค.2568 นั้น ทำให้ประเทศต่างๆ รวมถึงไทย มีโอกาสจะในการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษี reciprocal tariff ลงมา ในขณะที่อัตราภาษี sectoral tariffs ยังไม่อะไรเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม
“ตลาดการเงินโลก รวมถึงตลาดการเงินไทย ไม่ได้ปรับตัวรุนแรง ตลาดได้คาดการณ์ตรงนี้ไปแล้ว แต่เราต้องติดตามในแง่ความชัดเจนของ tariff ในระยะต่อไป ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนที่ยังอยู่กับเรา” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ผ่านมา กนง.ได้พูดคุยกันถึงปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว รวมทั้งประเมินผลกระทบจากมาตรภาษี (tariff) ของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย ว่า จะไม่มีลักษณะที่ทำให้เศรษฐกิจไทยกระทบแบบรุนแรง เร็วๆ และตกลงไปในระยะสั้น เหมือนกับในช่วงโควิด แต่จะเป็นช็อกที่มีลักษณะทอดยาว และผลกระทบหลักๆจะอยู่ในเซ็กเตอร์ที่ส่งออกไปสหรัฐเป็นหลัก
“เราจะไม่ได้เห็นการลงไปเร็วๆ และขึ้นมาเร็วๆ แต่แรงกระแทกครั้งนี้ จะทอดยาว และลักษณะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า จะขึ้นอยู่กับการปรับตัวของภาคธุรกิจ” นายสักกะภพ กล่าว และว่า “ในการดำเนินนโยบายการเงิน กนง. เห็นว่า ควรจะผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ เนื่องจากในระยะข้างหน้ามีความไม่แน่นอนสูง และ กนง. พร้อมปรับนโยบายเพิ่มเติม หากมีความจำเป็น ถ้าเห็นว่า ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงเริ่มมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น”
@คาดเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 68 โต 1.6%-ส่งออกลบ 4%
น.ส.บัณณรี ปัณณราช ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก ยังขยายตัวได้ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการผลิตและการส่งออกสินค้า แต่ในระยะข้างหน้า มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอตัว จากผลกระทบของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการลงทุน และการบริโภคในประเทศ ในขณะที่รายรับจากภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอลง
น.ส.บัณณรี กล่าวว่า ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.9% และในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้เพียง 1.6% ทำให้ทั้งปี 2568 เศรษฐกิจขยายตัว 2.3% ส่วนปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.7% โดยปัจจัยหลักๆที่ทำให้เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าชะลอตัวลง มาจากการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวรุนแรง ซึ่งเป็นผลจากมาตรการภาษีของสหรัฐที่จะมีความชัดเจนในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ ธปท. คาดว่าการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จะหดตัว -4% จากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่การส่งออกขยายตัวได้ 12.6% ส่วนในปี 2569 คาดว่าการส่งออกของไทยทั้งปีจะหดตัว -2%
“แรงส่งในช่วงครึ่งปีแรก บางส่วนเป็นการ front-load ของการผลิตแล้วส่งออกไป แต่ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจจะชะลอลงพอสมควร โดยในช่วงครึ่งปีแรกอาจโตใกล้ๆ 3% คือ 2.9% แต่ครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจจะโต 1.6% และในปีหน้า เศรษฐกิจจะโตเพียง 1.7% จึงเป็นท้าทายของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าที่จะมี growth ต่ำกว่า 2% อย่างน้อย 1 ปีครึ่ง โดยปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจในระยะข้างหน้าชะลอลง หลักๆมาจากการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวรุนแรง” น.ส.บัณณรี กล่าว


น.ส.บัณณรี ระบุว่า แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 มีแนวโน้มลดลง แต่รายรับจากนักท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ จากค่าใช้จ่ายต่อทริปที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มตลาดระยะไกล คือ นักท่องเที่ยวยุโรป และเข้ามาช่วยชดเชยรายรับจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงได้ แต่เนื่องจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวระยะไกล เน้นการพักในโรงแรม แตกต่างจากกับนักท่องเที่ยวระยะใกล้ ที่เน้นการรับประทาอาหารและช็อปปิ้ง ทำให้การกระจายรายได้เปลี่ยนไป
“ก่อนหน้านี้ แรงขับเคลื่อนมาจากนักท่องเที่ยวระยะสั้น และนักท่องเที่ยวจีน แต่ข้อมูลล่าสุดพบว่า แม้ว่าแรงขับเคลื่อนจากนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัวลง จากความไม่มั่นใจในเรื่องการเดินทาง แต่นักท่องเที่ยวกลุ่มระยะไกล คือ กลุ่มยุโรป ยังมีความต้องการมาเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ สูงกว่านักท่องเที่ยวระยะใกล้ 1.7 เท่า และช่วยชดเชยรายรับจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง” น.ส.บัณณรี กล่าว

น.ส.บัณณรี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน อาทิ ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว และการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตในต่างประเทศ เช่น การขยายกำลังการผลิต ซึ่งทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับอุปสงค์ที่ลดลง การแข่งขันที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากสินค้าต่างประเทศ
“การพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ มีส่วนกดดันในเรื่องการผลิตและการประกอบการของธุรกิจในประเทศไทย” น.ส.บัณณรี กล่าว
น.ส.บัณณรี ระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเบ้ด้านต่ำ ทั้งปี 2568 และปี 2569 โดยมีประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1.พัฒนาการของการเจรจาการค้าและผลกระทบจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ 2.ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และ3.การตึงตัวของสินเชื่อในบางจุดที่อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางและ SMEs มากกว่าที่คาดไว้

ขณะที่ นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. ระบุว่า ธปท.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 จะอยู่ที่ 0.5% และปี 2569 อยู่ที่ 0.8% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ จากอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานที่คาดจะติดลบ 3.2% ในปี 2568 และติดลบ 1.3% ในปี 2569 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงต่อเนื่อง รวมถึงการตรึงค่าไฟฟ้า ส่วนอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสด ปี 2568 อยู่ที่ 1.2% และปี 2569 อยู่ที่ 1.6% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี (ปี 2553-2562) ที่ 1.5%
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานและอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดที่อยู่ในระดับต่ำหรือติดลบนั้น ไม่ได้กระจายไปที่ราคาสินค้าและบริการหมวดอื่นๆ ไม่ว่าจะค่าโดยสารสาธารณะ และอาหารสำเร็จรูป เป็นต้น ในขณะที่ราคาสินค้าที่ครัวเรือนบริโภคเป็นประจำยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่า ขณะนี้ภาวะเงินเฟ้อของประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะเงินฝืดแต่อย่างใด
“อัตราเงินเฟ้อที่เห็นว่า ต่ำ มีที่มาจากหมวดของราคาพลังงานและอาหารสด และจริงๆแล้ว ราคาพลังงานและอาหารสด ไม่ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะราคาสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงในวงกว้าง อีกทั้งราคาสินค้าที่ประชาชนบริโภคเป็นประจำ ยังเห็นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูง” นายสุรัช กล่าว


สำหรับภาวะการเงินนั้น ภาวะการเงินตึงตัว โดยสินเชื่อรวมหดตัวต่อเนื่อง จากการชำระคืนหนี้มากขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจมีความจำเป็นในกู้ยืมเพื่อลงทุนน้อยลง และสถาบันการเงินยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ในขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลง โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่วนค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนและแข็งค่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากปัจจัยภายนอก และสอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค
“ในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินนั้น จะมีการใช้เครื่องมือที่หลากหลาย ไม่เพียงแต่ดอกเบี้ย ซึ่ง ธปท. มีเครื่องมือต่างๆ ที่จะมาช่วยลดภาระหนี้ เพื่อให้ผู้ที่เป็นหนี้ไปต่อได้ โดยที่ผ่านมามีการขยายโครงการต่างๆ เช่น โครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ระยะที่สอง” นายสุรัช กล่าว

อ่านประกอบ :
มติ 6 ต่อ 1! 'กนง.'คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% คาดเศรษฐกิจ 68 โต 2.3%-ปีหน้าเหลือ 1.7%
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75%-'เทรดวอร์'ส่อฉุดGDPปี 68 เหลือ 1.3-2%
เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ประเมิน! กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2%
มติเอกฉันท์! 'กนง.'คงดอกเบี้ย 2.25% มอง GDP ปีหน้า 2.9%-จับตาเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
บรรเทาภาระหนี้! กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%-คาด GDP ปี 67 โต 2.7%
‘ผู้ว่าฯธปท.’เผย‘กนง.’กังวลสภาวะการเงิน‘ตึงตัว’ ย้ำ 3 เงื่อนไขปรับดบ.-ปัดตอบลดค่าฟี FIDF
มติ 6 ต่อ 1! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ชี้สอดคล้องการขยายตัวศก.-กังวล‘หนี้ครัวเรือน’สูง
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! 'บอร์ด กนง.' เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%-มอง GDP ปี 67 โต 2.6%
'นายกฯ'เรียกร้อง'ธปท.'นัดประชุม'กนง.'ก่อนกำหนด ถกลด'ดอกเบี้ย'หลังมีข้อมูลใหม่'สภาพัฒน์'
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 67 โตไม่เกิน 3%
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 2.4%
3 กรรมการ'กนง.'ฝั่ง'แบงก์ชาติ' มองทิศทาง'ดอกเบี้ยนโยบาย' ท่ามกลาง'ปัจจัยเสี่ยง-แรงกดดัน'
เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น! กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ2.5%-มองGDPปีนี้โต 2.8%
สู่ระดับ 2.25%! 'กนง.'มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%-มอง'เงินเฟ้อ'มีความเสี่ยงด้านสูง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา