“…เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบประทับฟ้องแล้ว เพื่อให้พนักงานส่วนท้องถิ่นหยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องสั่งให้พนักงานส่วนท้องถิ่นผู้นั้นพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับประกาศดังกล่าว และไม่อาจสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ศาลประทับฟ้องได้…”
........................................
เมื่อเร็วๆนี้ ‘สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา’ เผยแพร่บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การสั่งให้พนักงานเทศบาลพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
โดยบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาฯฉบับนี้ ‘คณะกรรมการกฤษฎีกา’ ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติกรณีการสั่งให้ ‘พนักงานเทศบาล’ ต้อง ‘พ้นจากตำแหน่ง’ หรือ ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ อันเนื่องมาจากคำสั่งหรือคำพิพากษาของ ‘ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ’ ในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดของ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ฉบับดังกล่าว (เรื่องเสร็จที่ 308/2568) ดังนี้
@หารือ‘ศาลคดีทุจริตฯ’สั่งจำคุก‘พนง.เทศบาล’แต่คดียังไม่ถึงที่สุด
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การสั่งให้พนักงานเทศบาลพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 (เรื่องเสร็จที่ 308/2568)
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีหนังสือ ลับ ที่ มท 0809.5/3432 ลงวันที่ 24 ธ.ค.2567 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ ดังนี้
1.คณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดร้อยเอ็ด (ก.ท.จ.ร้อยเอ็ด) หารือคณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล (ก.ท.) กรณีนาย ภ. ซึ่งเป็นพนักงานเทศบาล ตำแหน่งปลัดเทศบาล ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 มีคำพิพากษาจำคุก จำเลยยื่นอุทธรณ์ และคดียังไม่ถึงที่สุด
การพิจารณาหรือสั่งให้นาย ภ. พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 จะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร
2.ก.ท.ในการประชุมครั้งที่ 11/2567 เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2567 พิจารณาข้อหารือดังกล่าวของ ก.ท.จ. ร้อยเอ็ด แล้ว มีมติให้หารือคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง มาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กำหนดว่า ในกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้น พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ คำพิพากษาดังกล่าวจะต้องเป็นคำพิพากษาถึงที่สุดหรือไม่
ก.ท. เห็นว่า แม้มาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กำหนดให้ในกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้น พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม
แต่เมื่อพิจารณามาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 86 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ซึ่งกำหนดให้ในกรณีที่มีคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบถึงที่สุด ให้ยกฟ้อง ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐหยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ และยังมิได้พ้นจากตำแหน่งไปก่อน ก็ให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
และโดยที่การพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นการพิจารณา โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพียงศาลเดียว ในขณะที่การพิจารณาคดีของศาลอาญาคดีทจริตและประพฤติมิชอบมี 3 ระดับ คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
รวมทั้งมาตรา 29 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่า ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
ตลอดจนข้อ 4 แห่งประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเบื้องต้นสำหรับพนักงานเทศบาล พ.ศ.2564 กำหนดว่า ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นพนักงานเทศบาล ต้องมีคุณสมบัติที่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้ามเบื้องต้น ดังต่อไปนี้ ....
(7) เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำความผิดทางอาญา ....
และข้อ 6 แห่งประกาศดังกล่าว กำหนดให้ผู้ที่เป็นพนักงานเทศบาล ต้องมีคณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเบื้องต้นตามข้อ 4 ตลอดเวลาที่รับราชการ ดังนั้น การสั่งให้พนักงานเทศบาลซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำความผิดพ้นจากตำแหน่ง จึงต้องเป็นคำพิพากษาถึงที่สุด
ประเด็นที่สอง กรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบประทับฟ้อง โดยไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น การที่นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น (ก.จังหวัด) จะมีคำสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามความเห็นคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ในเรื่องเสร็จที่ 1033/2564 โดยไม่มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ศาลประทับฟ้อง ตามที่กำหนดในหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ถูกต้องหรือไม่
ประเด็นที่สาม หากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งมาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กำหนดให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ การสั่งให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งจะต้องมีคำสั่งลงโทษไล่ออก ปลดดออก หรือให้ออกจากราชการ หรือมีแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างไร
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยมีผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้แทนเทศบาลตำบลปอภาร เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฎข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากการชี้แจงของผู้แทนหน่วยงานดังกล่าว สรุปได้ว่า
สำนักงาน ป.ป.ช. มีหนังสือเมื่อวันที่ 31 ส.ค.2564 แจ้งมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัยว่า นาย ภ. พนักงานเทศบาล ตำแหน่งปลัดเทศบาล มีมูลความผิดทางอาญาและมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และให้นายกเทศมนตรีตำบลปอภาร พิจารณาโทษทางวินัย
โดยในคดีอาญา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2566 ว่า นาย ภ. กระทำความผิด ลงโทษจำคุก และขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คดียังไม่ถึงที่สุด
ส่วนในทางวินัย นายกเทศมนตรีตำบลปอภาร ได้ขอความเห็นชอบ ก.ท.จ.ร้อยเอ็ด ให้ไล่นาย ภ. ออกจากราชการ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2564 และขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาทบทวนคำวินิจฉัยดังกล่าวตามมาตรา 99 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำให้การพิจารณาโทษทางวินัยแก่นาย ภ ต้องรอผลการพิจารณาทบทวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียก่อน
ต่อมาเมื่อเดือน ก.ค.2567 ความปรากฏแก่นายกเทศมนตรีตำบลปอภาร ว่า นาย ภ. ถูกศาลอาญาคดีทจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 พิพากษาว่ากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาและลงโทษจำคุก นายกเทศมนตรีตำบลปอภาร โดยความเห็นชอบของ ก.ท.ท.จ..ร้อยเอ็ด จึงมีคำสั่งพักราชการ นาย ภ. ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2567
@ต้องมีคำพิพากษา‘ถึงที่สุด’ก่อน จึงจะมีคำสั่งให้พ้น‘ตำแหน่ง’ได้
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าวประกอบกับข้อเท็จจจริงเพิ่มเติมข้างต้นแล้ว มีความเห็นในแต่ละประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง มาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กำหนดว่า ในกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้น พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ คำพิพากษาดังกล่าวจะต้องเป็นคำพิพากษาถึงที่สุดหรือไม่
เห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กำหนดมาตรการและกลไกการป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งเฉพาะ ไว้ในหมวด 3การดำเนินการกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและและผู้ดำรงตำแหน่งเฉพาะ มาตรา 77 มาตรา 78 มาตรา 80 มาตรา 81 มาตรา 82 มาตรา 83 มาตรา 84 มาตรา 85 และมาตรา 86
โดยมาตรา 93 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในหมวด 4 การดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนที่ 1 การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกำหนดให้นำความในมาตรา 81 มาใช้บังคับกับกับการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยโดยอนุโลม ซึ่งการใช้บังคับโดยอนุโลมนั้น ย่อมเป็นการนำมาใช้โดยอาศัยหลักการอย่างเดียวกัน แต่ให้แก้ไขในรายละเอียดได้ตามควรแก่กรณี
ดังนั้น จึงต้องนำมาใช้ด้วยความระมัดระวังและต้องตีความการนำมาใช้โดยเคร่งครัด เพราะเป็นการนำบทบัญญัติของกฎหมายอื่นมาใช้บังคับ ทั้งนี้ ตามแนวความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่) ในเรื่องเสร็จที่ 271/2544 และความเห็นคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ในเรื่องเสร็จที่ 1033/2565
ด้วยเหตุนี้ การที่จะนำเรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่และการพ้นจากตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งเฉพาะ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาใช้บังคับกับเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยโดยอนุโลมนั้น จึงต้องปรับใช้ให้สอดคล้องกับกฎหมายระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภทด้วย
เมื่อข้อหารือนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 มีคำพิพากษาว่า นาย ภ. กระทำความผิดและให้ลงโทษจำคุก ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คดียังไม่ถึงที่สุด
การพิจารณาว่า นาย ภ. ต้องพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีใดระหว่างกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 มีคำพิพากษาว่า กระทำความผิด หรือกรณีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดเสียก่อน นั้น จึงต้องพิจารณาตามมาตรา 23 วรรคหก
ประกอบกับมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ซึ่งกำหนดให้การออกคำสั่งเกี่ยวกับการให้ออกจากราชการ ให้เป็นอำนาจของนายกเทศมนตรี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพนักงานเทศบาลกำหนด แต่สำหรับการออกคำสั่งให้พนักงานเทศบาลพ้นจากตำแหน่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการพนักงานเทศบาลก่อน
โดยกรณีนี้ ก.ท.จ.ร้อยเอ็ด ได้ออกประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดร้อยเอ็ด เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ออกจากราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งข้อ 33 (1) และ (3) กำหนดให้การสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ห้ามมิให้สั่งไล่ออกหรือปลดออกย้อนหลังไปก่อนวันที่มีคำสั่ง เว้นแต่ในกรณีกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก โดยคำพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือให้รับโทษที่หนักกว่าจำคุก
โดยปกติให้สั่งปลดออกหรือไล่ออก ตั้งแต่วันต้องรับโทษจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันต้องคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันถูกคุมขังติดต่อกันจนถึงวันต้องคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี
และในกรณีได้มีคำสั่งให้พักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อจะสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ให้สั่งปลดออกหรือไล่ออกตั้งแต่วันพักราชการ หรือวันให้ออกจากราชการไว้ก่อน แล้วแต่กรณี
ประกอบกับข้อ 6 ข (7) และข้อ 8 แห่งประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดร้อยเอ็ด เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาล พ.ศ.2545 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดร้อยเอ็ด เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาล (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 53) พ.ศ.2564
กำหนดให้พนักงานเทศบาลต้องไม่เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เพราะกระทำความผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ ตลอดเวลาที่รับราชการ
และเนื่องจากการพิจารณาคดีทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งเฉพาะตามมาตรา 81แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นการพิจารณาคดีโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีเพียงศาลเดียว อันแตกต่างจากการพิจารณาคดีทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งพิจารณาคดีโดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งประกอบด้วย ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
เมื่อกรณีตามที่หารือมานี้ คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด ดังนั้น ต้องให้ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเสียก่อน นายกเทศมนตรีตำบลปอภาร โดยความเห็นชอบของ ก.ท.จ.ร้อยเอ็ด จึงจะมีคำสั่งเพื่อให้นาย ภ. พ้นจากตำแหน่งได้
@‘ศาลฯ‘ประทับฟ้อง’ นายกฯต้องสั่งพักราชการ‘พนง.’เอาไว้ก่อน
ประเด็นที่สอง กรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบประทับฟ้อง โดยไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น การที่นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น (ก.จังหวัด) จะมีคำสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามความเห็นคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ในเรื่องเสร็จที่ 1033/2564 โดยไม่มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ศาลประทับฟ้อง ตามที่กำหนดในหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ถูกต้องหรือไม่
เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่าการนำมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธธรรมนณว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาใช้บังคับกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภทด้วย
โดยเมื่อพิจารณา พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นฯ แล้วปรากฏว่า ไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดเหตุให้พนักงานส่วนท้องถิ่นหยุดปฏิบัติหน้าที่ คงมีเพียงการสั่งพักราชการหรือการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ดังนั้น กรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำสั่งประทับฟ้อง โดยไม่มีคำสั่งสั่งเป็นอย่างอื่น
นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงต้องสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ทั้งนี้ ตามแนวความเห็นคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ในเรื่องเสร็จที่ 1033/2565
โดยที่การสั่งพักราชการหรือการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ออกจากราชการ ซึ่งตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น กำหนดให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด คณะกรรมการพนักงานเทศบาล และคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล เป็นผู้กำหนด
โดยอยู่ภายใต้กรอบมาตรฐานทั่วไปที่คณะกรรมการกลางองค์การบริหารส่วนจังหวัด คณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล และคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตำบล เป็นผู้กำหนด ซึ่งได้มีการกำหนดมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการให้ออกจากราชการไว้ ให้นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยความเห็นชอบของ ก.จังหวัด จะสั่งพักราชการกรณีข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นถูกฟ้องคดีอาญาก็ได้
แต่มิให้สั่งพักย้อนหลังไปก่อนวันออกคำสั่ง หรือจะสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน แต่มิให้สั่งให้ออกย้อนหลังไปก่อนวันออกคำสั่งหรือสั่งให้ออกตั้งแต่วันพักราชการเป็นต้นไป ทั้งนี้ ตามข้อ 17 และข้อ 21 แห่งประกาศคณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการให้ออกจากราชการ พ.ศ.2558
ประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการให้ออกจากราชการ พ.ศ.2558 และประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตำบล เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการให้ออกจากราชการ พ.ศ.2558
ดังนั้น เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบประทับฟ้องแล้ว เพื่อให้พนักงานส่วนท้องถิ่นหยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องสั่งให้พนักงานส่วนท้องถิ่นผู้นั้นพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับประกาศดังกล่าว และไม่อาจสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ศาลประทับฟ้องได้
@แนะ‘มท.’วางแนวปฏิบัติฯสั่ง‘พนง.เทศบาล’หยุดปฏิบัติหน้าที่
ประเด็นที่สาม หากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งมาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กำหนดให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้น พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ การสั่งให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง จะต้องมีคำสั่งลงโทษไล่ออก ปลดดออก หรือให้ออกจากราชการ หรือมีแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างไร
เห็นว่า เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ ก.จังหวัด จึงมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการให้พนักงานส่วนท้องถิ่นผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เป็นไปตามผลของมาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
ส่วนการที่จะมีคำสั่งลงโทษ ไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ ย่อมต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของพนักงานส่วนท้องถิ่นผู้นั้น
อนึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) มีข้อสังเกตว่า ประเด็นปัญหาตามข้อหารือนี้ เกิดจากการที่ไม่มีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสั่งให้พนักงานส่วนท้องถิ่นหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้เป็นไปตามผลของมาตรา 93 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
จึงสมควรที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นจะดำเนินการให้มีแนวทางปฏิบัติดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกันนี้อีก
เหล่านี้เป็นคำวินิจฉัยของ ‘กฤษฎีกา’ ล่าสุด เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ กรณีศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำสั่ง ‘ประทับฟ้อง’ ในคดีที่ ‘พนักงานเทศบาล’ ถูกกล่าวหาว่ากระทำทุจริตฯ รวมถึงการกำหนดแนวทางปฏิบัติกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มี ‘คำพิพากษา’ ลงโทษจำคุกพนักงานเทศบาล แต่ ‘คดียังไม่ถึงที่สุด’ ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร!