
‘กนง.’ มีมติเอกฉันท์ลดอัตรา 'ดอกเบี้ยนโยบาย' 0.25% สู่ระดับ 1.5% ชี้มาตรการ ‘ภาษีสหรัฐฯ’ ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้าง-‘เงินเฟ้อ’ มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ
..................................
เมื่อวันที่ 13 ส.ค. นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ว่า คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดี มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้าง เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง จึงมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในการประชุมครั้งนี้
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคการผลิต
มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปีจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลงตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ SMEs ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำจากความเชื่อมั่นและแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลง โดยต้องติดตามผลกระทบของการเก็บภาษี transshipment และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าและบริการอื่นไม่ได้ลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนในอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้
สินเชื่อหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะใน SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ประกอบกับการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สำหรับคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับลดลงตามคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ
คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนมาตรการทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินในระยะข้างหน้าควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันควรคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลางและขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัด
@‘ภาษีสหรัฐฯ’ทำเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง‘ชะลอตัว’
นายสักกะภพ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินไว้ โดยมาจากปัจจัยการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/2568 จากการเร่งส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อันเนื่องจากมาตรการภาษีของสหรัฐ (Tariff) อีกทั้งการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีดังกล่าวยังส่งผลดีมายังภาคการผลิตด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพไปข้างหน้า การส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากผลของมาตรการภาษีสหรัฐฯ
“กลุ่มที่เราโดน Reciprocal Tariff จะเห็นการชะลอลงในระยะต่อไป รวมถึงกลุ่มที่โดน Sectoral Tariff เช่น เหล็ก อลูมิเนียม และยานยนต์ต่างๆ ที่ทุกคนโดน Tariff เท่ากันหมด แม้ว่าจะไม่ได้เห็นการเสียเปรียบได้เปรียบ แต่เราจะเห็นดีมานด์ปรับลดลง เมื่อมองไปข้างหน้า 2 ตัวนี้ น่าจะชะลอตัวลงชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการยกเว้นจัดเก็บภาษี จะเห็นได้ว่ามีการเร่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ electric cycle ที่ยังคงมีต่อเนื่อง และในมุมมองของแบงก์ชาติคิดว่า ส่วนนี้อาจจะยังพอไปต่อได้ แม้จะไม่ดีมาก แต่ก็ไม่ได้ปักหัวลง” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ ระบุว่า ที่ผ่านมา ธปท. ได้ส่งสัญญาณมาตั้งแต่การประชุมในครั้งที่แล้วว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลง และในครั้งนี้ เศรษฐกิจไม่ได้ชะลอตัวเพิ่มเติมจากที่ประเมินไว้แต่อย่างใด โดยคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2568 และปี 2569 ยังขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ขณะที่เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวน้อยกว่าในช่วงครึ่งปีแรก จากผลของมาตรการภาษีสหรัฐฯ แม้ว่าอัตราภาษีที่ไทยได้จะไม่เสียเปรียบคู่แข่งและคู่ค้าก็ตาม
“แม้ว่าเราจะมีข่าวดีว่าอัตราภาษี Tariff เราอาจไม่ได้เสียเปรียบคู่ค้าคู่แข่งเท่าไหร่ แต่อัตราภาษีที่สหรัฐฯประกาศออกมานั้น เป็นอัตราที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ ตลอด 70-80 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯไม่เคยมี Tariff ที่สูงขนาดนี้ ซึ่งจะทำให้ราคาสูงขึ้นและความต้องการลดลง โดยผลกระทบจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และจะเห็นลักษณะแรงส่งของเศรษฐกิจเริ่มชะลอลงตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้ทอดยาวไปถึงปีหน้า แต่ไม่ได้มากกว่าที่เราเคยคาดไว้” นายสักกะภพ ระบุ
นายสักกะภพ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2568 เครื่องยนต์เศรษฐกิจต่างๆ มีจุดที่จะเห็นความเปราะบางสูงขึ้น โดยเครื่องชี้ในภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มปักหัวลง จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะสั้น ทั้งนี้ ในการประชุม กนง. ครั้งหน้า ในวันที่ 8 ต.ค.2568 จะมีการปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ส่วนเครื่องยนต์เศรษฐกิจอื่นๆ ค่อนข้างทรงตัว และยังไม่มีสัญญาณปรับดีขึ้นชัดเจน
“ความเปราะบางจะเห็นเพิ่มมากขึ้น โดยมาจากภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคที่มีการจ้างงานค่อนข้างเยอะ มีอาชีพอิสระค่อนข้างเยอะ แล้วจะไปกระทบกับรายได้ของคนในวงกว้าง กระทบกับ SMEs และกระทบกับการบริโภคต่อไป ฉะนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะเห็น อาจมีลักษณะกระจุกในกลุ่มที่เป็นรายใหญ่ แต่กลุ่มที่เป็นรายย่อยนั้น เมื่อมองไปข้างหน้า จะยังมีความเปราะบางอยู่” นายสักกะภพ กล่าว
นอกจากนี้ ผลกระทบของภาษีสหรัฐฯ จะมาซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยภาคการผลิตมีแนวโน้มขยายตัวลดลงต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ทั้งในภาคการผลิตและในภาคบริการ จะเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อธุรกิจและแรงงานในวงกว้าง อันจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไป



@‘เงินเฟ้อทั่วไป’ลดลงจากที่คาด-‘กนง.’ถกสินเชื่อหดตัว
นายสักกะภพ กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อโดยรวมปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อน โดยหลักๆมาจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยราคาพลังงานปรับลดลง จากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง และราคาอาหารสดลดลง จากอากาศที่ดีกว่าคาด ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในกรอบใกล้เคียงกับที่ ธปท.ประเมินไว้ คือ ใกล้เคียง 1%
“เงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำมาจากหมวดซัพพลายไซด์ เรื่องของอาหารสด เรื่องพลังงาน มีมาพอสมควรแล้ว เมื่อมองไปข้างหน้า ยังเห็นเทรนด์อย่างนั้นอยู่ ซึ่งเงินเฟ้อที่ต่ำมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจ ส่วนแรงกดดันด้านอุปสงค์ เรายังไม่เห็นในแง่การปรับลดลงของราคาในวงกว้างหรือหลายๆสินค้าพร้อมๆกัน” นายสักกะภพ กล่าว

นายสักกะภพ กล่าวว่า ในการประชุม กนง. ครั้งนี้ ประเด็นที่คณะกรรมการฯ หารือกันมาก คือ เรื่องสินเชื่อและภาวะการเงิน โดยสินเชื่อโดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากในช่วงโควิด-19 นั้น มีการออกมาตราการช่วยเหลือและเร่งให้สภาพคล่อง ทำให้หนี้สินต่อจีดีพีสูงขึ้น ก่อนที่จะปรับตัวลดลงตามธรรมชาติ หลังจากมีการสะสมความเปราะบาง และมี Leverage สูงขึ้นในช่วงที่ผ่าน ทำให้ธุรกิจบางกลุ่ม เช่น กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการคืนหนี้มากขึ้น
“เมื่อเทียบกับช่วงโควิดจะเห็นว่าการคืนหนี้เพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างเยอะ และค่อนข้างทรงตัวในระดับสูง ขณะเดียวกัน สินเชื่อปล่อยใหม่ จริงๆไม่ได้ลดลงมาก ค่อนข้างคงที่ ตรงนี้จะบอกว่า ความต้องการสินเชื่อ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่อาจมีความต้องการสินเชื่อที่ลดลง
แต่กลับกัน ธุรกิจขนาดเล็กมีความต้องการสินเชื่ออยู่ แต่แบงก์มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อสูงขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านเครดิตของ SME ที่สูงขึ้น NPL ของ SMEs ยังทยอยปรับสูงขึ้นอยู่ และกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ เรายังเห็น NPL ไปต่อ ค่อยๆทยอยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย” นายสักกะภพ กล่าว



@ชี้‘ดอกเบี้ยนโยบาย’ลดลงได้อีก-เงินเฟ้อไม่เป็นอุปสรรค
นายสักกะภพ ระบุว่า โดยภาพรวมแล้ว การลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในครั้งนี้ จะทำให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัว โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และในการประชุม กนง.ครั้งนี้ กนง. สามารถให้น้ำหนักความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวน้อยลงได้ อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปข้างหน้า นโยบายการเงินก็ควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นายสักกะภพ กล่าวด้วยว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว ถือเป็นการลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 4 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และลดดอกเบี้ยไปถึง 1% แล้ว ซึ่งรองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้าระดับหนึ่ง
“ความสำคัญในแง่การรักษาเสถียรภาพในระยะปานกลาง ควบคู่กับการดูเรื่องประสิทธิผล และ policy space ที่เราคุยกันหลายครั้งว่า เรามีอย่างจำกัด ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น” นายสักกะภพ กล่าว
เมื่อถามว่า กนง. มีช่องว่างที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีกเท่าไหร่ และบริบทอะไรที่จะทำให้ลดดอกเบี้ยได้อีก รวมทั้งการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ กนง.หวังผลอะไร นายสักกะภพ กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ กนง.ต้องการทำให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัว โดยเฉพาะในกลุ่มได้รับความยากลำบาก อย่างกลุ่ม SMEs และกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ในขณะที่ภาพของเงินเฟ้อไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการปรับลดดอกเบี้ย ส่วนผลของการปรับลดดอกเบี้ยต่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจะมีมากน้อยขนาดไหน คงมีไม่มาก เพราะตัวเงินเฟ้อที่ต่ำนั้น มาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก
“เงินเฟ้อ ไม่ได้เป็นตัวที่ทำให้เราปรับลงดอกเบี้ยไม่ได้ แล้ว (ดอกเบี้ย) ยังลงได้อีก เพราะจริงๆแล้ว เราเคยอยู่ต่ำสุดที่ 0.5% แต่ประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ยในแต่ละรอบ พอถึงจุดที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำ การส่งผลของดอกเบี้ยจะลดลงเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ เราเห็นหลักฐาน ไม่ใช่เฉพาะแค่เมืองไทย ในต่างประเทศก็เห็นเช่นนั้นเช่นกัน ส่วนที่ว่า Real Rate (อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง) ของเราเป็นเท่าไหร่ ถ้าใช้เงินเฟ้อคาดการณ์ที่อยู่ที่ 1% กว่าๆ Real Rate ของเราจะอยู่ที่ใกล้เคียง 0%” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ กล่าวว่า “นโยบายการเงินที่ผ่านมา คณะกรรมการฯคุยกัน ก็อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า ‘ผ่อนคลาย’ แต่ครั้งนี้เป็นการ ‘ผ่อนคลายเพิ่มเติม’ ขึ้นมาอีก เพื่อบรรเทาในเรื่องการปรับตัวของกลุ่มเปราะบาง” พร้อมทั้งระบุว่า “คาดหวังว่าการปรับดอกเบี้ยในครั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับลดเบี้ยเงินกู้ตามไปด้วย”
เมื่อถามว่า แบงก์ชาติจะมั่นใจได้อย่างไรว่า การลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะลดดอกเบี้ยตาม นายสักกะภพ กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งที่ผ่านมา การส่งผ่านนโยบายในภาพรวมอยู่ที่ 43% ใกล้เคียงกับในช่วงโควิดที่การส่งผ่านนโยบายอยู่ที่ 40% อย่างไรก็ดี ในการประชุมครั้งที่ 3 ที่มีการลดดอกเบี้ยนั้น การส่งผ่านจะน้อยกว่าในการลดดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งแรก และคาดหวังว่าการส่งผ่านในครั้งนี้ ยังมีช่องว่างให้ส่งผ่านได้
“เรื่องการส่งผ่านนโยบาย แบงก์เอง ก็ต้องการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว การดูแลจริงๆ ผมมองว่า การส่งผ่านนโยบายไม่ใช่แค่ส่งผ่านในแง่ตัวดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว แต่จะรวมถึงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ด้วย เช่นที่เรากำลังพยายามเน้นเรื่องการแก้หนี้ ลดภาระหนี้ของกลุ่มที่มีความเปราะบาง” นายสักกะภพ กล่าว
อ่านประกอบ :
‘ส่งออก’ส่อหดตัวแรง! ‘ธปท.’ชี้‘ภาษีทรัมป์’ทุบเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% อย่างน้อย 1 ปีครึ่ง
มติ 6 ต่อ 1! 'กนง.'คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% คาดเศรษฐกิจ 68 โต 2.3%-ปีหน้าเหลือ 1.7%
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75%-'เทรดวอร์'ส่อฉุดGDPปี 68 เหลือ 1.3-2%
เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ประเมิน! กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2%
มติเอกฉันท์! 'กนง.'คงดอกเบี้ย 2.25% มอง GDP ปีหน้า 2.9%-จับตาเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
บรรเทาภาระหนี้! กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%-คาด GDP ปี 67 โต 2.7%
‘ผู้ว่าฯธปท.’เผย‘กนง.’กังวลสภาวะการเงิน‘ตึงตัว’ ย้ำ 3 เงื่อนไขปรับดบ.-ปัดตอบลดค่าฟี FIDF
มติ 6 ต่อ 1! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ชี้สอดคล้องการขยายตัวศก.-กังวล‘หนี้ครัวเรือน’สูง
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! 'บอร์ด กนง.' เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%-มอง GDP ปี 67 โต 2.6%
'นายกฯ'เรียกร้อง'ธปท.'นัดประชุม'กนง.'ก่อนกำหนด ถกลด'ดอกเบี้ย'หลังมีข้อมูลใหม่'สภาพัฒน์'
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 67 โตไม่เกิน 3%
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 2.4%
3 กรรมการ'กนง.'ฝั่ง'แบงก์ชาติ' มองทิศทาง'ดอกเบี้ยนโยบาย' ท่ามกลาง'ปัจจัยเสี่ยง-แรงกดดัน'
เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น! กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ2.5%-มองGDPปีนี้โต 2.8%
สู่ระดับ 2.25%! 'กนง.'มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%-มอง'เงินเฟ้อ'มีความเสี่ยงด้านสูง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา