
ปลัด สธ.ยัน 'บัตรทอง' ต้นเหตุ รพ. ขาดทุนหนัก ค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ 110% ชงขึ้นต้นทุนค่ารักษาผู้ป่วยใน 13,000 บาท-เร่งหารายได้เสริม 8.6 หมื่นล้าน ด้าน TDRI ชี้จุดอ่อน ปัญหาธรรมาภิบาล-กรรมการทับซ้อน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2568 นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ปีงบประมาณ 2569 ว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของระบบสุขภาพคือ ปัญหาการเงิน ซึ่งเกิดจากการที่ รพ. ต้องแบกรับภาระขาดทุนจากการให้บริการภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาโดยตลอด
นพ.สมฤกษ์ เปิดเผยตัวเลขของ รพ. สังกัด สธ. โดยภาพรวมจะไม่ถึงกับ เจ๊ง เพราะมีกำไรจากกองทุนสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคมเข้ามาถัวเฉลี่ย แต่เฉพาะกองทุนบัตรทองกลับมีค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ถึง 110% หรือคิดเป็นยอดติดลบสูงถึง 18,479 ล้านบาท ในปี 2567 สวนทางกับสภาพคล่องของ รพ. ที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ จากเงินบำรุง รพ. ลบหนี้สินที่เคยพีคถึง 1 แสนล้านบาท ในช่วงโควิด-19 เหลือเพียง 20,000 ล้านบาท ในปัจจุบัน
นพ.สมฤกษ์ กล่าวถึงต้นตอของปัญหาคือการจ่ายชดเชยค่าบริการที่ไม่สมดุล ว่า ต้นทุนค่ารักษาผู้ป่วยใน (AdjRW) ที่แท้จริงของ รพ. นั้นสูงถึงประมาณ 15,900 - 16,400 บาท ต่อรายมาตั้งแต่ปี 2564 แต่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังคงจ่ายในอัตราคงที่เพียง 8,350 บาท ต่อ AdjRW ซึ่งไม่เพียงพอต่อรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งค่ายา เวชภัณฑ์ และค่าแรงบุคลากร
นพ.สมฤกษ์ กล่าวถึงนโยบายแก้ปัญหา โดยเสนอแผนการปรับปรุงที่สำคัญที่สุด คือการหารือกับ สปสช. เพื่อขอเพิ่ม Base Rate ผู้ป่วยในบัตรทองจาก 8,350 บาท เป็น 13,000 บาท โดยตั้งเป้าขอ 10,000 บาท ในปีงบประมาณ 2570 เพื่อช่วยทดแทนการขาดสภาพคล่องเบื้องต้น หากสามารถเพิ่มถึง 13,000 บาทได้ จะเป็นการยกระดับศักยภาพบริการเทียบเท่าโรงเรียนแพทย์ และช่วยแก้ปัญหา สมองไหล ของบุคลากรทางการแพทย์ได้ เนื่องจากจะได้รับค่าตอบแทนจากการให้บริการนอกเวลาที่ดีขึ้น
นพ.สมฤกษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สธ. ยังเตรียมเดินหน้าแผนการหารายได้เพิ่มเติมจากแหล่งเงินนอกงบประมาณรวมมูลค่ากว่า 86,000 ล้านบาทต่อปี โดยใช้ทรัพยากรของ รพ. รัฐให้คุ้มค่าที่สุด ผ่านกลไกต่าง ๆ ได้แก่ การเก็บเงินจากประกันนักท่องเที่ยว 40,000 ล้านบาท, การสร้างกลไกประกันสุขภาพสมัครใจ Top Up จากสิทธิประโยชน์เดิม 16,000 ล้านบาท, และการขยายบริการ พรีเมียมคลินิก (PMC) เพื่อให้บริการกลุ่มที่ต้องการบริการพิเศษนอกสิทธิประโยชน์
นพ.สมฤกษ์ กล่าวด้วยว่า สธ. จะผลักดันนโยบายสร้าง Productivity อาทิ การใช้แนวคิด 1 คน 2 Job เพื่อเพิ่มรายได้บุคลากร, การเพิ่มอัตราครองเตียง รพ. ชุมชนเป็น 80% ขึ้นไป, การเปิดบริการ Premium Clinics และการใช้ห้องผ่าตัดผู้ป่วยในให้บริการ 24 ชั่วโมง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและระบบบริหารต้นทุน (ABC) เพื่อให้บุคลากรที่มีอยู่สามารถให้บริการทางการแพทย์ได้อย่างเหมาะสมที่สุด โดย นพ.สมฤกษ์ หวังว่าการหารือกับ สปสช. ครั้งนี้จะเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทุกฝ่ายจะร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างมีรายละเอียดและเข้าใจต้นทุนที่แท้จริง


TDRI ชี้จุดอ่อน กรรมการทับซ้อน-ไตวายเรื้อรังไม่คุ้มค่า
ด้าน นายณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยที่ปรึกษารับเชิญ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้นำเสนอผลการศึกษา 'การประเมินหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในด้านการบริหารจัดการและนัยยะจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย' โดยชี้ถึงจุดอ่อนเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการของระบบที่อยู่ในระดับต่ำและต้องเร่งแก้ไขเพื่อสร้างความยั่งยืน
ธรรมาภิบาลเปราะบาง
- ผลการศึกษาระบุว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการหลักและอนุกรรมการมีปัญหา บทบาททับซ้อน สมาชิกดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง ซึ่ง บั่นทอนความเป็นอิสระ ในการพิจารณาชุดสิทธิประโยชน์
ปัญหาการเบิกจ่าย
- การศึกษาระบุว่า มูลค่าการเรียกคืนเงินกลับสูง โดยเฉพาะกองทุนผู้ป่วยนอก (เฉลี่ยสูงกว่า 40%) และการร้องเรียนกรณี "Extra billing" (เรียกเก็บค่าบริการเพิ่ม) มีแนวโน้มสูงขึ้น สะท้อนปัญหาการจ่ายชดเชยที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุน
ผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า
- ผลการประเมินความคุ้มค่าทางสังคม (SROI) พบว่า กองทุนผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (CKD) ให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า (SROI 0.80) จึงเสนอให้พิจารณาถอดถอนชุดสิทธิประโยชน์ที่ไม่คุ้มค่าออก
นายณัฐนันท์ กล่าวถึงข้อเสนอแนะว่า TDRI เสนอให้ ลดความซ้ำซ้อนของบทบาทกรรมการ, กระจายอำนาจการบริหารงบประมาณให้ สปสช. เขต เพื่อความคล่องตัว และใช้เทคโนโลยีตรวจสอบการเบิกจ่าย (Automation)
ขณะที่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า การเพิ่มค่า AdjRW ต้องมี ข้อมูลไปแลกว่า จะได้อะไรกลับมาเมื่อได้งบเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้เป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา