
"...ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าจําเลยทั้งสิบสามทําร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส แต่การที่จําเลยที่ 1 ใช้เท้ากระทืบที่บริเวณหน้าอกของผู้ตายและเตะที่บริเวณหลังผู้ตาย จนผู้ตายมีอาการตาลอย ลิ้นจุกปากและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาก็สืบเนื่องมาจากการกระทําของจําเลยที่ 1..."
กรณีข่าวพลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล หรือน้องเน อายุ 18 ปี พลทหารผลัดที่ 1/67 สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการธำรงวินัย (ถูกลงโทษ) ระหว่างการฝึก เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งผลการชันสูตรพบว่า อวัยวะภายในบอบช้ำ กระดูกสันหลังหัก ซี่โครงหัก และปอดฉีกรั่ว
เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 พิพากษาจำคุกครูฝึกคนที่ 1 ที่ทำร้ายร่างกายอยู่กับผู้ตายคนสุดท้าย 20 ปี ครูฝึกคนที่ 2 จำคุก 15 ปี พลทหารรุ่นพี่ 11 คน ที่เป็นผู้ช่วยครูฝึก จำคุกคนละ10 ปี
ทั้งนี้คดีนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเบิกความของพยานในแต่ละเหตุการณ์ค่อนข้างมาก ประกอบกับในฟ้องของโจทก์มีรายละเอียดที่คล้ายกับคำเบิกความของพยาน สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้สรุปและเรียบเรียงคำพิพากษามานำเสนอให้สาธารณชนรับทราบ ดังนี้

คดีนี้ เป็นคดีความอาญา เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อร่างกาย ความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย
ระหว่าง
พนักงานอัยการ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 2 โจทก์
นายคธาวุฒิ สารถี ที่ 1
นางสาวโสภาพรรณ พัดมาสกุล ที่ 2 โจทก์ร่วม
สิบเอกหิรัญ นพเก้า ที่ 1
สิบเอกวรัญญู เงินยวง ที่ 2
พลทหารพุฒิพงศ์ ลินทอง ที่ 3
พลทหารคุณานนต์ คําภาษี ที่ 4
พลทหารสุรเดช สําเภา ที่ 5
พลทหารนพรัตน์ อินทร์โสม ที่ 6
พลทหารชาญณรงค์ รวมวิชา ที่ 7
พลทหารศักรินทร์ ปั้นคํา ที่ 8
พลทหารธนโชติ เนาวบุตร ที่ 9
พลทหารอาทิตย์ คําศรี ที่ 10
พลทหารภาคิน สิมงาม ที่ 11
พลทหารวัชรรินทร์ จุรี ที่ 12
พลทหารกรวิชญ์ วงคํา ที่ 13 จําเลย
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจําเลยทั้งสิบสามรับราชการทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี จําเลยที่ 1 เป็นนายสิบพยาบาลประจําหน่วยฝึกทหารใหม่ จําเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูฝึกของหน่วยฝึกทหารใหม่ ส่วนจําเลยที่ 3 ถึงที่ 13 เป็นทหารกองประจําการได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยครูฝึกของหน่วยฝึกทหารใหม่ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มีอํานาจหน้าที่ร่วมกันทําการฝึกทหารใหม่ของศูนย์ฝึกทหารใหม่
@ จำเลยทั้งสิบสามทำร้ายผู้ตายหลายครั้ง
เมื่อระหว่างปลายเดือนพฤษภาคม 2567 ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จําเลยทั้งสิบสามร่วมกันกระทําทรมานแก่พลทหารวรปรัชญ์หรือปีเตอร์ พัดมาสกุล อายุ 18 ปีเศษ ซึ่งเข้ามาเป็นทหารใหม่ ในสังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี โดยจําเลยทั้งสิบสามมิได้มีเจตนาฆ่าแต่ร่วมกันทําร้ายร่างกายพลทหารวรปรัชญ์อย่างหนักหลายครั้งติดต่อกันหลายวันและหลายเวลา เพื่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์ในการลงโทษพลทหารวรปรัชญ์ เพราะเหตุอันเกิดจากการกระทําหรือสงสัยว่า การกระทําของพลทหารวรปรัชญ์ที่ไม่สามารถทําการฝึกทหารอย่างบุคคลอื่นได้ในลักษณะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันเข้าไปทําร้ายร่างกายและซ้อม โดยการตบ เตะ ต่อย กระทืบ และร่วมกันใช้ท่อนไม้แปรรูป ขนาด 3 นิ้ว ยาวประมาณ 114 เซนติเมตร 1 ท่อน และท่อนไม้ไผ่ ยาวประมาณ 137 เซนติเมตร 1 ท่อน เป็นอาวุธตีประทุษร้ายร่างกายพลทหารวรปรัชญ์หลายครั้งเป็นประจําต่อเนื่องเรื่อยมา
ต่อมาวันที่ 7 มิถุนายน 2567 เวลากลางวัน ซึ่งเป็นวันเดินทางไกลของทหารใหม่ จําเลยทั้งสิบสามร่วมกันนํากุญแจมือใส่ข้อมือทั้งสองข้างของพลทหารวรปรัชญ์แล้วร่วมกันทําร้ายร่างกายรุมกระทืบจนพลทหารวรปรัชญ์ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผล ใบหน้าบวมและร่างกายเขียวช้ำไปทั้งตัว จากนั้นในเวลากลางคืนหลังเที่ยงของวันเดียวกัน จําเลยทั้งสิบสามนําตัวพลทหารวรปรัชญ์เข้าไปในป่าแล้วร่วมกันทําร้ายร่างกายซ้อมและทุบตีจนพลทหารวรปรัชญ์ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและร้องขอชีวิต
ต่อมาวันที่ 19 มิถุนายน 2567 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จําเลยทั้งสิบสามร่วมกันสั่งให้พลทหารวรปรัชญ์ออกมาจากแถวฝึกทหารใหม่ จากนั้นร่วมกันใช้ท่อนไม้แปรรูป ขนาด 3 นิ้ว ยาวประมาณ 114 เซนติเมตร 1 ท่อน เป็นอาวุธตีประทุษร้ายร่างกายบริเวณหลังและก้นพลทหารวรปรัชญ์อย่างแรงหลายครั้ง จนทําให้พลทหารวรปรัชญ์รับอันตรายสาหัส
@ ใช้ไม้ตีทำร้ายร่างกายแล้วโยนลงบ่อน้ำ-ทำร้ายร่างกายอีกหลายรอบภายใน 1 วัน
ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2567 เวลากลางวัน ขณะที่พลทหารวรปรัชญ์นั่งอยู่บริเวณหน้ากองร้อย จําเลยทั้งสิบสามร่วมกันใช้ท่อนไม้แปรรูป ขนาด 3 นิ้ว ยาวประมาณ 114 เซนติเมตร 1 ท่อน เป็นอาวุธที่ประทุษร้ายที่ศีรษะพลทหารวรปรัชญ์อย่างแรงสิบกว่าครั้งติดต่อกันและร่วมกันจับพลทหารวรปรัชญ์โยนลงไปในบ่อน้ําบริเวณดังกล่าว จากนั้นสั่งให้พลทหารวรปรัชญ์ขึ้นจากบ่อน้ำ แต่พลทหารวรปรัชญ์ไม่ยอมขึ้นมา จําเลยทั้งสิบสามจึงร่วมกันใช้ท่อนไม้แปรรูป ขนาด 3 นิ้ว ยาวประมาณ 114 เซนติเมตร 1 ท่อน เป็นอาวุธตีประทุษร้ายที่บริเวณศีรษะพลทหารวรปรัชญ์อย่างแรงหลายครั้งจนทําให้พลทหารวรปรัชญ์รับอันตรายสาหัส
ต่อมาในวันเดียวกันเวลากลางคืนหลังเที่ยง ขณะพลทหารรวมแถวและพลทหารวรปรัชญ์พูดบ่นว่าหิวน้ํา จําเลยทั้งสิบสามร่วมกันสั่งให้พลทหารวรปรัชญ์ออกมาจากแถว แล้วจําเลยทั้งสิบสามร่วมกันใช้เท้าเตะและใช้มือชกต่อยที่บริเวณลําตัว หลังและก้านคอพลทหารวรปรัชญ์
จากนั้นร่วมกันใช้เท้ากระทืบพลทหารวรปรัชญ์อย่างแรงอีกหลายครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปทําร้ายร่างกายพลทหารวรปรัชญ์ แล้วช่วยกันจับแขนและขาพลทหารวรปรัชญ์ให้นอนหงาย จากนั้นจําเลยทั้งสิบสามร่วมกันเทน้ําจากถังพลาสติกสีน้ําเงิน ขนาด 20 ลิตร กรอกใส่ปาก จมูกและใบหน้าพลทหารวรปรัชญ์อย่างต่อเนื่องและเมื่อน้ําหมดถังก็สั่งให้พลทหารคนอื่นไปเติมน้ํามาและกรอกใส่ปากและใบหน้าพลทหารวรปรัชญ์อีกจนทําให้พลทหารวรปรัชญ์สําลักน้ําและรับอันตรายสาหัส
ต่อมาในวันเดียวกันเวลากลางคืนหลังเที่ยง จําเลยทั้งสิบสามเรียกรวมแถวแล้วพลทหารวรปรัชญ์มาถึงช้ากว่าคนอื่น จําเลยทั้งสิบสามเรียกให้พลทหารวรปรัชญ์แยกออกมาจากแถวเพียงลําพังแล้วร่วมทําร้ายเตะ ต่อย กระทืบตามร่างกายพลทหารวรปรัชญ์อย่างแรงหลายครั้ง จากนั้นร่วมกันใช้ท่อนไม้แปรรูป ขนาด 3 นิ้ว ยาวประมาณ 114 เซนติเมตร 1 ท่อน เป็นอาวุธที่ประทุษร้ายที่บริเวณหลังและท้ายทอยพลทหารวรปรัชญ์อย่างแรงหลายครั้งจนทําให้รับอันตรายสาหัส
@ ผู้ตายถูกทำร้ายจนช็อกหมดสติ-หัวใจหยุดเต้น
ต่อมาวันที่ 22 มิถุนายน 2567 เวลากลางวันช่วงเช้ามีการเรียกรวมแถวแล้วพบว่าพลทหารวรปรัชญ์มีสภาพบอบช้ำเขียวตามร่างกายและลุกไม่ไหว จําเลยทั้งสิบสามได้ไปปลุกพลทหารวรปรัชญ์ที่โรงนอน แล้วร่วมกันกระทืบตามร่างกายพลทหารวรปรัชญ์บนที่นอนอย่างแรงอีกหลายครั้ง ต่อมาขณะที่พลทหารวรปรัชญ์นอนพักอยู่ที่ห้องพยาบาลโดยลําพัง จําเลยที่ 1 เดินเข้าไปในห้องพยาบาลที่พลทหารวรปรัชญ์นอนพักอยู่แล้วทําร้ายร่างกายพลทหารวรปรัชญ์อีกหลายครั้งจนพลทหารวรปรัชญ์ รับอันตรายสาหัสนอนปัสสาวะราดบนที่นอน
จากนั้นในช่วงเวลาเย็นของวันเดียวกัน จําเลยที่ 1 เดินเข้าไปในห้องพยาบาลที่พลทหารวรปรัชญ์นอนพักอยู่แล้วทําร้ายร่างกายพลทหารวรปรัชญ์หลายครั้งจนพลทหารวรปรัชญ์รับอันตรายสาหัสและช็อกหมดสติไป จําเลยที่ 1 กับพวก จึงช่วยกันทําการปั๊มหัวใจพลทหารวรปรัชญ์แล้วเรียกรถมารับพลทหารวรปรัชญ์ไปส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายนวมินทราชินี ซึ่งแพทย์ลงความเห็นในสาระสําคัญว่า ผู้ป่วยไม่มีชีพจร ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ มีบาดแผลฟกช้ำบริเวณร่างกายและศีรษะหลายแห่ง เอ็กซเรย์พบว่ามีกระดูกซี่โครงหักและมีน้ําในปอดข้างซ้าย
ต่อมาในวันเดียวกันพลทหารวรปรัชญ์ถูกส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลชลบุรี ซึ่งแพทย์ลงความเห็นในสาระสําคัญว่า ผู้ป่วยมีบาดแผลถลอกและฟกช้ำบริเวณร่างกายและศีรษะหลายแห่งสมองขาดเลือด ผลเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองพบลักษณะฟกช้ำบริเวณหนังศีรษะด้านข้าง และด้านหลังข้างซ้าย เอ็กซเรย์ทรวงอกพบกระดูกซี่โครงซี่ที่ 2 ถึง 12 หักทั้งสองข้างและกระดูกสะบักข้างขวาหัก พบลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดทั้งสองข้าง เอ็กซเรย์หลังพบปุ่มกระดูกสันหลังระดับอกชิ้นที่ 7 ถึง 9 หัก
ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2567 มีการย้ายพลทหารวรปรัชญ์ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2567 พลทหารวรปรัชญ์ถึงแก่ความตาย ซึ่งแพทย์ระบุสาเหตุการตายว่า ตรวจพบกระดูกซี่โครงซี่ที่ 2 ถึง 12 ทั้งสองข้างหักหลายท่อน พบลมรั่วและเลือดออกในช่องปอด พบกระดูกสะบักขวาหัก พบกระดูกสันหลังส่วนอกระดับ 7 ถึง 9 หัก ส่วนเอวระดับ 1 ถึง 3 หัก ตรวจภายในพบสมองหนัก 1,080 กรัม ลักษณะบวมมาก เนื้อสมองมีลักษณะเหลวเละเซลล์สมองและเนื้อสมองมีการตายเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งเข้าได้กับภาวะสมองตาย กระดูกซี่โครงหักเก่า บริเวณกระดูกซี่โครงข้างขวาซี่ที่ 2 ถึง 9 ทางด้านหน้าและซี่ที่ 9 ถึง 11 ทางด้านหลัง กระดูกซี่โครงหักเก่าบริเวณกระดูกซี่โครงข้างซ้ายที่ 2 ถึง 9 ทางด้านหน้าและซี่ที่ 5 ถึง 12 ทางด้านหลัง ม้ามมีลักษณะคั่งเลือด
สาเหตุการตายเนื่องจากสมองตาย เหตุเกิดที่ตําบลบ้านสวน อําเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ต่อมาพนักงานสอบสวนยึดท่อนไม้แปรรูป ขนาด 3 นิ้ว ยาวประมาณ 114 เซนติเมตร 1 ท่อน และท่อนไม้ไผ่ ยาวประมาณ 137 เซนติเมตร 1 ท่อน ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จําเลยทั้งสิบสามใช้ในการกระทําความผิดเป็นของกลาง ชั้นสอบสวนจําเลยทั้งสิบสามให้การปฏิเสธ ของกลางเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 290, 297 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มาตรา 5, 34, 35 ริบท่อนไม้แปรรูป และท่อนไม้ไผ่ของกลาง
ระหว่างพิจารณา นายคธาวุฒิ สารถี และนางสาวโสภาพรรณ พัดมาสกุล บิดา และมารดา โดยชอบด้วยกฎหมายของพลทหารวรปรัชญ์หรือปีเตอร์ พัดมาสกุล ผู้ตาย ยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลอนุญาต
จําเลยทั้งสิบสามให้การปฏิเสธ
ปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจําเลยทั้งสิบสามกระทําความผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่
@ คำให้การพยานยืนยันความผิดจำเลยทั้งสิบสามมีน้ำหนัก
จากพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองนําสืบ เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองตามที่นําสืบมาในแต่ละเหตุการณ์ดังกล่าวต่างเป็นพยานที่รู้เห็นใกล้ชิดกับเหตุการณ์ คําให้การในชั้นสอบสวนและข้อเท็จจริงที่พยานแต่ละคนให้การและเบิกความมามีรายละเอียดในเหตุการณ์ตามช่วงเวลาและสถานที่ที่พยานแต่ละคนรู้เห็นในส่วนของตน ซึ่งพยานที่รู้เห็นในเหตุการณ์เดียวกันให้การและเบิกความสอดคล้องกันในข้อสาระสำคัญ แม้พยานบางปากจะเบิกความแตกต่างจากที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่ได้ทําให้น้ำหนักคำพยานเปลี่ยนแปลงไป
ประกอบกับพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองดังกล่าวเป็นทหารที่ทํางานในสถานที่เดียวกันกับผู้ตายและจําเลยทั้งสิบสามโดยไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทั้งพยานส่วนใหญ่เป็นทหารใหม่ที่เข้ามาฝึกโดยมีจําเลยทั้งสิบสามเป็นผู้ฝึกอบรมเช่นเดียวกันกับผู้ตาย หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริงพยานดังกล่าวคงไม่กล้าไปให้การต่อพนักงานสอบสวนในขณะที่ตนยังต้องรับการฝึกอบรมจากจําเลยทั้งสิบสามและคงไม่กล้ามาเบิกความยืนยันการกระทําความผิดของจําเลยทั้งสิบสาม ในชั้นพิจารณาของศาล ทําให้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองที่มาเบิกความยืนยันการกระทําความผิดของจําเลยทั้งสิบสามในแต่ละเหตุการณ์ดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าจะให้การและเบิกความไปตามความเป็นจริงที่รู้เห็นมา
นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีร้อยโทวิทยา วิโรจน์ชัยสิทธิ์ เป็นพยานมาเบิกความว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 พันโทชนะ ล่าดวงดี มีคําสั่งแต่งตั้งให้พยานกับพวกรวม 5 คน เป็นคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีผู้ตายถูกทําร้ายร่างกาย ซึ่งจากการสอบถามจําเลยทั้งสิบสาม จําเลยทั้งสิบสามรับว่ามีการทําร้ายร่างกายผู้ตายจริงและคณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่าจําเลยทั้งสิบสามกระทําความผิดทางวินัยฐานใช้ความรุนแรงต่อพลทหารและมีคําสั่งลงโทษจําขังจําเลยทั้งสิบสามไปแล้ว
และมีร้อยตํารวจเอกหญิงบุญสิตา หาสิน ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า ในชั้นแรกพยานแจ้งข้อหาแก่จําเลยทั้งสิบสามว่า ร่วมกันทําร้ายผู้ตาย จนเป็นเหตุให้ผู้ตายรับอันตรายสาหัส จําเลยทั้งสิบสามให้การรับสารภาพแต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าทําที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเรียกจําเลยทั้งสิบสามมาพบและแจ้งข้อหาว่าร่วมกันทําร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันทําร้ายผู้ตาย ด้วยวิธีการทรมานอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย จําเลยทั้งสิบสามให้การปฏิเสธโดยไม่ได้ให้รายละเอียดเหตุแห่งการปฏิเสธไว้อันเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจําเลยทั้งสิบสามได้มีการทําร้ายผู้ตายจริง
@ ต้องพิจารณาว่าจำเลยคนไหนทำผิดตามฟ้อง
แต่ทั้งนี้เนื่องจากเหตุการณ์ตามฟ้องเป็นเหตุที่เกิดขึ้นหลายช่วงเวลาและหลายสถานที่และมีลักษณะต่างคน ต่างทําเกิดในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 2567 ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2567 และความผิดตามฟ้องเป็นความผิดที่มีอัตราโทษสูง การที่จะฟังว่าจําเลยคนใดกระทําความผิดในเหตุการณ์ใดและกระทํารุนแรงเพียงใดจึงต้องพิจารณาให้ได้ความแจ้งชัดว่าจําเลยคนนั้นได้กระทําความผิดจริงตามที่โจทก์ฟ้อง
จากการวินิจฉัยพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองที่เบิกความถึงเหตุการณ์ในวันที่ 19 และวันที่ 22 มิถุนายน 2567 ต่างให้การและเบิกความตามที่ตนรู้เห็นมายืนยันตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นพิจารณาโดยมีข้อสาระสําคัญสอดคล้องกันปราศจากข้อพิรุธสงสัยว่าข้อเท็จจริงที่พยานให้การและเบิกความจะเป็นเท็จ เมื่อพิจารณาประกอบเหตุผลที่ศาลใช้ในการรับฟังพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น จึงมีน้ำหนักรับฟังเชื่อได้ว่าข้อเท็จจริงในแต่ละเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นไปตามที่พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองนําสืบมา
ส่วนเหตุการณ์วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองนําสืบว่า ขณะที่ผู้ตายอยู่บริเวณหน้าโรงเลี้ยง จําเลยที่ 13 ใช้ด้ามจอบกระทั่งบริเวณหลังผู้ตายและจําเลยที่ 2 กระโดดถีบผู้ตายจนล้มลงนั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงดังเช่นที่ปรากฏในทางพิจารณามาในฟ้อง จึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ แม้พิจารณาได้ความดังกล่าวก็ไม่อาจลงโทษจําเลยทั้งสิบสามได้ จึงไม่จําต้องพิจารณาว่ามีการกระทําดังกล่าวหรือไม่
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติวินัยทหาร พ.ศ.2476 การลงทัณฑ์แก่ผู้กระทําผิดต่อวินัยทหารมีกําหนดไว้เพียง 5 สถาน คือ 1. ภาคทัณฑ์ 2. ทัณฑกรรม 3. กัก 4. ขัง และ 5. จําขัง เท่านั้น แม้วัฒนธรรมองค์กรของทหารมีลักษณะแตกต่างจากองค์กรอื่นที่หากมีการกระทําผิดวินัยทหารขึ้นอาจใช้วิธีการอย่างอื่นที่เรียกว่า การซ่อม โดยการให้ออกกําลังกายที่มากกว่าปกติเพื่อเป็นการธํารงวินัย ซึ่งเป็นวิธีการฝึกให้ทหารมีความอดทนและมีวินัย แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินสมควรเกินกว่าคนทั่วไปจะรับการกระทํานั้น ๆ ได้ จนเข้าลักษณะเป็นการซ้อมทรมานเป็นการกระทําที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
การที่จําเลยทั้งสิบสามทําร้ายผู้ตายไม่ว่าจะด้วยวิธีการชก ต่อย ตบ เตะ กระทืบและใช้ไม้ตีผู้ตายเพียงเพราะผู้ตายไม่สามารถฝึกทหารได้เหมือนทหารใหม่คนอื่นล้วนแต่เป็นวิธีการนอกเหนือจากที่พระราชบัญญัติวินัยทหาร พ.ศ.2476 กําหนดเกี่ยวแก่การลงทัณฑ์ แก่ผู้กระทําผิดต่อวินัยทหารและเป็นวิธีลงโทษลงทัณฑ์ที่เกินสมควรเกินกว่าคนทั่วไปจะรับการกระทํานั้น ๆ ได้จนเข้าลักษณะเป็นการกระทําทรมาน เป็นการกระทําด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ ซึ่งสอดรับกับอาการบาดเจ็บของผู้ตายก่อนที่จะถึงแก่ความตายว่าได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถลอกตามร่างกาย ศีรษะบวมและมีแผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง กระดูกซี่โครงหัก กระดูกสะบักขวาหัก กระดูกไหปลาร้าขวาหักและกระดูกสันหลังหัก
อันแสดงให้เห็นว่าผู้ตายต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากการถูกซ้อมทรมานของจําเลยทั้งสิบสาม แต่ที่ผู้ตายถูกทําร้ายร่างกายจนถือได้ว่าเป็นอันตรายสาหัสเนื่องจากกระดูกหักหลายแห่งนั้นได้ความจากนายแพทย์พิชญ์กิตก์ เก้าเอี้ยน และแพทย์หญิงวิชุดา ปฐมรัตนศิริ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองว่ากระดูกที่หักไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไรประกอบกับคดีนี้มีจําเลยหลายคน พฤติการณ์การกระทําความผิดเกิดขึ้นหลายช่วงเวลาลักษณะต่างคนต่างกระทํามิได้ร่วมกระทําความผิดในคราวเดียวกันจึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าอาการบาดเจ็บจากกระดูกหักเกิดจากการกระทําของจําเลยคนใด
@ ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะการกระทำของจำเลยที่ 1
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าจําเลยทั้งสิบสามทําร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส แต่การที่จําเลยที่ 1 ใช้เท้ากระทืบที่บริเวณหน้าอกของผู้ตายและเตะที่บริเวณหลังผู้ตาย จนผู้ตายมีอาการตาลอย ลิ้นจุกปากและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาก็สืบเนื่องมาจากการกระทําของจําเลยที่ 1 อันเป็นการกระทํากระทบกระเทือนต่อร่างกายและจิตใจของผู้ตายอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุให้ระบบการหายใจล้มเหลวและขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ความตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทําของจําเลยที่ 1 และเนื่องจากเป็นการกระทําโดยลําพังของจําเลยที่ 1 โดยจําเลยที่ 2 ถึงที่ 13 ไม่ได้มีส่วนสนับสนุนหรือเป็นตัวการร่วมกับจําเลยที่ 1 ด้วย จําเลยที่ 2 ถึงที่ 13 จึงไม่ต้องรับผลในความตายของผู้ตายร่วมกับจําเลยที่ 1
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังวินิจฉัยมา จําเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย จําเลยทั้งสิบสามมีความผิดฐาน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่าง ร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์ลงโทษผู้ถูกกระทําเพราะเหตุอันเกิดจากการกระทํา หรือสงสัยการกระทําของผู้นั้น และการกระทำทรมานของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําถึงแก่ความตาย และจําเลยที่ 2 ถึงที่ 13 ยังมีความผิดฐานทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจด้วย
แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัสและถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 และมาตรา 297 โดยไม่ได้ขอให้ลงโทษฐานทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่ความผิดตามฟ้องของโจทก์ย่อมรวมถึงการทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจด้วย ถือได้ว่าความผิดตามฟ้องรวมการกระทําหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
@ จำเลยที่ 2-13 ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จําเลยที่ 2 ถึงที่ 13 ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ศาลย่อมมีอํานาจลงโทษจําเลยที่ 2 ถึงที่ 13 ในข้อหาดังกล่าว ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย เนื่องจากจําเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นครูฝึกทหารมีหน้าที่และความรับผิดในการฝึกอบรมทหารใหม่ ทั้งต้องทําตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติและการใช้ชีวิต อบรมสั่งสอน ช่วยแก้ปัญหาและส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้แก่ทหารใหม่ และควบคุมการฝึกอบรมทหารใหม่ของจําเลยที่ 3 ถึงที่ 13 ซึ่งเป็นผู้ช่วยครูฝึกให้เป็นไปโดยเรียบร้อยตลอดการฝึกอบรม
แต่จําเลยที่ 1 และที่ 2 กลับไม่ทําหน้าที่และดูแลการฝึกอบรมให้เป็นไปโดยถูกต้อง กลับกระทําความผิดในลักษณะทรมานต่อผู้ตายซึ่งถือเป็นลูกศิษย์ที่อยู่ในความดูแลถือเป็นเรื่องร้ายแรง จึงเห็นควรลงโทษสถานหนักกว่าจําเลยอื่น สําหรับท่อนไม้แปรรูปและท่อนไม้ไผ่ของกลางที่จําเลยที่ 1 ใช้ตีผู้ตายเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทําความผิด จึงให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1)
พิพากษาว่า จําเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มาตรา 5, 35 วรรคสาม จําเลยที่ 2 ถึงที่ 13 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มาตรา 5, 35 วรรคหนึ่ง การกระทําของจําเลยทั้งสิบสามเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จําคุกจําเลยที่ 1 มีกําหนด 20 ปี จําคุกจําเลยที่ 2 มีกําหนด 15 ปี และจําคุกจําเลยที่ 3 ถึงที่ 13 มีกําหนดคนละ 10 ปี ริบท่อนไม้แปรรูป และท่อนไม้ไผ่ของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา