
'ราเมศ' ชี้เป็นข่าวดี อสส.สั่งอุทธรณ์คดี 'ทักษิณ' ผิด 112 ชี้เป็นกระบวนการหากศาลชั้นต้นไม่ได้พิพากษาตามข้อเท็จจริงในคำฟ้อง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 17 พ.ย.นายราเมศ รัตนะเชวง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการนายชวน หลีกภัย กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คดีนายทักษิณ ชินวัตร กระทำความผิดตามมาตรา 112 ว่าถือว่าเป็นข่าวดีที่กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าตามหลักการดำเนินคดีอาญาที่เริ่มต้นคดีมาจากพนักงานอัยการ โดยเฉพาะในคดีอาญาที่สำคัญ เมื่อผลคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังมีประเด็นที่ต้องการกลั่นกรองจากศาลที่สูงกว่าคือศาลอุทธรณ์ ผลคดียังไม่เป็นไปตามคำฟ้องของพนักงานอัยการที่เริ่มต้นฟ้องคดี โดยปกติเมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่พนักงานอัยการฟ้อง อัยการก็ต้องทำหน้าที่อุทธรณ์ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณา และส่วนคดีของนายทักษิณ ชินวัตร ในคดีมาตรา 112 ยังมีประเด็นข้อถกเถียง และประชาชนให้ความสนใจ การที่มีรายงานข่าวว่าจะอุทธรณ์จึงถือว่าเป็นข่าวดีส่งท้ายปีเก่า ส่วนนายทักษิณก็ใช้สิทธิในการต่อสู้คดีตามกระบวนการได้อยู่แล้ว หากอัยการยื่นอุทธรณ์คดีนี้ ตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
นายราเมศ กล่าวต่อไปว่า ประชาชนยังจดจำในกรณีที่อัยการไม่ฎีกาคดีคุณหญิงพจมาน ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 3 ต่อมาศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งขณะนั้นหลายฝ่ายก็ออกมาท้วงติง แต่เมื่อเป็นดุลพินิจของพนักงานอัยการก็ยังเป็นคำถามมาจนถึงทุกวันนี้
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับการอุทธรณ์คดีนั้นเกิดขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุดได้มีความความเห็น ว่าการกระทำนายทักษิณเป็นความผิดตามฟ้องเห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาต่อไป
ซึ่งขั้นตอนต่อไปคำสั่งให้อุทธรณ์ของอัยการสูงสุด ซึ่งถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด จะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา8เจ้าของสำนวนเพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป
ทั้งนี้ที่มาของการพิจารณาอุทธรณ์สำนวนคดีนี้ ย้อนไปเมื่อช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุดคนที่แล้ว มีคำสั่งให้นำเรื่องการจะยื่นอุทธรณ์นี้เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 ของอัยการ
ซึ่งขณะนั้นมีนายอิทธิพร อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นเป็นรองอัยการสุงสุดเป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งในครั้งนั้นทางคณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมพิจารณา มีมติ 8-2 เห็นควรไม่อุทธรณ์ และส่งให้นายไพรัช อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว แต่จนพ้นตำแหน่งอัยการสูงสุด นายไพรัช ก็ไม่ได้มีความเห็นว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่
จนอำนาจในการพิจารณาอุทธรณ์คดีไปที่ นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสุงสุดคนปัจจุบัน
ซึ่งสมัยนั่งประธานคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 นายอิทธิพร ที่นั่งเป็นประธานคณะกรรมการก็ไม่ได้มีการลงมติในครั้งนั้น เนื่องจากเป็นมารยาทในฐานะประธานกรรมการ คำสั่งอุทธรณ์ในครั้งนี้จึงไม่ใช่การกลับความเห็นของตัวเอง
สำหรับคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 คือคณะกรรมการที่อัยการสูงสุดตั้งขึ้นมาพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั่วราชอาณาจักร ประกอบไปด้วย รอง อสส.ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาเป็นเลขานุการ โดยตำเเหน่ง ในส่วนคณะกรรมการ จะมาจากอัยการที่ดำรงตำเเหน่งอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ,อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี เเละอธิบดีอัยการสำนักงานอาญาอื่นๆ เพราะถือว่าเป็นสำนักงานที่ต้องรับคดีประเภทนี้โดยตรง นอกจากนี้ยังมีอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนด้วย เนื่องจากบางคดีมีสำนวนที่เป็นคดีนอกราชอาณาจักร รวมถึงผู้ตรวจการอัยการบางคน เเละมีระดับรองอธิบอัยการบางสำนักงาน รวมกัน 10 กว่าคน (จำนวนไม่เเน่ชัด) ขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุดในขณะนั้นตั้งขึ้น ทำหน้าที่พิจารณาสำนวนคดี 112 จากทั่วประเทศ เรียกว่าคดี 112 คดีใดจะสั่งฟ้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการชุดนี้
แต่สำหรับคดีนี้ ซึ่งตามขั้นตอนคดี 112 ของนายทักษิณเป็นคดีนอกราชณาจักรอำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์เป็นของอัยการสูงสุด การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคดี 112 จึงเป็นการกลั่นกรองให้อัยการสูงสุดไม่ใช่การสั่งคดีเหมือนในชั้นพิจารณาคดี 112 ทั่วไป
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ที่ศาลอาญายกฟ้องคดี ศาลให้เหตุผลว่าเนื่องจากมองว่า คนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอ ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจ และรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพ กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงหรือสื่อความหมายถึงสถาบันว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร การสืบพยานหลักฐานโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิด จึงรับฟังไม่ได้ยกฟ้อง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา