
Cloud คืออะไร? ทำไมหลายองค์กรถึงเลือกเช่าแทนการซื้อระบบเอง
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลายองค์กรกำลังหันมาใช้ Cloud Computing แทนการลงทุนซื้อระบบ IT เป็นของตัวเอง ผู้ให้บริการอย่าง VPS HiSpeed เสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่น
แต่ Cloud คืออะไรกันแน่ และทำไมถึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมของธุรกิจทั่วโลก วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่อง Cloud กันอย่างละเอียด
Cloud Computing คืออะไร?
Cloud Computing หรือ "คลาวด์ คอมพิวติ้ง" คือการให้บริการทรัพยากร IT ผ่านอินเทอร์เน็ต แทนที่จะต้องมีเครื่องแม่ข่ายหรือโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT เป็นของตัวเอง ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูล โปรแกรม และบริการต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ระบบ IT แบบเดิม (On-Premise) องค์กรต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์ ติดตั้ง และดูแลระบบเอง ในขณะที่ Cloud ทำให้องค์กรสามารถใช้บริการแบบเช่าได้ตามความต้องการ เปรียบเสมือนการเช่าบ้านแทนการซื้อบ้าน ลดภาระการลงทุนครั้งใหญ่และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
Cloud Computing เริ่มต้นจากแนวคิดการแบ่งปันทรัพยากรคอมพิวเตอร์ในช่วงปี 1960 และพัฒนามาเป็นบริการเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2000 โดย Amazon เป็นผู้บุกเบิกด้วยบริการ AWS ตามมาด้วย Google Cloud และ Microsoft Azure ทำให้ Cloud กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม IT
ประเภทและรูปแบบของ Cloud Service
Cloud มีหลายประเภทตามลักษณะการให้บริการ ได้แก่
- IaaS (Infrastructure as a Service) ที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เครื่องแม่ข่าย พื้นที่จัดเก็บข้อมูล
- PaaS (Platform as a Service) ที่ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน
- SaaS (Software as a Service) ที่เป็นซอฟต์แวร์สำเร็จรูปผ่านเว็บเบราว์เซอร์ เช่น Gmail, Microsoft 365
สำหรับรูปแบบการให้บริการ มีหลายแบบดังนี้
- Public Cloud ที่เปิดให้ทุกคนใช้งานได้
- Private Cloud ที่สร้างเฉพาะสำหรับองค์กรหนึ่ง
- Hybrid Cloud ที่ผสมผสานทั้งสองแบบ
- Multi-Cloud ที่ใช้บริการจากผู้ให้บริการหลายราย
ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงและผู้ใช้บริการได้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละผู้ให้บริการ
ข้อดีของการใช้ Cloud แทนการซื้อระบบเอง
- ลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นอย่างมาก - แทนที่จะต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้ออุปกรณ์ องค์กรสามารถจ่ายเป็นรายเดือนตามการใช้งานจริง ช่วยประหยัดต้นทุนรวมได้มากถึง 20-30%
- ความยืดหยุ่นในการปรับขนาดระบบ - สามารถปรับขนาดทรัพยากรได้ทันทีตามความต้องการ เพิ่มทรัพยากรในช่วงที่มีผู้ใช้งานเยอะ และลดลงเมื่อไม่ต้องการ
- ไม่ต้องดูแลระบบเอง - ผู้ให้บริการ Cloud จะดูแลการบำรุงรักษา การอัปเดตความปลอดภัย และการแก้ไขปัญหาให้ ลดภาระงานและค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร IT
- เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา - พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลและระบบงานได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต เหมาะกับการทำงานแบบ Remote Work และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้
ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
ผู้ให้บริการ Cloud ชั้นนำมักมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงกว่าระบบภายในองค์กรทั่วไป ด้วยการลงทุนมหาศาลในด้านความปลอดภัย มีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคาม 24 ชั่วโมง และได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO 27001, SOC 2
การสำรองข้อมูลและ Disaster Recovery เป็นจุดแข็งสำคัญของ Cloud ข้อมูลถูกเก็บในหลายสถานที่ทั่วโลก หากเกิดปัญหาที่ใดที่หนึ่ง ระบบจะสลับไปใช้สำรองอัตโนมัติ ทำให้ความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูลต่ำมาก ผู้ให้บริการยังมี SLA (Service Level Agreement) รับประกันระดับการให้บริการ มักอยู่ที่ 99.9% ขึ้นไป
ข้อควรพิจารณา
ปัญหาหลักของ Cloud คือการพึ่งพาผู้ให้บริการ (Vendor Lock-in) และความต้องการอินเทอร์เน็ตที่เสถียร องค์กรอาจกังวลเรื่องการควบคุมข้อมูลและ Privacy โดยเฉพาะข้อมูลลูกค้าที่อ่อนไหว
การฝึกอบรมพนักงานเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเปลี่ยนมาใช้ Cloud เพราะวิธีการทำงานจะแตกต่างจากระบบเดิม องค์กรควรวางแผนการเปลี่ยนผ่านอย่างรอบคอบและค่อยเป็นค่อยไป
แนวโน้มอนาคตและสรุป
อนาคตของ Cloud จะเชื่อมโยงกับ Edge Computing และ 5G ทำให้การประมวลผลเกิดขึ้นใกล้ผู้ใช้มากขึ้น AI/ML บน Cloud Platform จะเป็นเทรนด์สำคัญ และ Serverless Computing จะทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันง่ายขึ้น
ในประเทศไทย รัฐบาลส่งเสริมการใช้ Cloud เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางดิจิทัล หลายองค์กรเริ่มเห็นประโยชน์และเปลี่ยนมาใช้ Cloud กันมากขึ้น
การตัดสินใจใช้ Cloud ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของกลยุทธ์ธุรกิจ องค์กรที่เปลี่ยนมาใช้ Cloud จะได้ประโยชน์ในด้านต้นทุน ความยืดหยุ่น และความสามารถในการแข่งขัน ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ Cloud อาจเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอดและเติบโตของธุรกิจของคุณ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา