‘คลัง-แบงก์ชาติ’ ประกาศ 3 แนวทาง กำกับดูแลธุรกรรมการซื้อขาย ‘ทองคำ’ ผ่าน ‘แพลตฟอร์มออนไลน์’ จ่อเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ-กำหนดเพดานการซื้อขาย หลัง 'ค่าเงินบาท' แข็งค่า 4.2% ในช่วง 1 เดือน
........................................
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกันแถลงแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาท หลังจากตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทแข็งค่าขึ้น 9.4% เมื่อเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 4.2% โดยแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาทในครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 ประเด็น ดังนี้
1.ให้กรมสรรพากรพิจารณาแนวทางการกำหนดให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำในลักษณะการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำดังกล่าวให้แก่กรมสรรพากร เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่มีการนำส่งข้อมูลรายรับที่ได้จากผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการผ่านแพลตฟอร์มให้แก่กรมสรรพากรผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วในปัจจุบัน
2.ให้กรมสรรพากรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากกิจการขายทองคำแท่งของร้านทองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
3.ให้ ธปท.พิจารณาแนวทางการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำ เช่น การกำหนดเพดานวงเงินการซื้อขายทองคำในแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาทดังกล่าว กรมสรรพากร และ ธปท. จะต้องไปพิจารณาในรายละเอียด โดยเฉพาะแนวทางการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากกิจการขายทองคำแท่งของร้านทองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่นำมาใช้ ส่วนจะเก็บภาษีอัตราเฉพาะในอัตราเท่าไหร่ และเก็บจากขาผู้ซื้อหรือผู้ขาย คงจะต้องไปดูข้อมูลก่อน
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การกำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องนำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำให้กับกรมสรรพากรนั้น มีการหารือกันแล้วว่า สามารถทำได้ และเมื่อกรมสรรพากรได้รับข้อมูลการซื้อขายแล้ว ในขั้นต่อไปกรมสรรพากรจะพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ ทั้งนี้ ในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะดังกล่าว จะต้องมีการออกเป็นประกาศกรมสรรพากรต่อไป
ด้าน นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทในขณะนี้ เทียบกับในช่วงต้นปี 2568 พบว่าค่าเงินบาทแข็งค่านำค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 4.2% ซึ่งเป็นการแข็งค่าที่ค่อนข้างเร็ว และไม่สะท้อนปัจจัยหรือข้อมูลเศรษฐกิจจริง
ทั้งนี้ ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาจาก 2 เรื่อง คือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการไหลเข้าเงินจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เป็นบวก อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งยังมาจากเงินที่ไหลเข้ามาจากการทำธุรกรรมขายดอลลาร์ฯและซื้อบาท ซึ่งเงินหลักๆที่ไหลเข้ามา แล้วทำให้ค่าเงินบาทแข็งในวันนี้ มาจากธุรกรรมการซื้อขายทองคำ
โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 15 ราย ในจำนวนนี้เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์รายใหญ่ 3-4 ราย ขณะที่ธุรกรรมซื้อทองของรายย่อยที่ซื้อทองตามร้านทองปกตินั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อค่าเงินแต่อย่างใด
“ที่ผ่านมารายได้ของผู้ค้าทองรายใหญ่ที่มีแพลตฟอร์ม 15 ราย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยปี 2566 รายได้ผู้ค้าทองฯอยู่ที่ 26% ต่อจีดีพี และเพิ่มเป็น 39% ต่อจีดีพีในปี 2567 ส่วนในปี 2568 เรายังไม่มีข้อมูล แต่ถ้าดูจากการขึ้นของราคาทองคำ เราคิดว่าธุรกรรมซื้อขายทอง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บนแพลตฟอร์ม น่าจะเกิน 50% ต่อจีพีดีแล้ว และเวลาที่ลูกค้าขายทองผ่านแอปฯ เขา (ผู้ค้าทอง) ต้องขายทอง แล้วเอาดอลลาร์ฯมาขายและซื้อบาท เงินบาทก็แข็ง” นายวิทัย ระบุ
นายวิทัย กล่าวด้วยว่า ในปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันของทองคำสูงกว่าหุ้นแล้ว โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันของทองคำอยู่ที่ 65,973 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันของหุ้นอยู่ที่ 42,417 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรายวันของทองคำสูงสุดอยู่ที่ 255,566 ล้านบาท เทียบกับมูลค่าการซื้อขายรายวันของหุ้นที่สูงสุดอยู่ที่ 74,437 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดธุรกรรมการซื้อขายดอลลาร์และบาทในทันที
“เงินบาทที่แข็งค่าจาก 31.8 บาท/ดอลลาร์ฯ เป็น 31.4 บาท/ดอลลาร์ฯ ระหว่างวันที่ 11-15 ธ.ค.2568 ซึ่งมี 3 วันทำการนั้น ถ้านับปริมาณการขายดอลลาร์ฯทุกประเภท ทั้งของผู้นำเข้า ผู้ส่งออก คนที่เอา Flow เข้า เงินโอนเข้ามาลงทุน หรือคนที่ขายดอลลาร์และซื้อบาท พบว่า 45% ของแรงขายดอลลาร์ทั้งหมด มาจากธุรกรรมทองคำ โดยเฉพาะในช่วงเดือน ก.ย. สัดส่วนนี้อยู่ที่ 62% เราจึงต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบธุรกรรมซื้อขายทองที่จะเกิดขึ้นต่อค่าเงินบาท” นายวิทัย ระบุ




นายวิทัย กล่าวถึงแนวทางการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำในส่วนที่ ธปท. รับผิดชอบว่า เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจทองคำ ธปท.จึงขอให้มีการแก้ประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้ ธปท. มีอำนาจในการขอข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยขณะนี้การแก้ประกาศฯดังกล่าวอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น คาดว่าประกาศฯจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือน ม.ค.2569
“ธุรกรรมทองคำส่วนใหญ่ 80% อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนที่ซื้อขายผ่านร้านปกติมี 15-20% เราจึงต้องเข้าไปดูแล เช่น บุคคลลักษณะอย่างนี้ มีการทำ KYC แล้ว ก็จะพิจารณาว่าจะกำหนดเพดานธุรกรรมสูงสุดไม่เกินเท่าไหร่ อย่างคนมาเทรดวันละ 100 ล้านบาท วันละหลายๆรอบ ซื้อขายวันละพันล้าน อันนี้เราถือว่าผิดปกติ อย่างไรก็ดี การกำกับตรงนี้จะไม่กระทบกับรายย่อยที่ซื้อผ่านร้านค้า หรือธุรกิจส่งออกนำเข้าทองเพื่อใช้ในธุรกิจทองคำ จิวเวลรี่” นายวิทัย กล่าว
นายวิทัย กล่าวต่อว่า นอกจากการดำเนินการกับธุรกรรมทองคำแล้ว ในภาพใหญ่ ธปท. จะเข้าไปดูแลการนำเงินต่างประเทศเข้าประเทศ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยเปิดเสรีนำเข้าเงินตราต่างประเทศ แต่สิ่งที่ ธปท.จะทำเพิ่มขึ้น คือ การออกหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศที่นำเข้ามา เช่น แหล่งที่มาของเงินมาจากไหน และเข้ามาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เป็นต้น โดยคาดว่าหลักเกณฑ์นี้จะบังคับใช้กลางเดือน ม.ค.2569
“เราไม่ได้ขึ้นภาษี ไม่มีการจำกัดว่าห้ามนำเข้า เราจะขอให้แบงก์เข้มงวดในการตรวจเอกสาร ถ้าเป็นผู้ค้าขายสินค้า นำเข้าส่งออก ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว หรือถ้าเป็นเงินโอนปกติ ก็ไม่มีปัญเช่นกัน แต่ถ้ามีปริมาณถึงจุดหนึ่งที่มีนัยยะสำคัญก็ต้องมีการตรวจเอกสารว่า แหล่งที่มาของเงินมาจากไหน เอาเข้ามาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร อันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการป้องปรามในภาพที่ใหญ่ขึ้น นอกเหนือจากเรื่องทอง ซึ่งจะใช้เวลา 2 อาทิตย์ เกณฑ์นี้จะบังคับได้” นายวิทัย กล่าว
ขณะที่ รศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวถึงกรณีที่มีข้อสังเกตว่า การซื้อขาย USDT ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทแข็งค่า ว่า เรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากปริมาณธุรกรรมซื้อขาย USDT รวมถึงยอดการแลกดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นเงินบาท (THB) ของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล คิดเป็นเพียง 1.22% และ 0.17% ของยอด FX inflow ซึ่งมีจำนวน 29.1 ล้านล้านบาท ตามลำดับ จึงไม่มีนัยยะต่อค่าเงิน
“ถ้าพูดถึงปริมาณการซื้อขายตัว USDT ที่หลายๆคนเข้าใจผิด แล้วไปเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า มันทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ก็จะเรียนว่า ไม่มีผลเลย” รศ.ดร.พรอนงค์ กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา