
‘พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ’ บิ๊กบางกอกแอร์เวย์ส เผย 5 ปี ‘อู่ตะเภา’ ยังไม่นับหนึ่ง EEC ขอดึงเสนอครม.ก่อน ชี้เอกชนมีสิทธิ์เลิกสัญญา-ขอเงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาทคืนได้ทุกเมื่อ มองลดสเกลผู้โดยสารเฟสแรกเหลือ 3 ล้านดีแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 1 กันยายน 2568 นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ในฐานะผู้ถือหุ้น บจ. อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ตอนนี้โครงการล่าช้ามากแล้ว นับจากที่มีการลงนามสัญญาก็ครบ 5 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการซึ่งถือว่า ภาครัฐทำผิดข้อกำหนด ที่ผ่านมามีการเจรจามาตลอด โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) ขอขยายกำหนดเริ่มงาน (NTP) มาแล้ว 2 ครั้งล่าสุด ขยายจากวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ออกไปแล้วนั้น
@มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญา และจะขอเงินลงทุน 4,000 ล.คืนด้วย
นายพุฒิพงศ์กล่าวว่า EEC ขอเวลาเพื่อรอเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแนวทางการแก้ปัญหา ทั้งเรื่อง การสละสิทธิ์เงื่อนไขเริ่มโครงการโดยไม่มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และเรื่องสิทธิประโยชน์ ต่างๆ ที่มีประมาณ 10 ข้อ เช่น การให้สิทธิทางภาษีกับผู้เข้ามาใช้พื้นที่เมืองการบิน, สิทธิสำหรับผู้เข้ามาทำงาน (work permit) ,การออกใบอนุญาตสำหรับร้านอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และดิวตี้ฟรี เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามายังเมืองการบินและสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ได้ ซึ่งในช่วงเย็น วันนี้ (1 ก.ย. 2568) ทางกลุ่ม UTA จะมีการประชุมภายในเพื่อติดตามแนวทางในการดำเนินโครงการ เพราะตอนนี้มีหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา รวมทั้งรอครม. รับทราบมติบอร์ด EEC ด้วย ซึ่งขณะนี้ สถานการณ์ทางการเมือง ยังมีความไม่แน่นอน จึงยังไม่ทราบว่า จะได้ข้อสรุปเมื่อไร และอย่างไร ซึ่งคาดว่าจะรอความชัดเจนอีกประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ กลุ่มฯมีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาได้แล้ว ตามเงื่อนไข ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนในโครงการนี้ไปแล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท ดังนั้นหากต้องยกเลิกสัญญานกันจริง ก็จะขอคืนเงินลงทุนจาก EEC ในฐานะคู่สัญญา
@จูงมือ EEC ขอเริ่มต้นที่ 3 ล้านคน/ปี
นายพุฒิพงศ์กล่าวว่า จากที่ ได้พูดคุยกับ EEC มีความพยายามจะแก้ไขปัญหารวมกัน นอกจากนี้ ได้หารือเรื่องการปรับแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในฟสแรก จากเดิมที่ 12 ล้านคนต่อปี แต่เนื่องจากมีผลกระทบจากโควิด-19 และการพัฒนาขยายศัยกภาพสนามบินของ ทอท.และปัจจัยอื่นๆที่มากระทบต่อปริมาณผู้โดยสาร จึงมีการเจรจาเพื่อปรับลดการพัฒนาในเฟสแรกลง มาเริ่มต้นที่ 3 ล้านคนต่อปีก่อน เพราะเมื่อเทียบกับสนามบินอู่ตะเภาในปัจจุบัน ที่มีจำนวนผู้ผู้โดยสารเพียง 4 แสนคนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลังสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2-3 ล้านคนต่อปี จึงเห็นว่า เหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งหากเปิดบริการแล้วผู้โดยสารเติบโตเร็ว ถึง70% ของขีดความสามารถก็สามารถพัฒนาขยายการรองรับเพิ่มเป็น 6 ล้านคนต่อปี 8 ล้านคนต่อปี ได้ และสุดท้ายจะพัฒนาไปถึง 60 ล้านคนต่อปีตามระยะเวลาสัญญา 50 ปี
นายพุฒิพงศ์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการรพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ท่าอากาศยานอู่ตะเภา พื้นที่ประมาณ 210 ไร่ ที่ บริษัทฯร่วมมือกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ล่าสุดได้ยื่นเสนอรายละเอียดไปที่ EEC แล้ว โดยเบื้องต้น บริษัทฯ และการบินไทย จะใช้รูปแบบการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยบริษัทฯ จะรับผิดชอบพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ ใช้วงเงินลงทุนหลัก 1,000 ล้านบาท ส่วนพื้นที่ที่เหลือเป็นส่วนของการบินไทย
“การพัฒนา MRO สนามบินอู่ตะเภา บางกอกแอร์เวย์ จะร่วมมือกับการบินไทย รูปแบบการแบ่งพื้นที่ สร้างโรงซ่อมบำรุงเครื่องบิน (Hangar) แยกกันเพราะมีความคล่องตัวมากกว่า การร่วมทุนกะนซึ่งจะต้องตั้งบริษัทใหม่ และขอใบอนุญาตใหม่ ที่มีเงื่อนไขและใช้เวลามากกว่า โดยบริษัทฯ จะดำเนินการซ่อมอากาศยานลำตัวแคบ อาทิ เครื่องบินแอร์บัส A320 และแอร์บัส A319 ในขณะที่การบินไทยจะดูแลเครื่องบินลำตัวกว้าง “ นายพุฒิพงศ์กล่าว
อ่านประกอบ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา