
กสม.เรียกร้อง สธ.-ยธ.-พม.ทบทวนแก้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กเกิดจากเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ เพิ่มความคุ้มครองเด็กและหญิงรับตั้งครรภ์จากขบวนการค้ามนุษย์ หลังพบปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีอำนาจตรวจสอบการกระทำความผิด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 27 มี.ค. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 12/2568
โดย นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการ กสม.ได้แถลงข่าวเรียกร้องให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องทบทวน พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ เพิ่มความคุ้มครองแก่เด็กและหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนจากขบวนการค้ามนุษย์
นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พบเบาะแสว่า มีขบวนการลักลอบจัดหาหญิงชาวไทยเพื่อรับตั้งครรภ์แทนหรืออุ้มบุญให้กับผู้ว่าจ้างชาวต่างประเทศ โดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าตรวจค้นสถานพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงจับกุมตัวนายเอ (นามสมมติ) ในข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) เห็นว่า การรับตั้งครรภ์แทน การจับกุม และการดำเนินคดีกับบุคคลฐานความผิดข้างต้นอาจมีประเด็นที่เข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมีมติหยิบยกเพื่อตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รับรองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ และรับรองเสรีภาพในเคหสถาน การค้นเคหสถานหรือที่รโหฐานจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาล และบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลจะกระทำมิได้ สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่บัญญัติว่าการกระทำทั้งปวงเกี่ยวกับเด็กต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นอันดับแรก
จากการตรวจสอบเห็นว่า กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น ประเด็นแรก การตรวจค้น จับกุม และดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องมีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เห็นว่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อออกหมายค้นสถานพยาบาลที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับขบวนการลักลอบจัดหาหญิงไทยเพื่อรับตั้งครรภ์แทนให้กับผู้ว่าจ้างชาวต่างประเทศ โดยศาลอาญาได้ออกหมายค้นตามคำร้อง และพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการตรวจค้นสถานพยาบาล รวมทั้งได้รายงานผลการปฏิบัติตามหมายค้นต่อศาลอาญาตามกฎหมาย
ส่วนการจับกุมและตรวจค้นบ้านของนายเอ (นามสมมติ) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการโดยอาศัยอำนาจตามหมายหรือคำสั่งของศาล มีการแสดงหมายจับและหมายค้น รวมทั้งแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตามกฎหมายเช่นกัน และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับอันตรายหรือมีทรัพย์สินเสียหาย
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้กระทำได้ ประเด็นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สอง กรณีดังกล่าว มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนหรือไม่ เห็นว่า เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ คือ เพื่อกำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ให้เหมาะสม ตลอดจนควบคุมการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับตัวอ่อนและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์มิให้มีการนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง โดยเมื่อสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งภริยาไม่อาจตั้งครรภ์ได้แล้วประสงค์จะมีบุตรโดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนตามวิธีการที่กำหนดไว้
ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กคทพ.) จะเป็นผู้พิจารณาอนุญาตให้ดำเนินการตั้งครรภ์แทน ดังนั้น เด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ที่ถูกต้องตามกระบวนการที่กฎหมายบัญญัติไว้ย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของสามีและภริยาที่ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทน
สำหรับเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ซึ่งกระทำโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก กคทพ. กรมกิจการเด็กและเยาวชนมีหน้าที่และอำนาจในการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้นั้นเช่นเดียวกับเด็กที่เกิดตามธรรมชาติ ซึ่งหากไม่ปรากฏผู้ที่พร้อมรับเด็กไปเลี้ยงดู เด็กจะเข้าสู่กระบวนการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมต่อไป ทั้งนี้ กสม. เห็นว่าหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจในการให้ความคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ หญิงที่รับตั้งครรภ์แทน และบิดามารดาที่ประสงค์จะมีบุตรโดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งได้มีความพยายามที่จะป้องกันขบวนการรับตั้งครรภ์แทนผิดกฎหมาย ประเด็นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า กลไกและการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ มิได้ช่วยป้องกันและปราบปรามขบวนการลักลอบรับตั้งครรภ์แทนให้หมดไป เนื่องจากในความเป็นจริง การหาหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนที่มีความสัมพันธ์กันทางสายโลหิตกับบิดาหรือมารดาที่ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนไม่ใช่เรื่องง่าย ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของผู้ต้องหาหญิงซึ่งเป็นหญิงรับตั้งครรภ์แทน พบว่า หญิงเหล่านี้ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดหาหญิงรับตั้งครรภ์แทนผ่านกลุ่มอุ้มบุญในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีการโฆษณาและชักชวนหาหญิงชาวไทยให้รับตั้งครรภ์แทน
โดยทำให้หลงเชื่อว่าการรับตั้งครรภ์แทนเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการรักษาภาวะมีบุตรยากเช่นเดียวกับการฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกหรือการทำเด็กหลอดแก้วและสามารถกระทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนมักเป็นกลุ่มเปราะบางที่ฐานะยากจน ขาดอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและอาจไม่มีทางเลือกในการประกอบอาชีพอื่นที่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัว และแม้เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ จะมุ่งคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยวิธีนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ
แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป พบว่า กฎหมายดังกล่าวมีช่องว่างในการบังคับใช้จากการจำกัดคุณสมบัติของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนและการที่ร่างกายต้องรับความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์แทนจึงส่งผลให้เกิดขบวนการหาหญิงอื่นรับตั้งครรภ์แทนผิดกฎหมาย ประกอบกับหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายนี้ ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบการกระทำความผิดดังกล่าวได้โดยตรง และไม่ได้กำหนดมาตรการคุ้มครองหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนผิดกฎหมายที่อาจเป็นเหยื่อจากขบวนการดังกล่าว รวมถึงยังไม่ได้กำหนดมาตรการรองรับหากหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนผิดกฎหมายเกิดอันตรายหรือภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจ
ในรายละเอียดของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการทบทวนและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 จึงเห็นควรเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อกระทรวงสาธารณสุข ให้หารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาทบทวนและแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยคำนึงถึงสุขภาวะของเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯและหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน ความซับซ้อนของขบวนการรับตั้งครรภ์แทนผิดกฎหมาย การป้องกันและการเฝ้าระวังการค้ามนุษย์ การกำหนดให้มีพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับขบวนการรับตั้งครรภ์แทนผิดกฎหมาย และการให้ความคุ้มครองเด็กและหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนที่อาจเป็นเหยื่อจากขบวนการรับตั้งครรภ์แทนผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกรมกิจการเด็กและเยาวชน เผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการรับตั้งครรภ์แทน และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พิจารณาตรวจสอบและดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาหาหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนในช่องทางออนไลน์ รวมทั้งให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเฝ้าระวังและสอดส่องโฆษณาที่เกี่ยวกับการหาหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนผิดกฎหมายผ่านทางสื่อออนไลน์ต่าง ๆ พร้อมทั้งแจ้งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหากพบโฆษณาดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา