“…สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มุ่งเน้นแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจให้เกิดประสิทธิภาพ และมีหลักประกันว่าข้าราชการตำรวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม และได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของบุคคลใด…”
สืบเนื่องจากกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบผลการพิจารณาญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ทำหน้งสือพร้อมรายละเอียดส่งกลับไปยังเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาไปแล้วเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568
อ่านประกอบ : ครม. รับทราบ ตร. ชี้แจง ปมขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บุกบ้านรองผบ.ตร.-คดีกำนันนก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ขอนำเสนอรายละเอียดประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะฉบับเต็มของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามในหนังสือ ที่ ตช 0007.14/402 วันที่ 31 มกราคม 2568 เรื่อง ผลการพิจารณาญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย คำตอบ จำนวน 9 ข้อ ดังต่อไปนี้

@ 9 คำตอบ แก้ไขความขัดแย้งใน ‘ตร.’
ข้อคำถามที่ 1
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติควรให้ความสำคัญและเร่งติดตามแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างจริงจัง และควรตรวจสอบเหตุการณ์ทั้งกรณีการยิงตำรวจที่จังหวัดนครปฐมและกรณีการค้นบ้านนายตำรวจระดับสูง
คำตอบ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความสำคัญในประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจมาโดยตลอด และเร่งติดตามแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้เห็นปรากฏตามรายงานของสื่อมวลชน เกี่ยวกับนายตำรวจระดับสูง ให้ข้อมูลในลักษณะที่ว่า ถ้าเปิดเผยจะตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
รวมถึงกรณีเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายราย ได้แก่ การยิงตำรวจเสียชีวิตที่สังกัดกองบังคับการตำรวจทางหลวง หรือ ‘คดีกำนันนก’ คดีส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อบุกค้น ‘บ้านพักของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ’ ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชน และสะท้อนความไม่เป็นเอกภาพในสายงานบังคับบัญชา ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติควรให้ความสำคัญ และเร่งติดตามแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างจริงจัง ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องการยิงตำรวจในสังกัดกองบังคับการตำรวจทางหลวงเสียชีวิต ดังนี้
@ แจงไทม์ไลน์ ‘คดีกำนันนก’
1.สถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม รับคำร้องทุกข์วันที่ 6 กันยายน 2566 คดีอาญาที่ 1616/2566 ระหว่าง ร้อยตำรวจเอก บุญเลี้ยง วันสามง่าม ผู้กล่าวหา กับ นายธนัญชัย หรือ หน่อง หมั้นมาก ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก ผู้ต้องหาที่ 2 ข้อหา ฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าผู้อื่นฯ
ต่อมาในวันที่ 7 กันยายน 2566 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งให้โอนคดีให้กองบังคับการปราบปราม ดำเนินการสอบสวนและรับผิดชอบฝ่ายเดียว ตามบันทึกสั่งการ ลงวันที่ 7 กันยายน 2566 ท้ายหนังสือสำนักงานกฎหมายและคดี ด่วนที่สุด ที่ 0011.22/2521 ลงวันที่ 7 กันยายน 2566 ซึ่งกองบังคับการปราบปราม ได้รับเป็นคดีอาญา ที่ 24/2566 ของกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม เพื่อทำการสอบสวนต่อไป
โดยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจจสอบสวนกลางที่ 245/2566 ลงวันที่ 8 กันยายน 2566 โดยมี พลตำรวจตรี สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งคดีนี้ได้สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 โดยพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 2 ต่อศาลอาญาเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ 3694/2526 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล
2.เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวเนื่องกับคดีตามข้อ 1 ซึ่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐมได้รับคำร้องทุกข์ไว้ ตามคดีอาญาที่ 1626/2566 ต่อมาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีบันทึกสั่ง ลงวันที่ 14 กันยายน 2566 ท้ายหนังสือกองคดีอาญา ด่วนที่สุด ที่ 0011.22/2606 ลงวันที่ 13 กันยายน 2566 ให้โอนคดีอาญาที่ 1626/2566 ให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ดำเนินการสอบสวนและรับผิดชอบฝ่ายเดียว ซึ่งกองบังคับการปราบปราม ได้รับเป็นคดีอาญา ที่ 25/2566 ของกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม เพื่อทำการสอบสวนต่อไป และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ 245/2566 ลงวันที่ 8 กันยายน 2566 ร่วมกันสอบสวนคดีนี้ด้วย
จากนั้นในวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ได้เสนอสำนวนการสอบสวนไปยังเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2566 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ ส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้มายังพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามให้มีอำนาจทำการสอบสวนต่อไป
@ มิได้บิดบังศาลขอออกหมายจับ ‘นายตำรวจระดับสูง’
กรณีตามที่ปรากฎเป็นข่าวของสื่อมวลชนในส่วนที่เกี่ยวข้อง เรื่องการส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อบุกค้นบ้านพักของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีข้อเท็จจริง ดังนี้
1.การดำเนินการตรวจค้นบ้านพักหลังดังกล่าว เป็นการตรวจค้นเพื่อพบบุคคลตามหมายจับ ซึ่งดำเนินการโดยชุดปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ชุดที่ 4 โดยการดำเนินการดังกล่าว เป็นการสืบสวนขยายผลจากข้อมูลและพยานหลักฐานที่ได้จากการจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายเว็บไซต์การพนัน BETFLIX จำนวน 3 ราย ในคดีอาญาที่ 468/2566 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ของสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ ข้อหา “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือ ทำอุบายล่อช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาตฯ สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินฯ” และความผิดตาม พระราชกำหนดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มาตรา 9
โดยในการสืบสวนขยายผลพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการพนันออนไลน์ดังกล่าว ทั้งกลุ่มหุ้นส่วนที่ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน และกลุ่มที่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยง เช่น กลุ่มบัญชีม้า กลุ่มที่มีธุรกรรมการรับหรือโอนเงิน และกลุ่มผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งปรากฎข้อมูลพยานหลักฐานเพียงพอที่จะขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีกจำนวน 23 ราย ในจำนวนดังกล่าว มีข้าราชการตำรวจเกี่ยวข้องด้วยจำนวน 8 ราย
พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจชำระคดีเพื่อขออนุมัติออกหมายจับและศาลได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้ง 23 ราย เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566 ซึ่งการดำเนินการขอออกหมายจับได้ดำเนินการโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 (1) ประกอบข้อ 8 วรรคหนึ่ง ข้อ 10 ข้อ 8 ข้อ 14 วรรคหนึ่ง และ ข้อ 17 (1) ของข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือหมายอาญา พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมิได้ปิดบังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเป็นข้าราชการตำรวจของผู้ต้องหาต่อศาลแต่อย่างใด
@ เพิ่งรู้ ‘รอง ผบ.ตร.’ อยู่ในบ้านพักนั้นด้วย
2. เมื่อศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว ฝ่ายสืบสวนก็จัดทำรายงานการเฝ้าสังเกตการณ์ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของบุคคลตามหมายจับทั้ง 23 ราย กับสถานที่ตรวจค้นจำนวน 30 จุดตรวจค้น รวม 8 จังหวัด เพื่อขอหมายศาลต่อศาลอาญาซึ่งมีเขตอำนาจทั่วราชอาณาจักร ครอบคลุมทุกพื้นที่และทุกจังหวัดที่ต้องการตรวจค้นจับกุม โดยการดำเนินการขอออกหมายนั้น ได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือหมายอาญา พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 15.2 (2) ประกอบ ข้อ 17 (1) ข้อ 25 และข้อ 26 ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายค้นทั้ง 30 จุดตรวจค้น เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566
โดยเหตุผลหลักในการขอหมายค้น คือ การค้นเพื่อพบบุคคลซึ่งมีหมายให้จับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 69 (4) และจากรายงานการสืบสวนเฝ้าสังเกตการณ์ปรากฎข้อมูลว่า บุคคลตามหมายจับมีความสัมพันธ์กับบ้านพักหลังที่ปรากฎเป็นข่าว จึงเชื่อว่า จะพบบุคคลตามหมายจับในบ้านพักหลังนั้น ซึ่งตามแนวทางการสืบสวนมุ่งประสงค์ยืนยันแหล่งที่อยู่ที่เชื่อว่าจะพบบุคคลตามหมายจับเป็นสำคัญ และในการสืบค้นเจ้าของบ้านก็ไม่ปรากฏว่ามีชื่อของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่ามีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับสถานที่ตามหมายค้นแต่อย่างใด
ประกอบกับสภาพหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านปิด เข้าถึงได้ยากฝ่ายสืบสวนจึงไม่สามารถจะเข้าไปสืบสวนได้โดยสะดวก ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่ามีบุคคลใดพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวบ้าง ซึ่ง พลตำรวจโท ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี/หัวหน้าด้านปฏิบัติการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งในขณะนั้น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพิ่งทราบในวันนั้น ว่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพักอาศัยอยู่ในบ้านพักด้วย ทั้งนี้ ในวันดังกล่าวสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้จำนวน 1 ราย
@ ไม่ได้เจตนาจงใจ-กลั่นแกล้งให้เดือดร้อนเสียหาย
3.จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมาในข้างต้นขอเรียนว่า กรณีตามที่ปรากฎในข่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ มิใช่ความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการดำเนินการไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานได้กระทำไปภายในกรอบอำนาจของกฎหมาย มิได้กระทำโดยมีเจตนาจงใจหรือกลั่นแกล้งให้บุคคลใดต้องได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
ในกรณีการเข้าค้นบ้านพักของข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่และเคหสถานอื่นหลายแห่งทั่วประเทศดังกล่าว ได้มีการตรวจสอบจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 247/2566 ลงวันที่ 25 กันยายน 2566 ประกอบกับมีการทบทวนการไต่สวนคำร้องขอออกหมายค้นของศาลอาญาและการไต่สวนคำร้องเรื่องการละเมิดอำนาจศาลของศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องแล้ว
ในส่วนของการดำเนินคดีสำหรับผู้ต้องหาที่เป็นพลเรือน อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานอัยการคดีพิเศษ พนักงานอัยการความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวม 41 ราย ส่วนผู้ต้องหาที่พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จำนวน 4 ราย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำความเห็นแย้ง ตามมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องคดีแล้ว
ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นข้าราชการตำรวจ และผู้สนับสนุนในความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่อีก 14 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ มีความเห็นว่ากรณีตามที่ปรากฎเป็นข่าวนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชน กลับยิ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งปราบปรามผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์โดยมิได้เลือกปฏิบัติ หรือละเว้นไม่ดำเนินการกับผู้ต้องหาที่เป็นข้าราชการตำรวจ
@ หยั่งเสียง ‘ตำรวจชั้นผู้น้อย’ แฟ้นหา ‘ผบ.ตร.’
ข้อคำถามที่ 2
เสนอขั้นตอนการเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 3 ขั้นตอน คือ 1) ต้องเปิดโอกาสให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ต้องการเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำการยื่นสมัครรับตำแหน่งพร้อมแฟ้มผลงาน 2) ต้องมีการแสดงวิสัยทัศน์ให้สังคมและตำรวจได้เข้าใจว่าจะนำพาการเปลี่ยนแปลงขององค์กรกรตำรวจอย่างไร ผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้ทราบว่าตนเองจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร และ 3) จัดทำแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ตำรวจสามารถเข้ามาเลือกได้ว่าอยากให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านใดเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการหยั่งเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อยและเพื่อเป็นข้อมูลให้กับนายกรัฐมนตรีในการตัดสินใจเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
คำตอบ
พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 139 ตอนที่ 64 ก ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2565 โดยกำหนดให้มีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ใช้บังคับเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565) มาตรา 78 (1) กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติ หรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 77 (1) ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
โดยจะต้องคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามเสนอคณะกรรมการข้าราชการตำรวจเพื่อพิจารณาเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
จากบทกฎหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มีหลักการและเหตุผลเป็นพิเศษ ไม่ได้กำหนดกรอบการคัดเลือกแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ต้องพิจารณาตามสัดส่วนอาวุโสดังเช่นที่กำหนดไว้ในมาตรา 82 ซึ่งกำหนดให้การพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตั้งแต่ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงไปถึงระดับสารวัตรที่จะต้องพิจารณาตามสัดส่วนอาวุโสที่กำหนดไว้
โดยระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะต้องพิจารณาตามลำดับอาวุโส ระดับผู้บัญชาการถึงผู้บังคับการพิจารณาเรียงตามลำดับอาวุโส ร้อยละ 50 ส่วนระดับรองผู้บังคับการถึงสารวัตร พิจารณาเรียงตามลำดับอาวุโสร้อยละ 33
แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดขององค์กร เป็นตำแหน่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาจากผู้มีความรู้ความสามารถและมีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมิจำเป็นต้องพิจารณาจากผู้มีอาวุโสลำดับต้นเพียงอย่างเดียว
@ มีแนวโน้มตอบตามกระแส-เบี่ยงเบนความจริง
ประกอบกับผู้ที่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและจเรตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติราชการรองจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรเป็นเวลานานจนเกิดความชำนาญเป็นผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการเช่นเดียวกัน จึงถือได้ว่าเป็นหลักความเสมอภาคที่ให้สิทธิแก่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและจเรตำรวจแห่งชาติ โดยเท่าเทียมกันในการเข้ารับการคัดเลือกแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ทั้งนี้ ในการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กฎหมายได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจคัดเลือกรายชื่อ แต่มิได้มีกฎเกณฑ์กำหนดไว้โดยเฉพาะที่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านใดเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุด แต่ได้กำหนดกรอบการใช้ดุลยพินิจของผู้มีอำนาจคัดเลือกแต่งตั้งให้คำนึงถึงหลักอาวุโสและหลักความรู้ความสามารถ
รวมทั้งประสบการณ์ของบุคคลประกอบกัน เพื่อให้ได้ผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ มีภาวะผู้นำและมีบุคลิกลักษณะเหมาะสมอย่างแท้จริงที่จะสามารถนำการขับเคลื่อนองค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติในภาพรวมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ราชการและประชาชน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการตรวจสอบและจัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆเพื่อประกอบการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย
การให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ละท่านตรวจสอบความถูกต้องพร้อมรับรองข้อมูลประวัติการรับราชการและลำดับอาวุโสของตนเอง รวมทั้งจัดทำผลการปฏิบัติงานสรุปปัญหาการปฏิบัติงานหรือสภาพปัญหาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน และแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในอนาคต หากได้รับการคัดเลือกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
และตรวจสอบข้อมูลสถานภาพต่าง ๆ ด้านความประพฤติ โดยพิจารณาจากการรักษาวินัย การประพฤติตนตามประมวลจริยธรรมข้าราชการตำรวจ อาทิ ข้อมูลการถูกดำเนินการทางวินัย อาญา แพ่ง ปกครอง และมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งตรงกันกับแนวทางขั้นตอน (1) และ (2) ดังกล่าวแล้ว
สำหรับกรณีความเห็นที่จัดทำแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ตำรวจสามารถเข้ามาเลือกได้ว่าอยากให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านใดเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการหยั่งเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อย และเพื่อเป็นข้อมูลให้กับนายกรัฐมนตรีในการตัดสินใจเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น เป็นแนวคิดที่ดีที่จะสะท้อนผลการประเมินความพึงพอใจของข้าราชการตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชา
แต่เนื่องด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีโครงสร้างแบ่งตามภารกิจหน้าที่ออกเป็นหลายส่วนทั้งส่วนบังคับบัญชา ส่วนป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ส่วนสนับสนุนป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ส่วนการศึกษาและส่วนบริการ ซึ่งการกำหนดลักษณะงานและการมอบอำนาจหน้าที่ให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติ ในการกำกับการบริหารราชการมีความแตกต่างกัน
ประกอบกับเหตุผลในการเลือกของแต่ละบุคคลมีอิทธิพลมาจากทัศนคติ การรับรู้ หรือประสบการณ์ ภายใต้องค์ความรู้ที่แตกต่างกัน สิ่งที่รู้อาจไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงอาจไม่ได้รับรู้ หรือมีแนวโน้มที่จะตอบตามกระแสสังคม ส่งผลทำให้คำตอบเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริง และอาจจะกลายเป็นข้อมูลที่เป็นเงื่อนไขในเชิงบังคับให้นายกรัฐมนตรีต้องตัดสินใจเลือกบุคคลที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดจากการเลือกของตำรวจชั้นผู้น้อยซึ่งส่งผลให้นายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาคุณสมบัติของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติในด้านอื่น ๆ ได้อีก
โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อีกทั้งในทางปฏิบัตินั้นอาจจะต้องใช้ทั้งแรงงานกำลังพลและงประมาณเพื่อให้ได้ข้อมูลดังกล่าวเฉกเช่นเดียวกับการเลือกตั้ง
@ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
ข้อคำถามที่ 3
ให้มีการกระจายอำนาจเพื่อให้จังหวัดและประชาชนในจังหวัดนั้นได้เข้ามามีบทบาท เช่น การปฏิเสธที่จะไม่รับตำรวจไม่ดีที่ถูกโยกย้ายไปประจำการในจังหวัดนั้น ๆ กำหนดทิศทางของการแก้ไขปราบปรามอาชญากรรม เพราะแต่ละพื้นที่มีปัญหาไม่เหมือนกัน
รวมถึงควรกระจายอำนาจของตำรวจให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของท้องถิ่นเหมือนเช่นในต่างประเทศ ผู้บัญชาการตำรวจควรเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหรือผู้บริหารสูงสุดในจังหวัด เพราะประชาชนในพื้นที่จะมีการตรวจสอบและมีส่วนร่วมมากขึ้น สามารถกำหนดทิศทางนโยบายในการดูแลประชาชนในพื้นที่ และช่วยแก้ปัญหาการแก่งแย่ง ชิงดีกันเพราะตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่คน ๆ เดียว ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
คำตอบ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการกระจายอำนาจ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ ประกอบกับปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 139 ตอนที่ 64 ก ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2565 กำหนดให้มีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ใช้บังคับเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565) มาตรา 11 กำหนดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแบ่งส่วนราชการเป็นสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและกองบัญชาการ เพื่อกระจายอำนาจไปยังกองบัญชาการมากขึ้น ซึ่งตามมาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัตินี้ ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนเพื่อรองรับหลักการกระจายอำนาจดังกล่าว
โดยไม่ได้กำหนดให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทั้งหมด หากแต่ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่รองผู้บังคับการลงมาในกองบัญชาการที่มิได้สังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้เป็นอำนาจผู้บัญชาการ และในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรและผู้บังคับหมู่ ไม่สูงกว่าตำแหน่งเดิมในกองบังคับการให้เป็นอำนาจของผู้บังคับการ
@ ทำบัญชีผู้เหมาะสม-ไม่เหมาะสมเลื่อนตำแหน่ง
ประกอบกับกฎหมายยังกำหนดให้ในการคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในแต่ละระดับตำแหน่ง ให้ผู้บังคับบัญชาในส่วนราชการที่มีระดับสารวัตรจนถึงระดับผู้บัญชาการเป็นหัวหน้ามีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในรูปของคณะกรรมการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้ผู้มีอำนาจคัดเลือกหรือแต่งตั้งได้พิจารณาอย่างเที่ยงธรรม ซึ่งกำหนดให้จัดทำบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นของข้าราชการตำรวจในสังกัด และบัญชีข้อมูลผู้ไม่เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งขึ้น โดยต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน พร้อมทั้งระบุเหตุผลโดยละเอียดและเป็นรูปธรรมเพื่อชี้แจงต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปตามลำดับชั้น
นอกจากนั้นกฎหมายได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นและมีข้อเสนอแนะในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจด้วย โดยในการคัดเลือกหรือแต่งตั้งตั้งราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในแต่ละระดับตำแหน่ง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 82 กำหนดให้ในการพิจารณาความรู้ความสามารถให้คำนึงถึงประวัติการรับราชการ ผลการปฏิบัติงานความประพฤติและผลการประเมินความพึงพอใจที่ประชาชนหรือผู้รับบริหารได้รับการให้บริหารของข้าราชการตำรวจประกอบกัน
อีกทั้งยังมีผู้แทนคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) ของกองบังคับการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรจังหวัดร่วมเป็นกรรมการของคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับกองบังคับการ ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรและผู้บังคับหมู่ ไม่สูงกว่าตำแหน่งเดิมในกองบังคับการ จึงถือได้ว่ากฎหมายได้กำหนดกลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจและให้ตัวแทนของภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบติดตามและให้คำแนะนำในการคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจไว้อย่างชัดเจน
@ กางนโยบายดูแลประชาชน ตรวจสอบ-มีส่วนร่วม
การกำหนดทิศทางนโยบายในการดูแลประชาชนในพื้นที่ ประชาชนในพื้นที่มีการตรวจสอบและมีส่วนร่วมมากขึ้น ดังนี้
1.สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ มีการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจผ่านองค์กรหรือคณะกรรมการที่มีชื่อเรียกว่า คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจกรุงเทพมทานคร คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดและคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจ
2. คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารหารงานตำรวจกรุงเทพมหานคร คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัด และคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจจะประกอบด้วยข้าราชการตำรวจ ข้าราชการการฝ่ายพลเรือน ข้าราชการท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่โดยมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจในพื้นพื้นที่ส่งเสริมให้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจและการบริหารงานตำรวจ
ให้ข้อมูลข่าวสารและเสนอปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนในเขตพื้นที่ผ่านการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจกรุงเทพมหานคร คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัด คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจและคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจภูธร
ซึ่งกฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ แต่ละคณะต้องมีการประชม ดังนี้
(1) คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัด ให้มีการประชุมอย่างน้อย 3 เดือน ต่อหนึ่งครั้ง
(2) คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาล และคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจภูธร ให้มีการประชุมอย่างน้อย 2 เดือนต่อหนึ่งครั้ง เพื่อติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจในพื้นที่และอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
3.เนื่องจากองค์กรคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ เป็นองค์กรที่มีประชาชนในพื้นที่ท้องถิ่น/ชุมชน เป็นกรรมการในสัดส่วนที่เท่า ๆ กับข้าราชการ ดังนั้นระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. 2549
จึงกำหนดให้คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจเป็นองค์กรสำคัญ มีบทบาทเป็นแกนนำในการให้ท้องถิ่น/ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ
โดยให้คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาล/คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจภูธร คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจกรงเทพมหานคร และคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัด มีบทบาทในการกำหนดลักษณะ รูปแบบ และวิธีการให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจด้านต่าง ๆ รวม 6 ด้าน โดยคำนึงถึงปัจจัยและวิธีการดำรงชีวิตของแต่ละท้องถิ่นและชุมชนเป็นสำคัญ
4.การมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการตำรวจของคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจกรุงเทพมหานคร คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัด และคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาล/คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจภูธร มีกฎหมายและระเบียบรองรับ ดังนี้
4.1 ระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ พ.ศ. 2567
4.2 ระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมและชุมชนมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. 2549
4.3 พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565
ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 33 และมาตรา 35 กำหนดให้มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 346/2566 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ประกอบไปด้วย นายสมรรถชัย วิศาลาภรณ์ เป็นประธานกรรมการ มีกรรมการ จำนวน 6 คน และมี พลตำรวจโท ปัญญา เอ่งฉ้วน เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 40 ดังต่อไปนี้
1.เสนอแนะต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เพื่อให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจดำเนินการจัดให้มีหรือปรับปรุงนโยบายการบริหารงานบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
2.พิจารณา วินิจฉัย อุทธรณ์ ตามมาตรา 141 (2)
3.พิจารณา วินิจฉัย เรื่องร้องทุกข์ตามมาตรา 148
4.พิจารณาเรื่องการคุ้มครองระบบคุณธรรมตามมาตรา 150
5.ออกกฎคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
6.ปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ
ปัจจุบันมีกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ติดตาม การบริหารงานตำรวจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ ดังนี้
1.พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 7 กำหนดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดระบบการบริหารการปฏิบัติงานด้านการป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาการรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดดภัยของประชาชนให้เหมาะสมกับความจำเป็นของแต่ละท้องถิ่นและชุมชน โดยต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคเอกชน และชุมชนมีส่วนร่วมทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย งบประมาณ และอาสาสมัคร ตลอดจนการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานตำรวจ
2.ระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติว่าด้วยคณะกรรมการตรวจสอบและและติดตามการบริหารงานตำรวจ พ.ศ. 2567 กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ ตั้งแต่ระดับสถานีตำรวจ กองบังคับการ กองบัญชาการ เพื่อส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการทำงานของตำรวจ เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา รักษาความสงบเรียบร้อย รักษาความปลอดภัยของประชาชนตามความเหมาะสมและความต้องการแต่ละพื้นที่
3.ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน ชมชน ท้องถิ่นและองค์กรมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. 2551
4. ระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดระบบการบริหารการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษาความปลอดภัยของประชาชนให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่นและชุมชน พ.ศ. 2559
5.ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา (ร่าง) ระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคเอกชน และชุมชนมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. ....
ดังนั้น ด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายและระเบียบดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นการส่งเสริมบทบาทของประชาชนและองค์กรในท้องถิ่น ให้สามารถเข้าตรวจสอบ ติดตาม การบริหารงานตำรวจและเสนอแนะ การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่อยู่แล้ว
ตัวอย่างเช่นปัญหาที่พบจากการจัดทำโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบลเพื่อสเพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรมตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (STRONGER TOGETHER) ประจำปีงบประประมาณ พ.ศ.2566 พบว่ามีปัญหาซึ่งตำรวจเข้าไปมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหากับภาคประชาชน 4 ด้าน ได้แก่
-ปัญหาด้านสังคม อาทิ อาชญากรรม การจราจร และอุบัติเหตุ การให้บริการสาธารณูปโภค ครอบครัว
-ปัญหาด้านเศรษฐกิจ อาทิ การทำงาน การเกษตร การใช้ที่ดิน
-ปัญหาสิ่งแวดล้อม อาทิ ขาดแหล่งน้ำ มลภาวะ ภัยธธรรมชาติ โรคระบาด
-ปัญหาด้านความขัดแย้ง อาทิ ความขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่น ความขัดแย้งเรื่องทางศาสนา ความขัดแย้งเรื่องการใช้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณประโยชน์
จึงเห็นได้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการตำรวจมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ยังกระจายอำนาจการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทุกระดับให้กับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดด้วย และยังสามารถเสนอแนะผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป หากพบว่ามีข้าราชการตำรวจบางนายไม่สมควรดำรงตำแหน่งในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดที่ตนเองรับผิดชอบ เนื่องจากจะเกิดความเสียหายต่อราชการ หรือการได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีโครงการประเมินผลความเชื่อมันและความพึงพอใจของประชาชนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจบนสถานีตำรวจและนอกสถานีตำรวจ และความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมของประชาชน
ปัจจุบัน พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565 มีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร) ได้ประกาศใช้มาประมาณ 1 ปี รวมทั้งให้กระทำให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คือวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2566 เนื่องจากพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้มีการประกาศและบังคับใช้เพียงไม่นาน จึงอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล
ข้อเท็จริงและปัญหาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติงานตามกฎหมายดังกล่าว อีกทั้งการรับฟังปัญหาหรือการตั้งข้อสังเกตใด ๆ นั้น ควรรับฟังจากหน่วยงานที่รับผิดชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยตรงเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามภารกิจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นไปตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายดังกล่าว แต่ยังคงอยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารงานให้สามารถดำเนินงานได้ตามโยบายของรัฐบาลเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมต่อไป เมื่อได้มีการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ จากหน่วยปฏิบัติแล้วจะสามารถตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวได้อย่างถูกต้องครบถ้วนต่อไป
@ เพิ่มเงินเดือน-ค่าตอบแทน ป้องกันทุจริต
ข้อคำถามที่ 4
ควรพิจารณาถึงเงินเดือนและค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับค่าครองชีพหรือสภาพเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจรับส่วยหรือสินบนตำรวจชั้นผู้น้อยจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องนำเงินของตนเองมาใช้ในงานราชการ ซึ่งจะทำให้ปัญหาการทุจริต การรีดไถประชาชนจะค่อย ๆ หมดไป
และเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตตำรวจโดยเฉพาะตำรวจชั้นประทวน ควรสร้างหลักประกันความก้าวหน้าและความมั่นคงในอาชีพ ให้มีโอกาสเติบโตในสายงานให้มากขึ้น ส่งเสริมให้ตำรวจที่ยังไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีให้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ เพื่อให้มีหน้าที่การงานที่สูงขึ้นในอนาคต
คำตอบ
ปัจจุบันตามที่พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มีผลใช้บังคับโดยมีการเปลี่ยนแปลงบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้ แต่ไม่ได้เป็นการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนแต่อย่างใด
หากเปรียบเทียบการได้รับอัตราเงินเดือนเริ่มต้นของข้าราชการตำรวจชั้นประทวนจะได้รับเงินเดือนในขั้นต่ำของระดับ ป.1 อยู่ที่ 8,610 บาท และได้รับอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของข้าราชการตำรวจชั้นประทวนยศดาบตำรวจในขั้นสูงสุดของระดับ ป.3 ซึ่งเท่ากับอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรยศร้อยตำรวจเอก ที่ 54,820 บาท
และการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการตำรวจเป็นไปตามมาตรา 98 วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัตินี้ กำหนดให้ในกรณีที่ที่สมควรปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ถ้าเป็นการปรับเพิ่มร้อยละเท่ากันทุกอัตราและไม่เกินร้อยละสิบของอัตราที่ใช้บังคับอยู่
และเมื่อได้รับอนุมัติงบประมาณรายจ่ายจากรัฐสภา การปรับให้กระทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและให้ถือว่าบัญชีอัตราเงินเดือนท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นบัญชีอัตราเงินเดือนท้ายพระราชบัญญัตินี้
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ โดยจะมุ่งไปที่ข้าราชการที่มีเงินเดือนน้อยก่อน
ส่วนข้าราชการระดับสูงที่เงินเดือนมากแล้วจะได้รับการปรับขึ้นน้อยกว่า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตามหลักการเงินเดือนน้อยควรได้รับการปรับขึ้นมากกว่าแล้วค่อยปรับเงินเดือนชดเชยให้แก่ข้าราชการที่มีเงินเดือนสูง
สำหรับกรณีค่าตอบแทนอื่น ๆ นอกจากเงินเดือนตามข้อสังเกตและอภิปรายดังกล่าว ในปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการกำหนดในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่
1.เงินประจำตำแหน่ง ตามพระระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2558
เงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจเป็นไปตามมาตรา 67 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 การเพิ่มอัตราเงินประจำตำแหน่งต้องพิจารณาในภาพรวมทั้งระบบของภาครัฐและต้องผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนของการตราหรือแก้ไขกฎหมาย
2.เงินเพิ่มตามระเบียบคณะกรรมการข้าราชการตำรวจว่าด้วยเงินเพิ่มประเภทต่าง ๆ เงินเพิ่มในกลุ่มนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นค่าตอบแทนเพิ่มเติมเป็นพิเศษ เพื่อตอบแทนการทำงานในลักษณะต่าง ๆ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และอัตราเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราราชการพลเรือนท้ายระเบียบคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2552 ได้รับทำนองเดียวกัน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 การทำงานที่มีสภาพการทำงานไม่น่าอภิรมย์ ยากลำบาก ตรากตรำ เสี่ยงภัย เคร่งเครียด กดดัน หรือเป็นการทำงานที่ต้องใช้ความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์สูง
กลุ่มที่ 2 การทำงานที่มีสภาพการทำงานเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย อาจมีผลกระทบต่อร่างกายอาจก่อให้เกิดโรคจากการปฏิบัติงาน การสูญเสียอวัยวะต่าง ๆ หรือเป็นการทำงานที่ต้องใช้ความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์สูง
กลุ่มที่ 3 การทำงานที่มีลักษณะของงานที่ต้องใช้ความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์สูง ซึ่งเป็นสาขาที่ขาดแคลน มีการสูญเสียผู้ปฏิบัติงานออกจากระบบราชการเป็นจำนวนมาก มีอัตราการเข้าออกรุนแรง มีความแตกต่างของอัตราค่าตอบแทนสูง
เงินเพิ่มพิเศษในกลุ่มนี้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ กำหนดออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ต้องได้รับตามความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังด้วย ปัจจุบันมีการกำหนดระเบียบคณะกรรมการข้าราชการตำรวจว่าด้วยเงินเงินเพิ่มในกลุ่มนี้ จำนวน 19 ประเภท
3.เงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ
ในส่วนการกำหนดเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวตามระเบียบกระทรวงการคลังเป็นกรณีการใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรีในการออกระเบียบฯ ซึ่งกำหนดให้ข้าราชการตำรวจได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวตามระเบียบดังกล่าวนี้อยู่แล้ว อีกทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้อาศัยระเบียบเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้แก่ข้าราชการตำรวจอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีมีการพิจารณาปรับอัตราเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวตามระเบียบขึ้นใหม่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับค่าครองชีพในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ข้าราชการตำรวจก็สามารถเบิกจ่ายและได้รับเงินเพิ่มดังกล่าวได้ทันที
จากข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเงินค่าตอบแทนประเภทต่าง ๆ ที่ข้าราชการตำรวจได้รับนั้น จะสังเกตเห็นว่าอำนาจในการพิจารณากฎหมาย หรือระเบียบอันเกี่ยวกับค่าตอบแทนจากการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจนั้น มิได้มีเพียงการพิจารณาเฉพาะในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น หากแต่ยังต้องอาศัยอำนาจภายนอกหน่วยงานในการพิจารณาร่วมด้วย เช่น อำนาจการพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรี อำนาจการพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยกระทรวงการคลัง เป็นต้น
อีกทั้งในการพิจารณาโดยอาศัยอำนาจภายนอกหน่วยงานดังกล่าวยังมีการนำปัจจัยอื่น ๆ มาใช้ในการพิจารณาการกำหนดให้ข้าราชการตำรวจได้รับค่าตอบแทนจากการปฏิบัติงานร่วมด้วย ทั้งสภาวะเศรษฐกิจ การเก็บรายได้ประจำปีของรัฐ การพิจารณางบประมาณประจำปีของส่วนราชการ รวมถึงกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ซึ่งส่งผลให้การนำเสนอร่างกฎหมาย หรือระเบียบเกี่ยวกับค่าตอบแทนบางประเภทของข้าราชการตำรวจไม่ได้รับการพิจารณา หรือให้ความเห็นชอบ และบางระเบียบก็ไม่เป็นไปตามมาตรฐานค่าตอบแทนเดียวกันระหว่างหน่วยงานของภาครัฐด้วยกัน เช่น
บางหน่วยงานได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า หรือสามารถนำไปคำนวณบำเหน็จบำเหน็จบำนาญได้ แต่ในส่วนของข้าราชการตำรวจไม่สามารถนำไปคำนวณบำเหน็จบำนาญได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงานนั้น ๆ หากรัฐบาลให้การสนับสนุนและกำหนดนโยบายที่เกี่ยวกับค่าตอบแทน การปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับส่วนราชการอื่น อีกทั้งมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับค่าครองชีพในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยสามารถดำรงตนและครอบครัวอยู่ได้อย่างมีเกียรติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็พร้อมที่จะดำเนินการปรับปรุงค่าตอบแทนจากการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจให้สมกับเจตนารมณ์ของนโยบายรัฐบาลดังกล่าวต่อไป
@ ให้ทุนการศึกษา-เปิดโอกาสเติบโตในสายงาน
ประเด็นกรณีการยกระดับคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจชั้นประทวนนั้น ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการเปิดโอกาสให้ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนได้เติบโตในสายงาน สนับสนุนส่งเสริมให้ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่ยังไม่ได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ให้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาเพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่สูงขึ้นในอนาคต
อีกทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีแนวทางที่จะสร้างแรงกระตุ้นเพื่อให้ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนมีความฝักใฝ่ที่จะเรียนเพื่อให้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เช่น มีการเปิดรับสมัครสอบรับข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเพื่อให้มีสิทธิสอบแข่งขันเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรให้มากขึ้น หรือหากสำนักงานตำรวจแห่งชาติขาดแคลนพนักงานสอบสวนก็กำหนดให้ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิตหรือเนติบัณฑิต เพื่อมาสมัครสอบแข่งขันเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรสายงานสอบสวนโดยเฉพาะ เป็นต้น
นอกจากนี้ในกรณีที่ข้าราชการตำรวจมีปัญหาขาดแคลนในเรื่องการเงินเพื่อใช้ใช้ในการศึกษาเล่าเรียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ กองบัญชาการต่าง ๆ ได้มีการพิจารณาให้งบประมาณในเรื่องทุนการศึกษาสนับสนุนให้กับข้าราชการตำรวจผู้มีความรู้ความสามารถ มีความประพฤติดี และมีผลการปฏิบัติงานดีเป็นที่ประจักษ์ได้รับทุนการศึกษาต่อและภายหลังสำเร็จการศึกษาตาตามโครงการศึกษา หรือฝึกอบรมก็จะดำเนินการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งตามโครงการศึกษาหรือฝึกอบรมที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งเป็นการสร้างหลักประกันความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงในอาชีพที่มากยิ่งขึ้นและทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประสิทธิผลและผลสัมฤทธิ์ ต่อภารกิจขององค์กร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 เรื่องรายงานผลการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 (เรื่องการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ตามที่สำนักงกงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเสนอ โดยเห็นชอบในหลักการการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบราชการ ซึ่งการปรับอัตราเงินเดือนดังกล่าว เป็นการทยอยปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคณวุฒิเพิ่มขึ้น (ทุกคุณวุฒิ) และแตกต่างกันตามระดับคุณวุฒิการศึกษา ภายใน 2 ปี โดยมีเป้าหมายการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามวุฒิการศึกษา (คุณวุฒิหลัก)
การเพิ่มเงินเดือนให้กับข้าราชการตามติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เป็นการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ หรือสภาพเศรษฐกิจ การทุจริต เจ้าหน้าที่ตำรวจรับส่วยหรือสินบน และการรีดไถประชาชน แต่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น รวมทั้ง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับวิธีการจ่ายเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างประจำ จากเดือนละ 1 รอบ เป็นเดือนละ 2 รอบ ก็จะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำได้
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการสำรวจข้อมูลสถานภาพกำลังพลและที่พักอาศัยของข้าข้าราชการตำรวจ ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2567 โดยมีคนครองตำแหน่งร่วมทั้งหมด 213,511 นาย สถานภาพที่พักอาศัย มีจำนวน ทั้งหมด 107,2884 ยูนิตโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำของบประมาณในการก่อสร้างที่พักอาศัย โดยจะให้ข้าราชการตำรวจมีที่พักอาศัยคิดเป็นร้อยละ 70 ของคนครอง และในภาพรวมของ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติขาดแคลนที่พักอาศัยอีกประมาณ 42,174 ยูนิต และได้วางแผนในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 - พ.ศ. 2577 ปีงบประมาณละ 4,000 ยูนิต
- พ.ร.บ.ปีงประมาณ พ.ศ. 2567 ได้รับอนุมัติคำของบประมาณสร้างที่พักอาศัย จำนวน 2,075 ยูนิต
- พ.ร.บ.ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้รับอนุมัติคำของบประมาณสร้างที่พักอาศัย จำนวน 712 ยูนิต
- พ.ร.บ.ปีงประมาณ พ.ศ. 2569 จัดคำของบประมาณด้านที่พักอาศัย จำนวน 4,000 ยูนิต
@ ยกเลิกทรงผม-ตำรวจติดตาม
ข้อคำถามที่ 5
ควรมีการกำหนดนโยบายในการปฏิบัติงานของตำรวจให้มีความเหมาะสม และยกเลิกสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามผู้บังคับบัญชาหรือโครงการที่ไม่จำเป็นจะต้องให้ตำรวจรับผิดชอบ รวมถึงการยกเลิกระเบียบ เช่น การยกเลิกการบังคับทรงผมเพื่อคืนความเป็นธรรมในสิทธิร่างกายของตำรวจ อีกทรงผมของตำรวจมีลักษณะเฉพาะทำให้ทราบได้อย่างชัดเจนซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่
คำตอบ
ประเด็นการกำหนดนโยบายในการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ กรณีการติดตามผู้บังคับบัญชานั้นจะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 กำหนดการจัดระเบียบราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความสำคัญการปฏิบัติงานของส่วนราชการและข้าราชการตำรวจที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยปฏิบัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในระดับกองบังคับการหรือตำรวจภูธรจังหวัด และสถานีตำรวจในการจัดอัตรากำลังการกำกับดูแลการบริหารงานบุคคลและการดำเนินการมีงบประมาณและอุปกรณ์ให้เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่
ประกอบกับมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัตินี้ กำหนดห้ามมิให้สั่งให้ข้าราชการตำรวจที่สังกัดสถานีตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการอื่นที่มิใช่สถานีตำรวจ โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายได้มุ่งเน้นให้สถานีตำรวจมีกำลังพลเพียงพอและให้อยู่ปฏิบัติงานการบริการประชาชนในการอำนวยความยุติธรรม การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา และการรักษาความปลอดภัยของประชาชน
นอกจากนี้ในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการหรือช่วยราชการอื่น ทั้งในกรณีศูนย์ปฏิบัติการที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ การช่วยราชการนอกสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้วางระเบียบและกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการกรอบจำนวนในการพิจารณาอนุมัติให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการหรือช่วยราชการไว้ โดยจะต้องเป็นไปด้วยเหตุผลความจำเป็นเพื่อประโยชน์หรือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน่วยงานหรือเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
ทั้งนี้ ได้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการของหน่วยงานต้นสังกัดและความเห็นของผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดเป็นสำคัญ จึงถือได้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้วางมาตรการที่เหมาะสมและจำเป็นเพื่อไม่ให้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง และเกิดผลเสียต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและการบริการประชาชนไว้แล้ว
ในส่วนโครงการที่ไม่จำเป็นจะต้องให้ตำรวจรับผิดชอบนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดทำหรือดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านความมั่นคง แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นความมั่นคงเป้าหมายของแผนย่อย การรักษาความสงบภายในประเทศ รวมถึงห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย (Final Value Chain Thailand : FVCT)
ตลอดจนคู่มือการจัดทำโครงการเพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่กำหนดให้ส่วนราชการจัดทำโครงการรองรับ เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ ผลลัพธ์ของเป้าหมาย แผนแม่บทย่อย (Y1) และโครงการที่บรรจุในแผนปฏิบัติราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังเป็นโครงการที่เป็นภารกิจ อำนาจหน้าที่ เป้าหมายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับผิดชอบ ดังนี้
1.ถวายความปลอดภัยพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ได้อย่างสมพระเกียรติ ต้องตามพระราชประสงค์
2.สังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ได้รับการบริการด้วยความสะดวก รวดเร็ว เสมอภาค และเป็นธรรม
3.สนับสนุน การป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงให้ดีขึ้น
4.เป็นองค์กรนำสมัย มีมาตรฐานสากล และเข้าสู่ระบบราชการไทย 4.0
จากข้อมูลดังกล่าว จึงเป็นผลให้โครงการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการเป็นโครงการที่มีความจำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่รับผิดชอบและได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยเจ้าภาพตามเป้าหมายแผนงานย่อย
รวมทั้งรัฐบาลหรือส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้รับมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นส่วนราชการสนับสนุนการปฏิบัติตามภารกิจอีกด้วย
สำหรับการยกเลิกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติตนของข้าราชการตำรวจเมื่อแต่งเครื่องแบบ พ.ศ. 2561 ที่เคยกำหนดให้ข้าราชการตำรวจชายตัดผมสั้น ขาวทั้ง 3 ด้าน ในเรื่องนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบที่ไม่ทันสมัยหรือไม่จำเป็นเพื่อให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน
โดยในช่วงที่ผ่านมามีการแก้ไขระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติตนของข้าราชการตำรวจเมื่อแต่งเครื่องแบบ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีสาระสำคัญในเรื่องการไว้ผมของข้าราชการตำรวจให้เหมาะสมกับปัจจุบัน
โดยให้ข้าราชการตำรวจชายเมื่อแต่งเครื่องแบบเปลี่ยนเป็นด้านบนยาว ไม่เกิน 5 เซนติเมตร ด้านข้างและด้านหลังยาวไม่เกิน 1 เซนติเมตร โดยข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ที่มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยอาจไว้ผมรองทรงสูง หรือตามความเหมาะสมที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาได้ ในการแก้ไขระเบียบดังกล่าว ส่งผลดีต่อข้าราชการตำรวจส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตัดผมบ่อยและเกิดความยืดหยุ่นในการปฏิบัติ เป็นต้น
@ ปฏิรูปองค์กร - ทบทวน ‘พ.ร.บ.ตำรวจ
ข้อคำถามที่ 6
รัฐบาลควรให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างจริงจังเป็นรูปธรรมให้เกิดการปฏิรูปองค์กรตำรวจเพื่อขจัดปัญหาการบริหารงานที่ไม่สามารถทำให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายได้ และควรมีการตั้งข้อสังเกตต่อพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ที่ได้ประกาศใช้ไปว่ามีผลเปลี่ยนแปลงต่อการดำเนินงานขององค์กรหรือไม่ อย่างไร
คำตอบ
พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 139 ตอนที่ 64 ก ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2565 โดยกำหนดให้มีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ใช้บังคับเมื่อวันที่ 17 ตลาคม 2565) นั้น ซึ่งเดิมมีพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ใช้บังคับมาก่อนแล้ว
แต่เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 จึงยกเลิกพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของกฎหมายส่วนใหญ่จะเป็นในด้านการบริหารงานบุคคล แต่ในส่วนการบริหารงานทั่วไปและการดำเนินการขององค์กรนั้นยังคงมีการดำเนินการเช่นเดิม
โดยในการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกฎหมายที่มีการบังคับใช้นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อพิจารณาลักษณะหรือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นขึ้นในการปฏิบัติงานหรือปฏิบัติหน้าที่ โดยอาจมีข้อจำกัดที่ทำให้ให้ไม่สามารถปฏิบัติงานหรือหน้าที่ตามกฎหมายนั้น ๆ ได้
แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้มีการประกาศและบังคับใช้เพียงไม่นาน จึงอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงและปัญหาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติงานตามกฎหมายดังกล่าว
อีกทั้งการรับฟังปัญหาหรือการตั้งข้อสังเกตใด ๆ นั้น ควรรับฟังจากหน่วยงานที่รับผิดชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยตรงเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามภารกิจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นไปตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายดังกล่าว แต่ยังคงอยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารงานให้สามารถดำเนินงานได้ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมต่อไป
เมื่อได้มีการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ จากหน่วยปฏิบัติแล้วจะสามารถตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวได้อย่างถูกต้องครบถ้วนต่อไป
@ ยกโมเดลศาล-อัยการ เลื่อนขั้น แต่งตั้ง-โยกย้าย
ข้อคำถามที่ 7
การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง และการแต่งตั้งโยกย้าย ควรต้องคัดเลือกจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเหมาะสมกับตำแหน่งเป็นสำคัญ ใช้ระบบคุณธรรม กำหนดกฎเกณฑ์ที่เห็นรูปธรรม มีระบบตรวจสอบและบทลงโทษทางจริยธรรมที่เด็ดขาด
นอกจากนี้ไม่ควรให้ผู้บังคับบัญชามีดุลพินิจเพียงอย่างเดียว ควรเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมงานสามารถประเมินผู้บังคับบัญชาได้ และควรพิจารณานำรูปแบบการเลื่อนระดับของตำแหน่งผู้พิพากษาและอัยการมาปรับใช้
คำตอบ
พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 139 ตอนที่ 64 ก ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2565 โดยกำหนดให้มีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ใช้บังคับเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565) มีผลบังคับใช้นับแต่ 17 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป มีหลักการที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมแล้ว
โดยเนื้อหาในบทบัญญัติของกฎหมายได้มุ่งเน้นเพื่อให้การบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ เป็นไปตามระบบคุณธรรม มีมาตรการป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อำนาจหรือกระทำการโดยมิชอบและเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางปฏิรูปประเทศตามมาตรา 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธธรรม (4)
และสอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มุ่งเน้นแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจให้เกิดประสิทธิภาพ และมีหลักประกันว่าข้าราชการตำรวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม และได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของบุคคลใด งานมีประสิทธิภาพและมีความภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน
การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการตำรวจ มาตรา 95 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งบัญญัติว่า “การพิจารณาเลื่อนเงินเดือนข้าราชการตำรวจให้คำนึงถึงคุณภาพและปริมาณงาน ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของงานที่ได้ปฏิบัติมา ความสามารถ และความอุตสาหะในการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนการรักษาวินัยและการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับการเป็นข้าราชการตำรวจตามรายงานของผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น”
ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ จากบทบัญญัติที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การเลื่อนเงินเดือนจะพิจารณาจากองค์ประกอบหลักสองด้าน คือ ด้านผลการปฏิบัติงาน ความสามารถ และด้านการรักษาวินัย
รวมทั้งต้องนำผลการประเมินการปฏิบัติราชการมาประกอบการพิจารณาด้วย และมีการกระจายอำนาจการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนตามลำดับชั้นตั้งแต่ระดับกองกำกับการ กองบังคับการ จนถึงกองบัญชาการ ซึ่งในแต่ละระดับจะพิจารณาในรูปแบบคณะกรรมการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัตินี้ ได้กำหนดให้ ก.ตร. ออกกฎ ก.ตร. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดยต้องมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดลำดับอาวุโส การจัดประเภทตำแหน่งและการคำนวณสัดส่วนอาวุโสเพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น การกำหนดวาระประจำปี การนับจำนวนตำแหน่งว่าง และการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้อยู่ในเกณฑ์ที่สมควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
@ แต่งตั้งยึด ระบบคุณธรรม
ปัจจุบันได้มีการออกกฏ ก.ตร. ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567 เพื่อรองรับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565
ทั้งนี้ตามกฎ ก.ตร. ฉบับนี้ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ โดยใช้ระบบคุณธรรมและได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมเพื่อเป็นหลักประกันความเป็นธรรมในการแต่งตั้งขึ้นมาแล้ว อาทิ
- ผู้มีอำนาจจะต้องแต่งตั้งตามที่คณะกรรมการมีมติเสนอแนะ
- ผู้มีอำนาจจะต้องนำข้อมูลการเสนอของหน่วยรองมาประกอบการพิจารณา หากมีความเห็นต่างจะต้องชี้แจงเหตุผลต่อคณะกรรมการทุกราย
- การพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จะต้องพิจารณาจากข้าราชการตำรวจในหน่วยเท่านั้น ห้ามไม่ให้แต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นข้ามหน่วย
- การพิจารณาแต่งตั้ง โดยพิจารณาจากประสบการณ์ในกลุ่มสายงานตามที่กำหนดจะทำให้ได้ข้าราชการตำรวจที่มีความชำนาญงานมาปฏิบัติหน้าที่
- การพิจารณาผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดซึ่งมีความใกล้ชิดกับข้าราชการตำรวจมากกว่าผู้มีอำนาจ และพิจารณาในรูปคณะกรรมการในทุกระดับชั้น
- การแต่งตั้งสับเปลี่ยนหมุนเวียนระหว่างกองบัญชาการจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจ
- การแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นของผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์จะต้องทำผลงานเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
- ในการพิจารณาคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น หากพิจารณาเลื่อนขึ้นข้ามลำดับอาวุโสต้องมีเหตุผลชัดเจนสามารถอธิบายได้ว่าเป็นผู้เหมาะสมมากกว่า และการแต่งตั้งสับเปลี่ยนหมุนเวียนต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎ ก.ตร. ข้างต้น ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกยกเลิกเพิกถอนการแต่งตั้ง และผู้สั่งแต่งตั้งรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องจะต้องถูกพิจารณาดำเนินการทางวินัยไม่ร้ายแรงหรือร้ายแรง รวมทั้งถูกดำเนินคดีอาญาตามสมควรแก่กรณีด้วยตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 87 วรรคสี่ ประกอบกับแนวทางวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.
สำหรับดุลยพินิจในการคัดเลือกแต่งตั้ง พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้กำหนดกรอบใช้ดุลยพินิจของผู้มีอำนาจคัดเลือกแต่งตั้งไว้อย่างชัดเจน โดยกำหนดให้พิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งตามสัดส่วนในกลุ่มอาวุโส ดังนี้
- ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาเรียงตามอาวุโส (หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์)
- ระดับผู้บังคับการถึงผู้บัญชาการ พิจารณาเรียงตามอาวุโสจำนวน ร้อยละ 50
- ระดับรองผู้บังคับการถึงสารวัตร พิจารณาเรียงตามอาวุโสจำนวน ร้อยละ 33
นอกจากนี้กฎหมายได้กำหนดให้มีบทลงโทษแก่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจแต่งตั้งหากใช้ดุลยพินิจในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจโดยมิชอบตามมาตรา 87 วรรคสองและวรรคสาม อีกด้วย
หากจะให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำรูปแบบการเลื่อนระดับของตำแหน่งผู้พิพากษาและอัยการมาปรับใช้นั้น เนื่องด้วยการเลื่อนระดับของตำแหน่งผู้พิพากษาและอัยการเป็นการเลื่อนระดับโดยใช้อาวุโสหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
ประกอบกับลักษณะงานที่รับผิดชอบของตำแหน่งที่เหมือนกัน มีสัดส่วนของตำแหน่งในหน่วยงานตามชั้นศาล คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา และค่าตอบแทนในอัตราเงินเดือนที่สูง จึงทำให้มีเส้นทางการเจริญเติบโตที่ชัดเจน ซึ่งเป็นหลักการที่ดีสามารถรับรองความเป็นอิสระในการตัดสินคดีและแทรกแซงการทำหน้าที่ไม่ได้
แต่หากจะเปรียบเทียบกับเส้นทางการเจริญเติบโตของข้าราชการตำรวจที่ลักษณะงานที่รับผิดชอบของตำแหน่งมีความหลากหลายหน้างานและจะต้องมีสายการบังคับบัญชา
โดยกฎหมายได้กำหนดแบ่งตำแหน่งของข้าราชการตำรวจเป็น 5 กลุ่มสายงานหลัก คือ กลุ่มสายงานบริหาร กลุ่มสายงานอำนวยการและสนับสนุน กลุ่มสายงานสืบสวนสอบสวน กลุ่มสายงานป้องกันปราบปรามและกลุ่มสายงานวิชาชีพเฉพาะ
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่ง ที่ 433/2566 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 และที่ 573/2566 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2566 ให้ข้าราชการตำรวจทุกรายเข้าสู่กลุ่มสายงาน
ต่อมา ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ 9/2567 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 และ ครั้งที่ 10/2567 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 กำหนดให้ข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการถึงผู้บัญชาการ และหัวหน้าสถานีตำรวจตามพระระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 13 อยู่ในกลุ่มสายงานบริหารเพิ่มอีกหนึ่งกลุ่มสายงาน ยกเว้นตำแหน่งในกลุ่มสายงานวิชาชีพเฉพาะและตำแหน่งเฉพาะทาง
โดยให้ถือว่าสายงานที่ข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่งอยู่เดิมเป็นสายงานในกลุ่มสายงานบริหารด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการสร้างความเป็นธรรมในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ และไม่เป็นการตัดโอกาสความเจริญก้าวหน้าของข้าราชการตำรววจตามคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.
การแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในระดับรองผู้บังคับการลงมาจะใช้อาวุโสเพียงร้อยละ 33 เท่านั้น เนื่องด้วยสายงานของตำรวจจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งให้ผู้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงมาปฏิบัติหน้าที่ในสายงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการบริการประชาชน จึงไม่สามารถที่จะใช้ระบบการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นโดยใช้อาวุโสร้อยเปอร์เซ็นต์ได้
การแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นโดยใช้หลักอาวุโส ร้อยละหนึ่งร้อย อาจจะส่งผลทำให้ข้าราชการตำรวจไม่เกิดการพัฒนาตัวเองบั่นทอนกำลังใจในการปฏิบัติงานของผู้มีความรู้ความสามารถและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้นหลักสัดส่วนอาวุโสเพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามที่พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 กำหนด จึงมีความเหมาะสมสำหรับข้าราชการตำรวจแล้ว
@ ตรวจสอบทรัพย์สิน สน.-สอบสวนกลาง-สตม.
ข้อคำถามที่ 8
สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรได้รับการตรวจสอบจากกลไกภายนอกในเชิงรุก โดยต้องตรวจสอบความร่ำรวยและเส้นทางการเงินของตำรวจที่ดำรงตำแหน่งตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการทุจริต ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถให้คุณให้โทษได้ เช่น ตำแหน่งในสถานีตำรวจ ตำแหน่งในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
รวมถึงการสอบสวนตำรวจซึ่งมีเหตุให้ต้องสงสัยว่ามีการทุจริตในการสอบสวนนั้น ๆ ด้วย ซึ่งกลไกภายนอกที่สามารถปฏิบัติงานเช่นนี้ได้ อาทิ ผู้ตรวจการตำรวจภายใต้การกำกับดูแลของรัฐสภา
คำตอบ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีระบบบตรวจสอบโดยกลไกภายนอกในการตรวจสอบการทุจริตในเชิงรุก ปัจจุบันหน่วยงานภายนอกที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตที่เป็นมาตรฐาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ซึ่งมีข้อกำหนดและกฎหมายที่นอกเหนืออำนาจของกองบังบังคับการปราบปรามการทจริตและประพฤติมิชอบให้ดำเนินการได้ เช่น การรายงานทรัพย์สินของตำแหน่งสำคัญ ๆ ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561
ในส่วนของสถานีตำรวจจะมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติว่าด้วยคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ พ.ศ. 2549 ซึ่งส่งเสริมให้ท้องถิ่นหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการของตำรวจในเรื่องรับข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอแนะจากประชาชน ถือได้ว่าเป็นการตรวจสอบอีกทางหนึ่ง
อีกหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ตรวจสอบเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียน คือ “ศูนย์ดำรงธรรม” ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่มีบทบาทในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนอย่างจริงจัง โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบรับเรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชนในทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง วิเคราะห์ ประเมินเรื่องราว เหตุการณ์ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ ประสานการปฏิบัติและส่งต่อเรื่องราวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ
รายงานผลการปฏิบัติตามสายการบังคับบัญชาทันทีที่ได้รับเรื่องราว ระหว่างการปฏิบัติและภายหลังภารกิจเสร็จสิ้นแล้วประชาสัมพันธ์ผลงานให้ประชาชนทั่วไปทราบอย่างแพร่หลาย ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมเชิดชูคนดีและให้ความรู้ทางศีลธรรม จริยธรรมแก่ประชาชนทั่วไป
การดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย มีการจัดตั้งครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค :
ส่วนกลางคือ ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย มีที่ตั้งบริเวณชั้น 1 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย และศูนย์ดำรงธรรมหรือศูนย์ให้บริการประชาชนในลักษณะเดียวกับศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงของหน่วยงานระดับกรมและรัฐวิสาหกิจ มีที่ตั้งอยู่ในกรมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง
ส่วนภูมิภาค คือ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ณ ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ/กิ่งอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอและกิ่งอำเภอทุกแห่ง
@ ปู กลไกตรวจสอบตำรวจทุกระดับ
กลไกการตรวจสอบภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีดังนี้
1.ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2567 กำหนดให้สำนักงานจเรตำรวจ มีหน้าที่และความรับผิดชอบตรวจสอบ ติดตาม และดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจราชการด้านการป้องกันปราบปราม การสืบสวน การสอบสวน การจราจร และการบริการสังคม ร้องเรียนหรือการร้องทุกข์ กล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจ พนักงานราชการ ลูกจ้าง ทุจริตหรือประพฤติมิชอบ และสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงตามอำนาจหน้าที่
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่ง ที่ 677/2561 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 เรื่อง ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีสำนักงานจเรตำรวจเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับนโยบาย โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
1.1 ให้คำแนะนำแก่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ และนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
1.2 ดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียนเรื่องการทุจริตการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของข้าราชการตำรวจ ลูกจ้างในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
1.3 ส่งเสริมและคุ้มครองจริยธรรมตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของข้าราชการตำรวจ
1.4 ประสานงานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการรวมทั้งการส่งเสริมและคุ้มครองจริยธรรรมเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานในในสังกัด
1.5 ติดตามประเมินผล และจัดทำรายงานการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการและการส่งเสริมและคุ้มครองจริยธรรมเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานในสังกัด
1.6 ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยอื่นที่เกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมาย
1.7 เป็นศูนย์อํานวยการกลางในการประสานการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
1.8 ทำหน้าที่ประสาน เร่งรัด กำกับและติดตามให้หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการขับเคลื่อนภารกิจตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งติดตามประเมินผลการดำเนินงาน
1.9 ทำหน้าที่ตรวจสอบเปรียบเทียบผลการดำเนินการทางปกครองวินัยของหน่วยงานในสังสังกัดและเสนอความเห็นต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2.กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นหน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในโครงสร้างและแผนปฏิบัติตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต สำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว และยังปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามการทุจริตร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่แห่งชาติ
โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งดำเนินการกรณีมีข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ สืบสวนข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐานพร้อมความเห็นส่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อพิจารณาชี้มูล และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติสามารถดำเนินการเอง หรือส่งประเด็นกลับมาให้กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบดำเนินการต่อไปก็ได้
3.สำนักงานตรวจสอบภายใน มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงาน หรือสถานีตำรวจทั่วประเทศ ให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อกฎหมาย เป็นการตรวจสอบการทุจริตเชิงรุกอีกทางหนึ่ง
4.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีสายด่วน “1599” ซึ่งมีสถานที่ตั้งอยู่ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการให้บริการประชาชน การสอบถาม ขอความช่วยเหลือ รับแจ้งเหตุ แจ้งเบาะแส หรือแจ้งเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ สามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสถานีตำรวจทั่วประเทศ และข้อมูลสถานีตำรวจสำหรับแจ้งชุมนุมให้กับประชาชนในทุกเรื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง
5.ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 43 ให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจคณะหนึ่ง เรียกโดยย่อว่า “ก.ร.ตร.” มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมของประชาชนจากการกระทำหรือไม่กระทำการของข้าราชการตำรวจอันมิชอบหรือการประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมและเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของตำรวจ กระทำผิดวินัย หรือละเมิดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ ประกอบด้วย ประธาน ก.ร.ตร. และกรรมการ ก.ร.ตร. ซึ่งนายกรัฐนตรีแต่งตั้งจากบุคคล ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประชุมร่วมกันคัดเลือก จำนวนหนึ่งคน
(2) ผู้ซึ่งเคยรับราชการในตำแหน่งตั้งแต่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือเทียบเท่าขึ้นไป และได้รับคัดเลือกจากคณะกรรมการข้าราชการตุลาการ จำนวนหนึ่งคน
(3) ผู้ซึ่งเคยรับราชการในตำแหน่งตั้งแต่อัยการพิเศษฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป และได้รับคัดเลือกจากคณะกรรมการอัยการ จำนวนหนึ่งคน
(4) ผู้ซึ่งเคยรับราชการเป็นข้าราชการตำรวจในตำแหน่งตั้งแต่ผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าขึ้นไปจำนวนสามคน ซึ่ง ก.ตร. คัดเลือกจากบุคคลและตามวิธีการที่กำหนดในมาตรา 44
(5) ทนายความซึ่งประกอบอาชีพทนายความมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบปี ซึ่งสภาทนายความคัดเลือกจำนวนหนึ่งคน
(6) ผู้แทนระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบลจำนวนสองคน ซึ่งที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลคัดเลือก โดยอย่างน้อยต้องเป็นสตรีจำนวนหนึ่งคน
ให้จเรตำรวจแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ ก.ร.ตร. และให้ ก.ร.ตร. มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ากว่าผู้บังคับการหรือเทียบเท่าในสำนักงานจเรตำรวจ จำนวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ก.ร.ตร.
เมื่อได้กรรมการ ก.ร.ตร. ไม่น้อยกว่าเจ็ดคนแล้ว ให้กรรมการประชุมคัดเลือกกรรมการตาม (1) (2) (3) หรือ (4) คนหนึ่งเป็นประธาน ก.ร.ตร. ในการประชุมดังกล่าว ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดคน ในระหว่างที่มีกรรมการ ก.ร.ตร. ยังไม่ครบจำนวนดังกล่าว ให้ถือว่า ก.ร.ตร. ประกอบด้วยจำนวนเท่าที่มีอยู่ไปพลางก่อน ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศรายชื่อ ก.ร.ตร. ในราชกิจจานุเบกษา
กรรมการตาม (1) (2) (3) และ (4) ต้องปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา
ส่วนประเด็นการตรวจสอบอื่น ๆ หากจะกระทำในเชิงรุกต้องดูระเบียบ ข้อกฎหมายว่ากองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร เป็นการป้องกันตัวเจ้าหน้าที่เองที่จะโดนร้องเรียนว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญในการตรวจสอบการทุจริต โดยมีกระบวนการตรวจสอบจากภายนอก และนอกจากนี้ยังมีกลไกการตรวจสอบภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งการตรวจสอบได้ดำเนินการเช่นเดียวกับส่วนราชการอื่น หากจะกระทำในเชิงรุกต้องดำเนินการในเชิงนโยบายที่เป็นลักษณะบูรณาการเพื่อให้มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
@ เพิ่มสัดส่วน ฝ่ายค้านใน ‘ก.ตร.’
ข้อคำถามที่ 9
ที่มาของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจควรมาจากการสะท้อนความต้องการของประชาชน และมีความหลากหลายทางอาชีพนอกจากตำรวจ เนื่องจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจเป็นผู้เลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในองค์กรตำรวจ ที่มาของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจจึงควรมีการสมัครเปิดเผย ผ่านการเลือกสรรที่ถูกต้องและเป็นธรรม ให้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านซึ่งมีที่มาจากประชาชนเสนอชื่อด้วย
คำตอบ
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 258 ง (4) กำหนดให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศในด้านกระบวนการยุติธรรม โดยให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่อำนาจและภารกิจของตำรวจให้เหมาะสม และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่า
ข้าราชการตำรวจได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งและโยกย้ายและการพิจารณาบำเหน็จความชอบตาม ระบบคุณธรรมที่ชัดเจนซึ่งในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกันเพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของบุคคลใดมีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน
ซึ่งต่อมาจึงได้มีกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2565 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 22 ได้กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองประธาน เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามลำดับอาวุโส จำนวน 5 คน จเรตำรวจแห่งชาติและคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน เป็นกรรมการซึ่งกรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิเป็นบุคคลภายนอกและมีความหลากหลายทางอาชีพ
นอกจากตำรวจ และได้รับการเลือกจากข้าราชการตำรวจซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่รองผู้กำกับการหรือเทียบเท่าขึ้นไปเป็นผู้เลือกกรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิ โดยวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามมาตรา 25 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565
ดังนั้น ที่มาของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจซึ่งประกอบด้วย กรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิ ประเภท ก. ที่เคยรับราชการเป็นข้าราชการตำรวจตำแหน่งผู้บัญชาการขึ้นไป และประเภท ข. เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นข้าราชการตำรวจมาก่อน เข้ามาทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการบริหารงานบุคคลขององค์กรตำรวจ
จึงเห็นว่าที่มาของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มีเจตนารมณ์ให้ฝ่ายการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมตามสมควรและน้อยที่สุด โดยสัดส่วนของกรรมการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจโดยตำแหน่ง และกรรมการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคณวุฒิมีสัดส่วนที่มีความถ่วงดุลกันโดยสมบูรณ์แล้ว ซึ่งตามที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจโดยตำแหน่ง จึงสะท้อนความต้องการของประชาชนและกรรมการคณะกรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคณวุฒิมีความหลากหลายทางอาชีพนอกจากข้าราชการตำรวจและดำเนินการคัดเลือกโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบ จึงมีการสมัครโดยเปิดเผยและผ่านการเลือกที่ถูกต้องเป็นธรรม
ทั้งนี้ ในกรณีที่จะให้ฝ่ายรัฐบาลเสนอชื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วยนั้น เห็นว่าตามมาตรา 78 (1) กำหนดให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีที่มาจากประชาชนคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนและเสนอชื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไว้แล้ว และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจมีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบโดยไม่มีอำนาจในการคัดเลือกรายชื่อเพื่อเสนอข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด
อีกทั้ง การจะให้ฝ่ายค้านมีอำนาจเสนอชื่อผู้จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่กำหนดสัดส่วนและถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจอย่างเหมาะสมแล้ว
ที่มาภาพปก : Facebook กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา