“…การที่จำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) นำหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา มาใช้ในการประเมินภาษีโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) จึงเป็นการกระทำที่หลีกเลี่ยงกฎหมาย ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ประเมินภาษีโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย…”
.....................................
จากกรณีที่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษา ที่ 2819/2566 ลงวันที่ 2 มิ.ย.2566 พิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มี.ค.2560 ที่แจ้งให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท (ภาษี ,เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม) ให้กับกรมสรรพากร
เนื่องจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ฯดังกล่าวของกรมสรรพากร ดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และนายทักษิณ ไม่ได้ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต
ส่งผลให้นายทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 'ตัวจริง' ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็ก ซึ่งดำเนินการผ่าน บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด ให้แก่กรมสรรพากร
อย่างไรก็ดี กรมสรรพากรได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาขอศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษฯไปแล้ว โดยขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นั้น (อ่านประกอบ : ลุ้น‘ศาลฎีกา’ชี้ขาดคดี‘สรรพากร’แจ้ง‘ทักษิณ’จ่ายภาษีเงินได้ฯขายหุ้น‘ชินคอร์ป’ 1.7 หมื่นล.)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดของคำพิพากษาของ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากรในคดีดังกล่าว (คำพิพากษา ที่ 2819/2566 ลงวันที่ 2 มิ.ย.2566) ดังนี้
@‘สรรพากร’ประเมิน-แจ้งเรียกเก็บภาษีขายหุ้น‘ชิน คอร์ปฯ’
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร คำพิพากษาที่ 2819/2566 นายทักษิณ ชินวัตร (โจทก์) กับ กรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) ,นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ (จำเลยที่ 2) ,นายประภาส สนั่นศิลป์ (จำเลยที่ 3) และ นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 4)
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า
เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2541 โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SHIN-F) จำนวน 32,920,000 หุ้น
วันที่ 12 มี.ค.2542 โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศ ในหมู่เกาะ British Virgin มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นหุ้น จำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เรียกชำระค่าหุ้นเพียง 1 หุ้น มูลค่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ
บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด มี นาย เลา วี เตียง (Mr.Lau Hwee Tiang) และนางกาญจนา หงส์เหิน เป็นกรรมการ มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ (Holding Investrnent Company) ในประเทศไทย โดยโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) เป็นผู้ถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียว จำนวน 1 หุ้น
ต่อมา วันที่ 11 มิ.ย.2542 บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ซื้อหุ้น บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 32,920,000 หุ้น จากโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) มูลค่าหุ้นละ 10 บาท (ราคา PAR) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วันที่ 2 ก.พ.2543 บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ได้เพิ่ม นายพานทองแท้ (ชินวัตร) เป็นกรรมการ
วันที่ 1 ธ.ค.2543 โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร )โอนหุ้นบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด จำนวน 1 หุ้น ให้แก่นายพานทองแท้
วันที่ 29 ส.ค.2544 บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนลดมูลค่าหุ้นจากที่ตราไว้ 10 บาท เหลือหุ้นละ 1 บาท ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่า เป็นผลให้บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 329,200,000 หุ้น
วันที่ 16 พ.ค.2548 บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มอีก 4 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนายพานทองแท้ ซื้อเพิ่ม 3 หุ้น และนางสาวพินทองทา (ชินวัตร) ซื้อ 1 หุ้น และได้เปลี่ยนแปลงกรรมการ เป็นนายพานทองแท้ นางสาวพินทองทา และนางกาญจนา
บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ได้ขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ถืออยู่ทั้งหมดให้กับนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของ บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท โดยทำการซื้อขายกันนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วันที่ 23 ม.ค.2549 นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ขายหุ้นดังกล่าว ให้แก่กลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็ก
คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีความเห็นว่า การที่ บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด โอนหุ้นให้แก่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ถือว่าส่วนต่างของราคาหุ้นระหว่างราคาตลาดกับราคา ที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ได้รับโอนมาจากบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด เป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ จึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) เรียกตรวจสอบภาษี รายนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา
เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 มาตรา 23 มาตรา 56 ทวิ มาตรา 88/4 มาตรา 91/21 และมาตรา 123 แห่งประมวลรัษฎากร ออกหมายเรียกตามประมวลรัษฎากร ไปยังนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองพา สำหรับการตรวจสอบภาษี ปีภาษี 2549 จำนวน 2 ครั้ง
ครั้งแรก เป็นหมายเรียกนายพานทองแท้ ตามเอกสารหมาย ล.5 แผ่นที่ 84 และหมายเรียกนางสาวพินทองทาตามเอกสารหมาย ล.6 แผ่นที่ 88
ครั้งที่สอง เป็นหมายเรียกนายพานทองแท้ ตามเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 325 และหมายเรียกนางสาวพินทองทา ตามเอกสารหมาย ล.7 แผ่นที่ 311
ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) อาศัยอำนาจตามมาตรา มาตรา 20 มาตรา 22 และมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รายนายพานทองแท้ เป็นเงินทั้งสิ้น 5,905,791,172.29 บาท และแจ้งการประเมินไปยังนายพานทองแท้ ตามเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 50 ถึง 55 และ 34
ส่วนรายนางสาวพินทองทา เป็นเงินทั้งสิ้น 5,904,503,601.13 บาท และแจ้งการประเมินไปยังนางสาวพินทองทา ตามเอกสารหมาย ล.7 แผ่นที่ 33 และ 47 ถึง 51
นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ แต่ลดเบี้ยปรับให้คงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย
นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา นำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2552 เป็นคดีหมายเลขดำที่ 266/2552 และคดีหมายเลขดำที่ 267/2552
ระหว่างการพิจารณา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อม.14/2551 คดีหมายเลขแดงที่ 1/2553 วินิจฉัยว่า โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ยังคงเป็นเจ้าของหุ้นของ บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,419,490,150 หุ้น นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) โอนให้บุคคลทั้งสองไว้แทนโจทก์
ศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษา ให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) สำหรับปีภาษี 2549 วันที่ 2 เม.ย.2550 ภายในกำหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 193 ถึง 196
เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) แจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 16 ถึง 24
โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 25 ถึง 67 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 (นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ,นายประภาส สนั่นศิลป์ และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์) ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 68 ถึง 88
@ประเมินภาษี‘ไม่ชอบ’ เหตุไม่ออกหมายเรียกตรวจสอบ‘ทักษิณ’
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ประการแรกว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) โดยชอบด้วยกฎหมาย และภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ว่า หุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่พิพาทเป็นของโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) โดยให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือไว้แทน ยังอยู่ในช่วงเวลาที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 (กรรมสรรพากร) สามารถออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีไปยังโจทก์ได้ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร
แม้เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 มิได้ออกหมายเรียกไปยังโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าว ก็ไม่อาจลบล้างผลทางกฎหมายของหมายเรียกที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ออกไปยังนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ก่อนที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 จะทราบว่าบุคคลทั้งสองเป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทนโจทก์ เพราะมาตราและมาตรา 820 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิได้บัญญัติเป็นเงื่อนไขไว้เช่นนั้น
ดังนั้น โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ในฐานะตัวการ จึงยังคงต้องผูกพันต่อผลทางกฎหมายของหมายเรียกดังกล่าว เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 สามารถอ้างบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า ด้วยความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกมาปรับใช้คดีนี้ได้ นั้น
เห็นว่า มาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นบทบัญญัติว่าด้วยวิธีการบริหารจัดการเก็บภาษีอากร โดยกำหนดให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานประเมิน ที่จะออกหมายเรียกไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากร หรือผู้นำส่งภาษีอากรที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามมาตรา 17 แห่งประมวลรัษฎากร
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) ใช้อำนาจออกหมายเรียกและทำการตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนภาษีอากรตามแบบแสดงรายการที่ยื่นและทราบข้อความแล้ว เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 มีอำนาจที่จะแก้จำนวนเงินที่ประเมินหรือที่ยื่นรายการไว้เดิม โดยอาศัยพยานหลักฐานที่ปรากฏ และแจ้งจำนวนเงินที่ต้องชำระอีก ไปยังผู้เสียภาษีอากรตามมาตรา 20 แห่งประมวลรัษฎากร
การออกหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) ถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญของการประเมินที่จะแจ้งไปยังผู้ยืนแบบ โดยมิได้ดำเนินการออกหมายเรียกผู้ยื่นรายการมาตรวจสอบไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนหาได้ไม่ บนพื้นฐานในมูลเหตุอันควรเชื่อว่าแบบไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์
การออกหมายเรียก เพื่อทำการตรวจสอบความถูกต้องบริบูรณ์ของการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ดังกล่าว จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ประมวลรัษฎากร มาตรา 19 จึงได้บัญญัติขอบเขตระยะเวลาในการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานประเมินไว้ว่า
การออกหมายเรียกผู้ยื่นแบบแสดงรายการ จะต้องกระทำภายในเวลาสองปี นับแต่วันยื่นแบบแสดงรายการ เว้นแต่ในกรณีที่ปรากภหลักฐานหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ยื่นแบบแสดงรายการมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร อธิบดีกรมสรรพากรจะอนุมัติให้ขยายเวลาการออกหมายเรียกผู้ยืนแบบแสดงรายการเกินกว่าสองปีก็ได้ แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 วินิจฉัยว่า หุ้นของ บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่พิพาทยังเป็นของโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดังกล่าวไว้แทนโจทก์
ต่อมาศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 266-267/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 242-243/1553 วินิจฉัยว่า
หุ้นของ บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่พิพาทเป็นของโจทก์ นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาถือหุ้นของบริษัทชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดังกล่าวไว้แทนโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) เงินได้ที่เกิดจากการขายหุ้นของ บริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงไม่ถือเป็นเงินได้ของนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา เพราะมิได้เป็นเจ้าของหุ้นหรือเจ้าของทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดเงินได้ โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) จึงเป็นผู้มีเงินได้
เมื่อโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับปีภาษี 2549 ในวันที่ 2 เม.ย.2550 ภายในกำหนดระยะเวลาตามประมวลรัษฎากร
หากเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) มีเหตุอันสมควรเชื่อว่าโจทก์ ยื่นแบบแสดงรายการไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) ต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ภายในกำหนดระยะเวลาสอง (2) ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนภาษีอากรตามแบบแสดงรายการที่โจทก์ยื่น
และหากกรณีเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 มีหลักฐานหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ยังสามารถขออนุมัติขยายระยะเวลาการออกหมายเรียกออกไปได้อีกไม่เกินห้า (5) ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการ
ส่วนการประเมินจากหนังสือสำคัญตามประมวลรัษฎากร มาตรา 61 เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานประเมิน ประเมินบุคคลผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญ โดยแสดงว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินและทรัพย์สินนั้น ก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน หรือเป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินโดยหนังสือสำคัญเช่นว่านั้น
บทบัญญัติมาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากร ทำให้เจ้าพนักงานประเมินสามารถประเมินเรียกเก็บภาษีได้ แม้จะล่วงเลยเวลาออกหมายเรียกตรวจสอบไต่สวนตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร
แต่อย่างไรก็ดี มาตรา 19 ซึ่งเป็นบททั่วไปกำหนดให้การประเมินต้องออกหมายเรียกตรวจสอบไต่สวนก่อน ทั้งนี้ มาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากร ก็มิได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นว่า เจ้าพนักงานประเมินสามารถประเมินจากหนังสือสำคัญ โดยไม่ต้องออกหมายเรียกตรวจสอบไต่สวนก่อน จึงประเมินภาษีอากรได้ และต้องเป็นการออกหมายเรียกตรวจสอบไต่สวนตามกำหนดสอง (2) ปีหรือห้า (5) ปี นับแต่วันที่ยื่นรายการตามมาตรา 19
ดังนั้น หากเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) เห็นว่า นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นแทนโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ก็มีอำนาจหน้าที่ประเมินภาษีอากรภาษีอากรโจทก์ ตามบทบัญญัติมาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการก็ได้ เพราะเป็นผู้มีเงินได้ที่แท้จริง
แต่ทั้งนี้ ก็ต้องออกหมายเรียกตรวจสอบไต่สวนโจทก์ก่อนตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะตัวการมิใช่บุคคลผู้มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินในหนังสือสำคัญนั้น หรือหนังสือสำคัญนั้นแสดงให้เห็นว่า ตัวการเป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินนั้น แต่ใช้ชื่อตัวแทนอยู่
หากเจ้าพนักงานประเมิน มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบไต่สวนโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ก็ย่อมเป็นการประเมินอันมิชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
@ทราบอยู่แล้ว'ทักษิณ'เจ้าของหุ้นตัวจริง แต่ไม่ออกหมายเรียกฯ
ส่วนที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ ได้ประเมินภาษีรายโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ตามมติที่ประชุมของการประชุมที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร 0403 (กร 6)/2950 ลงวันที่ 16 มี.ค.2560 โดยให้ถือว่าการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร
และให้ถือสำนวนการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเดิม เป็นสำนวนตรวจสอบภาษีโจทก์ ตามหลักการในเรื่องความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และในชั้นอุทธรณ์การประเมินจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 (นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ,นายประภาส สนั่นศิลป์ และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์) ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ได้วินิจฉัยความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอก มาเป็นข้อยกเว้นขั้นตอนในการประเมินที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ได้
ดังนั้น การออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ในฐานะตัวแทนเชิด จะถือเสมือนหนึ่งว่า เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร นั้น
เห็นว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการออกหมายเรียกโจทก์ภายในกำหนดสอง (2) ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และถ้าเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 มีหลักฐานหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า โจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีก็ยังมีอำนาจในการออกหมายเรียกโจทก์ภายในห้า (5) ปี
เมื่อโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในกำหนด สำหรับปีภาษี 2549 เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจในการออกหมายเรียกโจทก์เพื่อตรวจสอบภาษีอากรภายในวันที่ 30 มี.ค.2555
เมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ 242-243/2553 เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 วินิจฉัยว่า หุ้นบริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่พิพาทเป็นของโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) ทราบข้อเท็จจริงว่าโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) เป็นเจ้าเป็นเจ้าของหุ้น นับแต่วันที่ศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษาดังกล่าว
แต่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ก็มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร การที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ถือเอาการออกหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ในฐานะตัวแทน เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร จึงมีผลทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ ฟังไม่ขึ้น
ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ ที่ว่าโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่ ไม่เป็นสาระสำคัญแห่งคดีที่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นพ้องด้วยในผล
@ชี้‘ทักษิณ’ไม่ได้ใช้สิทธิฟ้อง‘สรรพากร-พวก’โดยไม่สุจริต
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ต่อไปว่า การใช้สิทธิของโจทก์ไม่สุจริต อันไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) จึงไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,419,490,150 หุ้น โดยให้บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา เป็นผู้ถือหุ้นแทนโจทก์ นำข้อเท็จจริงที่ตนปิดบังอำพราง เพื่อใช้เป็นข้อกล่าวอ้างปฏิเสธความรับผิดในหนี้ภาษีอากรคดีนี้
เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องศาลภาษีอากรกลาง ไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่โจท์กล่าวอ้าง มารับฟังเป็นเหตุเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงาน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ได้
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชาชน โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) แก้อุทธรณ์ว่า อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่ ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ และไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน นั้น
เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสี่ มิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ไว้ให้เป็นประเด็นข้อพิพาทมาก่อน และถือไม่ได้ว่าประเด็นนี้ ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง
แต่ปัญหาเรื่องการใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต เป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง จึงเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสี่ชอบที่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างได้ในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 24
ในประเด็นนี้ โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) ประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ สืบเนื่องมาจากการที่บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด โอนขายหุ้นให้นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด โดยถือว่าส่วนต่างของราคาหุ้นระหว่างราคาตลาดกับราคาที่นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาได้รับโอนมานั้น เป็นเงินได้พึ่งประเมินที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
เมื่อนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นดังกล่าวไว้แทนโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) โจทก์ จึงเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีที่แท้จริง แต่การประเมินภาษีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร
การที่จำเลยที่ 1 (กรมสรรพากร) นำหมายเรียกนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา มาใช้ในการประเมินภาษีโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) จึงเป็นการกระทำที่หลีกเลี่ยงกฎหมาย ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ประเมินภาษีโจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) มิได้ยกการกระทำหรือไม่กระทำการใดของโจทก์ขึ้นอ้าง อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ต้องเสียภาษี และส่อให้เห็นได้ว่าที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยทั้งสี่มานั้น อาจเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต
กล่าวโดยเฉพาะ คือ มิได้นำข้อเท็จจริงที่ปิดบังอำพรางไว้มาใช้กล่าวอ้าง เพื่อปฏิเสธการเสียภาษีคดีนี้ ตามที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์แต่อย่างใด โจทก์ (นายทักษิณ ชินวัตร) ชอบที่จะฟ้องจำเลยทั้งสี่โดยกล่าวอ้างเช่นนั้นได้ ไม่เป็นการใช้สิทธิฟ้องจำเลยทั้งสี่โดยไม่สุจริต ที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์มานั้น ไม่ตรงกับคำฟ้องของโจทก์ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
เหล่านี้เป็นรายละเอียดของคำพิพากษา ‘ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร’ ในคดีที่นายทักษิณ ฟ้อง ‘กรมสรรพากร-พวก’ กรณีมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) กับนายทักษิณ โดยให้นายทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้น ‘ชินคอร์ปฯ’ ซึ่งศาลฯพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือของกรมสรรพากรดังกล่าว ทำให้นายทักษิณ ไม่ต้องเสียภาษีจากการขายหุ้น 'ชิน คอร์ปฯ'
แต่ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ออกมาอย่างไร?
อ่านประกอบ :
ลุ้น‘ศาลฎีกา’ชี้ขาดคดี‘สรรพากร’แจ้ง‘ทักษิณ’จ่ายภาษีเงินได้ฯขายหุ้น‘ชินคอร์ป’ 1.7 หมื่นล.