
ศาลอาญาสั่งจำคุก 5 แกนนำนปช.ชุมนุมไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ปี 2552 'วีระกานต์-จตุพร-ณัฐวุฒิ-นพ.เหวง-อดิศร' 4 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา-ให้ประกันตัวคนละ 2 แสนบาท-ห้ามออกนอกประเทศ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2568 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาครั้งที่ 2 คดี หมายเลขดำอ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมแกนนำ นปช. คนอื่นๆ รวม 10 คน ร่วมเป็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 10 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่อง ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ฝ่าฝืนพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถาการณ์ฉุกเฉิน พศ.2548
ศาลพิพากษาสั่งจำคุกแกนนำ 5 ราย ได้แก่ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายอดิศร เพียงเกษ คนละ 4 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา
ภายหลังจากทนายจำเลยทั้ง 5 ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวจำนวน 2 แสนบาท ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ 5 แกนนำนปช.ที่ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน ปล่อยชั่วคราวไประหว่างอุทธรณ์คดีโดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ส่วนจำเลยคนอื่นที่ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 4 เดือนฐานฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน ฯก็ได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์เช่นกันโดยตีราคาประกันคนละ 5 หมื่นบาท
@ รายละเอียดคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 85, 91, 116, 215, 216, 362, 364, 365 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 9, 18 ให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1, 2, 3, 4 และที่ 7 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่อ.4907/2555 และคดีอาญาหมายเลขแดง ที่ อ.240/2558 และจำเลยที่ 1, 2, 3, 4 และที่ 7 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2542/2553 ของศาลอาญา
จำเลยทั้งสิบสามให้การปฏิเสธ และจำเลยที่ 1 ปฏิเสธว่ามิใช่เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.240/2558 และหมายเลขแดงที่ อ.4907/2555 ของศาลอาญา แต่จำเลยที่ 1, 2 และที่ 7 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2542/2553 ของศาลอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ส่วนจำเลยที่ 3, 4 มิได้ให้การถึงคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 12 ถึงแก่ความตาย ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 12 ออกจากสารบบความ
โดยคำพิพากษาสรุปว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 1, 9 และที่ 10 ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างว่าถูกฟ้องในศาลแขวงดุสิต ซึ่งตามฟ้องของศาลแขวงดุสิตเป็นกรณีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตและผู้อำนายการเขตซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่สั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ส่วนที่จำเลยที่ 9 และที่ 10ตามฟ้องของศาลจังหวัดพัทยาเป็นกรณีการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดพัทยา ส่วนคดีนี้เป็นการกระทำความผิดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาการกระทำที่อ้างเป็นฐานความผิดรวมถึงสถานที่เกิดเหตุต่างกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมกัน ทั้งเจตนาในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ในคดีของศาลแขวงดุสิต และจำเลยที่ 9-10 ในคดีของศาลจังหวัดพัทยา กับคดีนี้ก่อให้เกิดผลที่แตกต่างกันสามารถแยกเจตนาในการกระทำความผิดออกจากกันได้ แม้กระทำความผิดในช่วงระหว่างวันและเวลาเดียวกันก็เป็นคนละกรรมกัน
ส่วนจำเลยที่ 4, 7, 8, 9, 10 และที่ 13 ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ อันเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้การรับรองและคุ้มครอง จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116และมาตรา 215 วรรคสาม
แต่เมื่อปรากฏว่าภายหลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติการชุมนุมแล้ว จำเลยที่ 1-5, ที่ 7-9, ที่ 11 และที่ 13 ยังกล่าวปราศรัยในทำนองให้มีการร่วมชุมนุมต่อไปโดยไม่มีท่าทีที่จะยุติการชุมนุมโดยทันที จำเลยที่ 1-5, ที่ 7-9, ที่ 11 และที่ 13 จึงมีความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
จำเลยที่ 1-4 และที่ 11 มีส่วนร่วมในการพูดปลุกระดม ชักชวน สั่งการ ยุยง ปลุกปั่นให้กลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆไปร่วมชุมนุมที่พัทยาเพื่อขัดขวางการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนการกระทำของจำเลยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจำเลยที่ 1-4 และที่ 11 เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิด จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคสาม โดยไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานได้สั่งให้จำเลยที่ 1-4 และที่ 11 เลิกชุมนุม และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะเลิกชุมนุมตามที่เจ้าพนักงานตำรวจสั่งหรือไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 และความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 365 (1) (2) และฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-4 และที่ 11 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2)(3), 215 วรรคสาม พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548มาตรา 9, 18 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนฯกับฐานร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญฯ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1-4 และที่ 11 คนละ 6 ปี และจำเลยที่ 5, 7-9 และที่ 13 มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 9, 18 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้จำคุกจำเลยที่ 1-5, 7-9, 11 และที่ 13 คนละ 6 เดือน
ทางนำสืบของจำเลยที่ 1-5, 7-9, 11 และที่ 13 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนฯ คงจำคุกจำเลยที่ 1-4 และที่ 11 คนละ 4 ปี ฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จำคุกจำเลยที่ 1-5, 7-9, 11 และที่ 13 คนละ 4 เดือน เมื่อรวมโทษจำคุกในส่วนของจำเลยที่ 1-4 และที่ 11คงจำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 6 และที่ 10
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 ม.ค. - 9 เม.ย. 2552 พวกจำเลยร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี (ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พร้อมด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากองคมนตรี รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญๆหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) จำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาครั้งแรก แต่เนื่องจากนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 11 อยู่ระหว่างสมัยประชุมสภา ส่วนนายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่ 10 มีพฤติการณ์หลบหนี ศาลสั่งออกหมายจับ ปรับนายประกัน
สำหรับจำเลยทั้ง 13 คนประกอบด้วย
1.นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์
2.นายจตุพร พรหมพันธุ์
3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
4.นพ.เหวง โตจิราการ
5.นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร
6.นายนายณรงศักดิ์ มณี
7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
8.นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์
9.นายพายัพ ปั้นเกตุ
10.นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
11.นายอดิศร เพียงเกษ
12.พีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต)
13.นายเมธี อมรวุฒิกุล
หมายเหตุ : ภาพปกข่าวจาก Live Dailynews Online

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา