
‘ธปท.’คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/68 ขยายตัว 1.5% ก่อนชะลอตัวเหลือ 1.3% ในช่วงไตรมาส 4/68 ส่งผลให้จีดีพีทั้งปี 68 โต 2.2% ระบุ SMEs ยังคงลำบาก จากปัญหาเชิงโครงสร้าง-เผชิญการแข่งขันสูง พร้อมย้ำความเสี่ยง ‘เงินฝืด’ ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าคาด ‘เงินเฟ้อทั่วไป’ จะกลับมาเป็นบวกในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า
.....................................
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน Monetary Policy Forum 3/2568 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยใกล้เคียงกับที่ ธปท. ประเมินไว้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ระดับ 3% จากนั้นเศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำ ทั้งในช่วงครึ่งปีหลังและในระยะข้างหน้า จากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวค่อนข้างช้า
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า มีความเสี่ยงด้านต่ำ จากความไม่แน่นอนของภาษีสหรัฐฯที่มีความเสี่ยงว่า สหรัฐฯจะมีการใช้มาตรการภาษีเพิ่มเติม
นายสักกะภพ กล่าวว่า บทบาทของนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า จะอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย เพื่อเอื้อต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 3 ครั้ง เพื่อรองรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจ และดูแลภาวะการเงินให้เอื้อต่อการปรับตัวของธุรกิจ รวมถึงการลดภาระหนี้ของกลุ่มที่มีความเปราะบาง โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
“ถ้ามองไปข้างหน้า การผ่อนคลายเพิ่มเติม จะดูให้ความเหมาะสมกับแนวโน้มของเศรษฐกิจและภาวะการเงิน ควบคู่กับประสิทธิผล และพื้นที่ของนโยบายการเงินที่จะมีน้อยลง หลังจากลดดอกเบี้ยในปีนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ส่วนความเสี่ยงที่มาจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำนั้น เป็นความเสี่ยงที่เราจับตาในเรื่องความเสี่ยงของเงินฝืด ถึงแม้ว่าปัจจุบัน เราประเมินว่าความเสี่ยงของเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็เป็นจุดที่ต้องประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง” นายสักกะภพ ระบุ
ด้าน นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวที่ 3% จากการเร่งผลิตและส่งออกสินค้าไปสหรัฐ ก่อนที่มาตรการภาษีจะมีผล และในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากภาคการผลิต คือ ปิโตรเคมี และยานยนต์ ที่หยุดการผลิตเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราว
“ในช่วงครึ่งหลัง เราประเมินว่า การส่งออกจะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ส่วนในปี 2569 เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวค่อนข้างต่ำที่ระดับ 1.6% ซึ่งหลักๆมาจากผลของมาตรการภาษีสหรัฐที่มีผลต่อภาคการส่งออก รวมถึงเรื่องภาคการท่องเที่ยวและภาคการผลิตที่ยังมีปัญหาการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งตรงนี้ทำให้ภาคเศรษฐกิจบางส่วนมีความเปราะบาง โดยเฉพาะ SMEs” นางปราณี กล่าว
ทั้งนี้ ธปท.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2568 จะขยายตัวที่ 1.5% และไตรมาส 4/2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 1.3% ซึ่งการประเมินดังกล่าว ธปท. ได้รวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาทิ โครงการคนละครึ่ง และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่มีส่วนช่วยให้การบริโภคในช่วงไตรมาส 4/2568 กลับมาฟื้นตัว เอาไว้แล้ว โดย ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.2% ส่วนในปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 1.6%
“มาตรการภาครัฐที่เข้ามาช่วย มีผลมากๆในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามา 0.4% เมื่อรวมกับเม็ดเงินเดิมจากดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังมีนิดหน่วย คิดว่าผลน่าจะอยู่ที่ 0.2-0.3% ต่อจีดีพีในช่วงไตรมาส 4 ถามว่า ทำไมลงเงินไป 0.4% แต่ได้มาน้อยกว่านั้น ก็เป็นเพราะมีการบริโภคสินค้านำเข้าบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ถือว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน และทำให้ sentiment ตลาดคึกคึกขึ้น ซึ่งสร้างความหวังให้เศรษฐกิจไทยได้” นางปราณี กล่าว
สำหรับการส่งออกในช่วงครึ่งหลังปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 5.3% ชะลอตัวจากในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ที่การส่งออกขยายตัว 15% ซึ่งเป็นผลจากภาษีสหรัฐ ส่วนทั้งปี 2568 คาดว่าการส่งออกจะขยายตัว 10% และปี 2569 คาดว่าการส่งออกจะติดลบ 1% ซึ่งดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากผลของมาตรภาษีสหรัฐต่อการส่งออกไทย น้อยกว่าที่ประเมินไว้ ในขณะที่การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังขยายตัวต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของอุปสงค์ของดาต้าเซ็นเตอร์
“จีดีพีโดยรวมขยายตัว 2.2% ในปีนี้ และ 1.6% ในปีนี้ ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว ตามรายได้ที่ฟื้นตัวค่อนข้างช้า การส่งออกมีการปรับเพิ่มขึ้น โดยเราประเมินว่า ได้รับผลกระทบไม่รุนแรงเท่าที่เคยประเมินไว้ แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงเรื่องภาษีและการส่งผ่านราคาที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค ซึ่งจะมีผลต่ออุปสงค์ในระยะถัดไป” นางปราณี ระบุ
ส่วนภาคการท่องเที่ยวนั้น ธปท.ประเมินว่า ปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 33 ล้านคน ลดลงจากปี 2567 ประมาณ 7% (นักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี2567 มีจำนวน 35.5 ล้านคน) จากความกังวลในเรื่องความปลอดภัย และการแข่งขันในภูมิภาคที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นและเวียดนาม ขณะที่ในปี 2569 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน ซึ่งมาจากนักท่องเที่ยวระยะไกล 12.3 ล้านคน และนักท่องเที่ยวจีน 6 ล้านคน



นางปราณี ระบุด้วยว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจภาพรวมจะขยายตัว 2.2% ในปีนี้ และ 1.6% ในปีหน้า แต่ถ้าดูที่มาการเติบโตของจีดีพี จะเห็นว่า ตั้งแต่หลังโควิดเป็นต้นมา (ปี 2567-ไตรมาส 2 ปี 2568) แม้ว่า SMEs จะเติบโตที่เฉลี่ย 3.1% แต่ถ้าเทียบกับในอดีตแล้ว จะเห็นว่าการเติบโตลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง โดยในช่วงก่อนโควิด (ปี2555-2562) SMEs เติบโตเฉลี่ย 5.6% ในขณะที่ธุรกิจรายใหญ่ยังประคองการเติบโตเอาไว้ได้
ตรงนี้สะท้อนว่า ทำไมเราถึงได้ยินเสียง SMEs ว่ายังลำบาก ซึ่งเป็นเพราะว่าการเติบโตของ SMEs น้อยกว่าในอดีตเกือบครึ่ง ซึ่งหลักๆมีสาเหตุจาก SMEs มีปัญหาเชิงโครงสร้าง และเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโอเวอร์ซัพพลายในหลายธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ความต้องการรถยนต์ EV ตลอดจนการแข่งขันกับสินค้าต่างประเทศและสินค้าในประเทศที่รุนแรงขึ้น”

ขณะที่ นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ในการปิดช่องว่างระหว่างอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระดับศักยภาพที่เป็นไปได้นั้น แน่นอนว่านโยบายการเงินจะต้องเข้ามามีบทบาท ซึ่ง กนง.เองก็ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อให้ภาคการเงินส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า การปิดช่องว่างทุกอย่างจะปิดได้ด้วยดอกเบี้ย
“วันนี้เศรษฐกิจขยายตัวช้าในเชิงวัฏจักร เพราะมีแรงต้านจากข้างนอกและข้างใน แรงต้านจากข้างนอก คือ การค้าที่มีความไม่แน่นอน และเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว ตรงนี้เราคุมไม่ค่อยได้ ซึ่งต้องใช้ชดเชยด้วยปัจจัยภายใน แต่ภายในเราเอง ก็มีแรงต้านอยู่เหมือนกัน คือ ความไม่แน่นอนที่ทอดมาจากการค้าโลก ซึ่งทำให้การลงทุนในประเทศชะลอลง อีกตัวหนึ่งที่เป็นตัวฉุด คือ หนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้การบริโภคขยายตัวไม่ดีเท่าที่สามารถเป็นได้
ถ้าจะใช้ดอกเบี้ยไปช่วยกระตุ้นการบริโภค ความสามารถคงมีไม่เยอะ และไม่แน่ใจว่าควรหรือเปล่า เพราะหนี้ก็สูงอยู่แล้ว ดังนั้น นโยบายคลังและนโยบายการเงินต้องทำงานควบคู่กันไป เพื่อลดช่องว่างนี้ และก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะแก้ปัญหาได้ด้วยนโยบายระดับมหภาค บางอย่างมีช็อกที่เกิดมาจากต่างประเทศ ก็ต้องใช้เวลาให้มันค่อยๆหายไป แต่เราตระหนักดีว่าประเทศไทยต้องการการสนับสนุนจากทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง” นายปิติ กล่าว
ส่วน นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในภาพรวม น่าจะกลับมาเป็นบวกในช่วงไตรมาส 2/2569 และกลับสู่เป้าหมายในช่วงต้นปี 2570 ทั้งนี้ ธปท.ประเมินว่า ความเสี่ยงในด้านภาวะเงินฝืด ยังอยู่ในระดับต่ำ จาก 3 เหตุผลหลัก คือ 1.เงินเฟ้อที่ต่ำถูกขับเคลื่อนจากราคาสินค้าที่ลดลงในบางหมวด คือ หมวดพลังงานและหมวดอาหาร ขณะที่ราคาสินค้าอื่นๆไม่ได้ปรับลดลงในวงกว้าง
2.เครื่องชี้แรงกดดันด้านราคา ซึ่งเป็นตัวสะท้อนเงินเฟ้อในระยะถัดไป ยังทรงตัวใกล้เคียงกับในอดีต และ 3.เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวในกรอบที่ 1-3%
“อุปสงค์ในประเทศยังค่อนข้างโอเคอยู่ ไม่ได้ปรับลง ตัวที่ฉุดให้เงินเฟ้อลงนั้น เป็นปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับอุปสงค์ในประเทศ” นายสุรัช กล่าว และว่า “ถามว่าเงินเฟ้อไทย ทำไมถึงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ คำตอบ คือ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องโครงสร้างที่องค์ประกอบของตะกร้าเงินฟ้อไทยมีสัดส่วนของอาหารและพลังงานสูงกว่าประเทศอื่น แล้วราคาอาหารของไทยก็ต่ำกว่าประเทศอื่นๆด้วย เพราะไทยเป็นประเทศที่ผลิตอาหารได้เอา อีกทั้งไทยมีการอุดหนุนด้านพลังงาน”
นายสุรัช กล่าวต่อว่า อีกปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อของไทยต่ำ คือ ไทยมีการนำเข้าสินค้าจากจีนค่อนข้างมาก สะท้อนจากตัวเลขการขาดดุลการค้าของไทยกับจีนที่ไทยขาดดุลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนนั้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าคงทน เช่น สมาร์ทโฟน รถ EV และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสินค้าที่ราคาถูกกว่านำเข้าจากประเทศอื่น รวมทั้งสินค้าไม่คงทน เช่น ผัก ผลไม้ และเครื่องสำอาง การนำเข้าสินค้าเหล่านี้ ทำให้เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำ





สำหรับภาวะการเงิน สินเชื่อยังคงหดตัว จาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญี่ปรับตัวลดลงตามความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ 2.ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยบด้านเครดิตสูง โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และ 3.การชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทในไตรมาสที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนและแข็งค่าเมื่อเทียบกับปัจจัยภายนอก
นายสุรัช กล่าวว่า นโยบายการเงินที่อยู่ในระดับผ่อนคลายที่ 1.5% ยังอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ ซึ่งการลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา จะใช้เวลา 3-4 ไตรมาส ที่จะมีผลสูงสุดต่อเศรษฐกิจ และจะใช้เวลา 5-6 ไตรมาสที่มีจะมีผลสูงสุดต่ออัตราเงินเฟ้อ ขณะที่การแก้ปัญหาให้กับ SMEs ต้องใช้นโยบายการเงิน ควบคู่กับมาตรการเฉพาะจุด และมาตรการยกระดับศักยภาพ SMEs ในระยะยาว



อ่านประกอบ :
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% ‘กก.ส่วนใหญ่’ให้ความสำคัญกับ‘จังหวะเวลา’
‘ภาษีสหรัฐฯ’ซ้ำเติม-เงินเฟ้อต่ำ! กนง.มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.5%
‘ส่งออก’ส่อหดตัวแรง! ‘ธปท.’ชี้‘ภาษีทรัมป์’ทุบเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% อย่างน้อย 1 ปีครึ่ง
มติ 6 ต่อ 1! 'กนง.'คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% คาดเศรษฐกิจ 68 โต 2.3%-ปีหน้าเหลือ 1.7%
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75%-'เทรดวอร์'ส่อฉุดGDPปี 68 เหลือ 1.3-2%
เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ประเมิน! กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2%
มติเอกฉันท์! 'กนง.'คงดอกเบี้ย 2.25% มอง GDP ปีหน้า 2.9%-จับตาเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
บรรเทาภาระหนี้! กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%-คาด GDP ปี 67 โต 2.7%
‘ผู้ว่าฯธปท.’เผย‘กนง.’กังวลสภาวะการเงิน‘ตึงตัว’ ย้ำ 3 เงื่อนไขปรับดบ.-ปัดตอบลดค่าฟี FIDF
มติ 6 ต่อ 1! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ชี้สอดคล้องการขยายตัวศก.-กังวล‘หนี้ครัวเรือน’สูง
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! 'บอร์ด กนง.' เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%-มอง GDP ปี 67 โต 2.6%
'นายกฯ'เรียกร้อง'ธปท.'นัดประชุม'กนง.'ก่อนกำหนด ถกลด'ดอกเบี้ย'หลังมีข้อมูลใหม่'สภาพัฒน์'
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 67 โตไม่เกิน 3%
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 2.4%
3 กรรมการ'กนง.'ฝั่ง'แบงก์ชาติ' มองทิศทาง'ดอกเบี้ยนโยบาย' ท่ามกลาง'ปัจจัยเสี่ยง-แรงกดดัน'
เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น! กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ2.5%-มองGDPปีนี้โต 2.8%
สู่ระดับ 2.25%! 'กนง.'มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%-มอง'เงินเฟ้อ'มีความเสี่ยงด้านสูง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา