การตรวจสอบเส้นทางการเงินโดยสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ปรากฏว่า มีเงินที่จ่ายหรือโอนจากบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด สํานักงานกฎหมายอันนานนท์และบริษัทในเครือ รวมทั้งผู้รับโอนเงินมาจากบริษัทและสํานักงาน กฎหมายดังกล่าว ไปยังผู้พิพากษาศาลยุติธรรม 3 คน ที่มีชื่อปรากฏในรายงานข่าวที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ LAW360 รวมทั้งผู้พิพากษาศาลยุติธรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีพรีอุสทั้งสามชั้นศาลและครอบครัว ที่ได้ดําเนินการตรวจสอบ
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : สืบเนื่องจากปรากฏเป็นข่าวในช่วงเดือน มิ.ย. ว่าบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ได้รายงานต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยุติการสืบสวนในคดีที่มีการกล่าวหาว่าบุคคลในบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายสินบนผู้พิพากษาเพื่อให้พลิกคำตัดสินคดีภาษีนำเข้ารถยนต์พรีอุส

จากกรณีดังกล่าวนั้นเมื่อปี 2566 คณะกรรมการสอบสวนของสำนักงานศาลยุติธรรมก็ได้มีการออกผลสรุปการดำเนินงานคณะกรรมการระบุว่าไม่พบพฤติการณ์บ่งชี้ได้ว่ามีผู้พิพากษารับเงินสินบนจากโตโยต้า
สำนักข่าวอิศรา จึงได้นำเอาผลสรุปโดยละเอียดมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
@ ศาลยุติธรรม สั่งตั้งคกก.สอบข้อเท็จจริง ปมจ่ายสินบนผู้พิพากษา
ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมได้มีคําสั่ง ลับ ที่ 572/2564 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานของเว็บไซต์ LAW360 ได้เผยแพร่ข้อมูลกรณีบริษัทโตโยต้า คอร์ป ได้เสนอรายงานต่อคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ อาจกระทําการละเมิดต่อกฎหมายด้วยการ จ่ายสินบน และมีการพาดพิงถึงผู้พิพากษาในศาลฎีกา โดยการจ่ายสินบนดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อที่จะ พลิกคําพิพากษาในคดีภาษีกรณีการนําเข้าชิ้นส่วนรถยนต์โตโยต้า รุ่น พรีอุส (Prius) คิดเป็นมูลค่า จํานวน กว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทนายความอาวุโสของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด
อาจมีส่วนกระทําการโดยการจ่ายสินบนผ่านบริษัทสํานักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง เพื่อให้นําเงินสินบน ไปมอบให้ผู้พิพากษาระดับสูงในศาลฎีกาและผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เพื่อพยายามโน้มน้าวอดีตประธานศาลฎีกาให้ยอมรับฟังข้อโต้แย้ง และเพื่อให้ศาลมีคําพิพากษาไปในทางที่เป็นคุณกับบริษัท อันจะส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อการตัดสินคดีภาษีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์
ทั้งนี้ บริษัท ได้มีการจ่ายเงินสินบนแล้วเกือบ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสัญญามูลค่า 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการตกลงจ่ายเงินสินบนส่วนที่เหลืออีก 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าหากบริษัทชนะการอุทธรณ์ คดีอันเกี่ยวกับภาษีการนําเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ดังกล่าว ประกอบด้วย นายอธิคม อินทุภูติ ผู้พิพากษา อาวุโสในศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ นายปุณณะ, จงนิมิตรสถาพร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นกรรมการ นายสัญชัย ผลฉาย ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นกรรมการ และนายธีรทัย เจริญวงศ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ นั้น
บัดนี้ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ดําเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว โดยได้รวบรวมพยานหลักฐาน และสอบปากคําพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง จึงรายงานผลการสอบสวน ข้อเท็จจริง ได้ความดังนี้
ตามคําสั่งสํานักงานศาลยุติธรรม ลับ ที่ 572/2560 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดนี้ โดยระบุภาระหน้าที่ว่า “ให้สอบสวนข้อเท็จจริงเรื่อง ที่ปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานของเว็บไซต์ LAWenbo ได้เผยแพร่ข้อมูลกรณีบริษัทโตโยต้า คอร์ป ได้เสนอรายงานต่อคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงยุติธรรมของ ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ อาจกระทําการละเมิดต่อกฎหมายว่าด้วยการจ่ายสินบน และมีการพาดพิงถึงผู้พิพากษาในศาลฎีกา
โดยการจ่ายสินบนดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อที่จะพลิกคําพิพากษาในคดีภาษีกรณีนําเข้าชิ้นส่วนรถยนต์โตโยต้ารุ่น พรีอุส (Prius) คิดเป็นมูลค่าจํานวนกว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทนายความอาวุโสของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด อาจมีส่วนกระทําการโดยผ่านบริษัทสํานักงานกฎหมายแห่งหนึ่งเพื่อให้นําเงินสินบนไปมอบให้ผู้พิพากษาระดับสูงในศาลฎีกาและผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เพื่อพยายามโน้มน้าวอดีตประธานศาลฎีกาให้ยอมรับฟังข้อโต้แย้ง และเพื่อให้ศาลมีคําพิพากษาในทางที่เป็นคุณแก่บริษัท อันจะส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อการตัดสินคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ ทั้งนี้ บริษัทได้มีการจ่ายเงินสินบนแล้วเกือบ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสัญญามูลค่า 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการตกลงจ่ายสินบนส่วนที่เหลืออีก 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าหากบริษัทชนะการอุทธรณ์ คดีอันเกี่ยวกับภาษีการนําเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ดังกล่าว”
คําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวลงนามโดยนางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกาในขณะนั้น โดยอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2552 ที่บัญญัติว่า เมื่อข้าราชการตุลาการในศาลใดถูกกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทําผิดวินัย ให้ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมนั้นดําเนินการให้มีการสอบสวน ข้อเท็จจริงในชั้นต้น โดยมิชักช้า ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ต. กําหนด
วิธีการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นจะทําโดยให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องชี้แจงเรื่องราวเป็นหนังสือหรือโดยบันทึกเรื่องราวและความเห็น หรือโดยตั้งคณะบุคคลขึ้นสอบสวนข้อเท็จจริงก็ได้” เนื่องด้วยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงมีอํานาจหน้าที่เพียงเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ ถ้อยคําตามที่ระบุไว้ในวรรคสองเท่านั้น ในการแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีนี้ คณะกรรมการสอบสวน ข้อเท็จจริงจึงจําเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย ดังเช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สํานักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากองค์กรภาคเอกชน ดังเช่น สถาบันการเงินต่าง ๆ บริษัทการบิน ไทย จํากัด (มหาชน) และสํานักข่าวต่าง ๆ รวมทั้งต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและ โดยอ้อม มาให้ข้อมูลทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
@ เบาะแสสําคัญเว็บไซต์ LAW360
ปัญหาสําคัญของการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีนี้ก็คือ ไม่มีผู้กล่าวหาว่าผู้พิพากษา ให้สินบน และนําพยานหลักฐานเบื้องต้นมามอบให้สํานักประธานศาลฎีกาหรือสํานักงานศาลยุติธรรม หรือผู้บังคับบัญชาของผู้พิพากษา ดังเช่นกรณีมีการกล่าวหาว่าผู้พิพากษารับสินบนในกรณีอื่น อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงมีความเชื่อว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ ระดับโลก น่าจะต้องมีข้อมูลพอสมควรก่อนเสนอรายงานต่อคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกาว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด อาจกระทําการละเมิดต่อกฎหมายว่าด้วยการจ่ายสินบน อันเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผลโดยผู้เขียนบทความในเว็บไซต์ LAW360 และปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับการให้สินบนแก่ผู้พิพากษา 3 คน ในบทความลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 และคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเห็นว่า เบาะแสสําคัญของเรื่องนี้น่าจะมีอยู่ในเอกสารที่อ้างถึงในบทความของเว็บไซต์ LAW360 ที่มีชื่อว่า “ TMC Thailand Inquiry: Background & Protocol for Document Review” ลงวันที่ 30 กันยายน 2562 ความยาว 22 หน้า ที่จัดทําโดยสํานักงานกฎหมาย WilmerHale อันเป็นสํานักงาน กฎหมายที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ที่อ้างถึง ในบทความของเว็บไซต์ LAW360 เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่สํานักงานกฎหมาย WilmerHale จัดทําขึ้นเพื่อให้ทีมงานหลายทีมของสํานักงานกฎหมายดังกล่าวนําไปเป็นแนวทางในการตรวจสอบหาข้อมูลในเรื่องนี้
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพยายามติดต่อขอข้อมูลเบื้องต้นและเอกสารดังกล่าว จากบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด และบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น แต่ได้รับแจ้ง จากผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ว่า เอกสารที่เกี่ยวกับคดีนี้ ส่งไปที่บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เพื่อตรวจสอบ และภายหลังเกิดเหตุมีการเปลี่ยนแปลง ทีมงานฝ่ายกฎหมายและผู้บริหารของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด แต่ผู้บริหารของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด โดยเฉพาะนายโนริอากิ ยามาชิตะ ประธานและกรรมการผู้จัดการ ก็ให้ความร่วมมือส่งเอกสารเท่าที่อ้างว่ามีอยู่มาให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และยินยอม ให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงสอบปากคําผู้บริหารและเจ้าหน้าที่บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน
ส่วนทางบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น มีหนังสือฉบับลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 แจ้งมายังนายโนริอากิ ยามาชิตะ ประธานและกรรมการผู้จัดการบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ให้แจ้งต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า การสืบสวนของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ยังไม่แล้วเสร็จ และยังไม่ได้ข้อสรุป อีกทั้งการสืบสวนของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ยังอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับความลับและกฎหมายอื่น แต่ บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น แจ้งมาด้วยว่า ยังไม่พบว่ามีหลักฐานที่อยู่ในการรับรู้ว่ามีการ จ่ายเงินสินบนแก่ผู้พิพากษาสามคนที่มีชื่อในบทความของเว็บไซต์ LAW360 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 เอกสารที่อ้างถึงในบทความของเว็บไซต์ LAW360 บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ไม่ได้ ให้ไป และบทความของเว็บไซต์ LAW360 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 และเอกสารอื่นที่อาจรั่ว ไปถึงเว็บไซต์ LAW360 มีข้อมูลไม่ถูกต้อง ยังไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือที่กล่าวถึงผลการสืบสวน
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขอความร่วมมือจากกระทรวงการต่างประเทศให้ช่วย ประสานงานไปยังกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาเพื่อขอทราบข้อมูลกรณีกระทรวงยุติธรรมและ คณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาสอบสวนเรื่องการให้ประโยชน์โดยมิชอบในประเทศไทยโดยบริษัทในเครือของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิง ศาลยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศได้รับแจ้งจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาว่า ไม่อาจ เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ได้ นอกจากนี้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยังขอให้กระทรวงการต่างประเทศ ช่วยติดต่อขอข้อมูลไปยังสํานักงานกฎหมาย WilmerHale แต่ได้รับแจ้งว่า ไม่อยู่ในฐานะที่จะเปิดเผย ความลับของลูกความ ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ตามหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2564 และการประสานไปยังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ครั้งล่าสุด เมื่อเดือน มิถุนายน 2565 ได้รับแจ้งว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาไม่สามารถให้ข้อคิดเห็นต่อการมีอยู่หรือไม่ มีอยู่ของการสอบสวนและดําเนินคดีใด ๆ ที่นอกเหนือไปจากช่องทางการบังคับใช้กฎหมาย ตามหนังสือ ของกระทรวงการต่างประเทศ ฉบับลงวันที่ 21 มิถุนายน 2565
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตรวจสอบไปยังเว็บไซต์ของ Standford Law School, Foreign Corrupt Practice Act Clearinghouse ครั้งสุดท้ายวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 ปรากฏว่าคดีของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ กํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา
คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยังได้ติดต่อขอเอกสารดังกล่าวและขอข้อมูลเกี่ยวกับ กรณีนี้จากนายแฟรงค์ จี.รันยอน ผู้เขียนบทความของเว็บไซต์ LAW360 ซึ่งระบุในรายงานข่าวเมื่อ วันที่ 29 มิถุนายน 2564 ภายหลังมีการอ่านคําสั่งอนุญาตฎีกาของศาลฎีกาในวันเดียวกัน แต่ได้รับการ ปฏิเสธจากนายแฟรงค์ จี.รันยอน โดยอ้างเหตุผลด้านจริยธรรมของสื่อมวลชนที่มีความจําเป็นต้องปกป้องแหล่งข่าว เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงจากบทความในเว็บไซต์ LAW360 ของนายแฟรงค์ จีรันยอน ว่า มีคดีความที่สืบเนื่องมาจากการตรวจสอบกรณีนี้ของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาตามมาอย่างน้อย 2 คดี ได้แก่ คดีระหว่างนายแอนดรู เดลานีย์ (Mr. Andrew Delaney) กับบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กับพวก 1 คดี โดยเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 นายเดลานีย์ใช้ชื่อ John Doe เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กับพวก เป็น จําเลย ต่อศาล Eighteenth Judicial Circuit Court of Florida
แต่ในวันที่ 24 เมษายน 2563 บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ยื่นคําร้องขอให้ศาลห้ามเปิดเผยคําฟ้องดังกล่าวอ้างว่ามีความลับระหว่างทนายความและลูกความซึ่งได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายห้ามเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่ใน คําฟ้อง ภายหลังศาลอนุญาตตามคําร้องของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ห้ามเปิดเผยคําฟ้องต่อ สาธารณะ ต่อมานายเดลานีย์ถอนฟ้องคดีนี้ และยื่นคําร้องขอให้ศาล Eighteenth Judicial Circuit Court of Florida เปิดเผยคําฟ้องต่อสาธารณะ ศาลยกคําร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงไม่ปรากฏ รายละเอียดของคําฟ้องคดีเนื่องจากศาลมีคําสั่งห้ามเปิดเผยคําฟ้องต่อสาธารณะ และคดีระหว่างบริษัท HC2 (Hire Counsel) กับนายแอนดรู เดลานีย์ โดยเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 บริษัท HC2 (Hire Counsel) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเดลานีย์เป็นจําเลย ต่อศาล United State District Court Southern District of New York กล่าวหาว่านายเดลานีย์ทําผิดในฐานะสมาชิกเนติบัณฑิตนิวยอร์ก และผิดสัญญาต่อ HC2 ซึ่งเป็นนายจ้าง โดยบีบบังคับให้บริษัท HC) บริษัท WilmerHale และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จ่ายเงินหลายแสนดอลลาร์สหรัฐ ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลลับ ที่นายเดลานีย์ได้มาจากการรับจ้างทํางานให้บริษัท HC2 ตามสัญญาว่าจ้างทนายความซึ่งได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายต่อสาธารณะ การกระทําของนายเดลานีย์ทําให้บริษัท HC2 ได้รับความเสียหาย
ส่วน นายเดลานีย์ให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 บริษัท HC) ซึ่งเป็นบริษัท จัดหางานของนายเดลานีย์ บริษัท WilmerHale ซึ่งถูกว่าจ้างโดยบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ได้ทําสัญญาสามฝ่าย แล้วบริษัท HC2 ให้นายเดลานีย์ ไปทํางานชั่วคราวให้แก่บริษัท WilmerHale ในการตรวจสอบเอกสารภาษาไทยในการสืบสวนประเด็น ที่มีความเสี่ยงว่ามีการให้สินบนในประเทศไทยมาเป็นเวลานานหลายปี เป็นการสืบสวนถึงความผิดอาญา และปัญหาทางการเงินของบุคคลระดับสูงในประเทศไทย บริษัท HC) เป็นโจทก์ฟ้องนายเดลานีย์ เป็นคดีนี้ที่ศาล United State District Court Southern District of New York กล่าวหาว่ากรรโชกทรัพย์ และขโมยเอกสาร ซึ่งบริษัท HC) และทนายความของบริษัท HC2 ทราบอยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ นายเดลานีย์จะดาวน์โหลดข้อมูล หรือมีสําเนาเอกสารต่าง ๆ คําฟ้องกล่าวหาว่านายเดลานีย์ข่มขู่ว่าจะ เปิดเผยข้อมูลความลับที่ได้รับความคุ้มครองที่นายเดลานีย์ได้มาระหว่างการทํางานในฐานะทนายความ
วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ศาลมีคําสั่งให้คู่ความแถลงเรื่องคดีล้มละลายของนายเดลานีย์ภายในวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 ข้อความข้างต้นเป็นข้อเท็จจริงโดยย่อของคดีนี้ ปัจจุบันศาลมีคําสั่งให้คู่ความ ร่วมกันยื่นคําแถลงต่อศาลภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2515 เกี่ยวกับคดีล้มละลายของนายเดลานีย์ ว่ามีการดําเนินการไปอย่างไรบ้าง
@ เน้นตรวจสอบความผิดปกติ
เมื่อกรณีนี้เริ่มต้นจากบทความในเว็บไซต์ LAW360 โดยไม่มีพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอาจนํามาขยายผลเพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้พิพากษา 3 คน ที่ปรากฏชื่อในบทความของเว็บไซต์ LAW360 รวมทั้งผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ คนอื่น รับสินบนจริงหรือไม่ การดําเนินการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจึงมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบความผิดปกติในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ของศาลทั้งสามศาล คือศาลภาษี อากรกลาง ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ และศาลฎีกาในชั้นพิจารณาคําขออนุญาตฎีกา การตรวจสอบ เส้นทางการเงินที่ออกมาจากบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ว่ามีเส้นทางการเงินเชื่อมโยง มายังผู้พิพากษา 3 คน ที่ปรากฏชื่อในบทความของเว็บไซต์ LAW360 รวมทั้งผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับ คดีนี้คนอื่นหรือไม่ และตรวจสอบพยานหลักฐานหรือค้นหาข้อเท็จจริงที่อาจทําให้บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการให้สินบนประเด็นเรื่องความผิดปกติในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีที่ศาลภาษีอากรกลาง คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทําการสอบสวนรวม 4 ประเด็น คือ การจ่ายสํานวนคดี การพิจารณา คดี การประชุมคดี และการแทรกแซงจากบุคคลภายนอก สรุปผลการสอบสวนได้ดังนี้
การจ่ายสํานวนคดี ศาลภาษีอากรกลางจ่ายสํานวนคดีให้แก่องค์คณะผู้พิพากษา 2 คณะ ผู้พิพากษาคณะที่ 1 คือ คณะของนายเรืองสิทธิ์ ตันกาญจนานุรักษ์ และนายชูชัย สุทธิสว่างวงศ์ และคณะที่ 2 คือ นายภมร สัตตภรณ์พิภพ และนายกมล สุปรียสุนทร ซึ่งเป็นการจ่ายสํานวนคดี ไปตามลําดับอาวุโสของผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลภาษีอากรกลาง และยังมีการสลับกันเป็นเจ้าของสํานวนระหว่างผู้พิพากษาในองค์คณะเดียวกัน จึงไม่มีความผิดปกติของการจ่ายสํานวนการพิจารณาคดี คดีนี้นายเรืองสิทธิ์ ตันกาญจนานุรักษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลภาษีอากรกลาง ทําหน้าที่บันทึกคําพยาน รวมถึงรายงานกระบวนพิจารณาในสํานวนหลัก ไม่ใช่เรื่อง ผิดปกติ เพราะนายเรืองสิทธิ์เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในคณะที่ 1 ซึ่งมีอาวุโสสูงสุด และการนําคําเบิกความและรายงานกระบวนพิจารณาพร้อมด้วยเอกสารที่จําเป็นแยกใส่สํานวนย่อยที่เหลือทั้งหมด ทําให้การพิจารณาคดีสะดวกรวดเร็วขึ้น ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเช่นกัน
การประชุมคดี เมื่อคดีเสร็จการพิจารณา มีการประชุมคดีระหว่างเจ้าของสํานวนและ องค์คณะทั้งหมด ร่วมกับอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง และรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากร กลาง แม้ในเบื้องต้นผู้พิพากษาทั้ง 2 คณะ มีผลคดีที่ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยองค์คณะ ผู้พิพากษาคณะหนึ่งเห็นควรให้บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ชนะคดี ส่วนองค์คณะ ผู้พิพากษาอีกคณะหนึ่งเห็นควรให้บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด แพ้คดี แต่เมื่อคดีนี้เป็นคดี กลุ่ม ผลของคดีทั้งหมดจําเป็นต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน การที่ต่างรับฟังความเห็นของกันและกัน แล้วมีการปรับผลของคดีให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ส่วนที่คดีนี้มีอธิบดีผู้พิพากษา
ศาลภาษีอากรกลางและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางเข้าร่วมประชุมปรึกษาคดีด้วยนั้น เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์สูง และเป็นที่สนใจของประชาชน การที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษี อากรกลางและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางซึ่งเป็นผู้บริหารศาลเข้าร่วมประชุมปรึกษาคดีจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติเช่นกัน
การแทรกแซงจากบุคคลภายนอก แม้การสอบสวนจะได้ความจากพยานบางปากว่า นายประภาส คงเอียด นําเอกสารที่อาจเกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีมามอบให้นายเรืองสิทธิ์ ตันกาญจนานุรักษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลภาษีอากรกลาง และนายวาส ลักษณ์เลิศกุล ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์เข้ามาพบนายไพจิตร สวัสดิสาร อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางเพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี แต่ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนยังฟังไม่ได้ว่านายประภาสมอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีให้แก่นายเรืองสิทธิ์ อันจะถือว่านายประภาสเข้ามาแทรกแซงการ พิจารณาพิพากษาคดีในชั้นศาลภาษีอากรกลาง
ส่วนที่นายวาสเข้ามาสอบถามความคืบหน้าของคดีจากนายไพจิตรนั้น ลําพังพฤติการณ์ที่นายวาสเข้าไปสอบถามนายไพจิตรถึงความคืบหน้าของคดี โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่น ย่อมไม่อาจทําให้องค์คณะผู้พิพากษาเกิดความหวั่นไหว หรือเกิดอคติในการ พิจารณาพิพากษาอันจะทําให้ขาดดุลพินิจที่เป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีแต่ประการใด
คณะกรรมการฯ เห็นว่า กระบวนพิจารณาคดีดังกล่าวในศาลภาษีอากรกลางไม่มีความ ผิดปกติของการจ่ายสํานวนคดี การพิจารณาคดี การประชุมคดี ทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่ามีการก้าว ก่ายหรือการแทรกแซงจากบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง
@ ไม่พบความผิดปกติ
ประเด็นเรื่องความผิดปกติในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ที่ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทําการสอบสวนรวม 4 ประเด็น คือ การจ่ายสํานวนคดี การประชุมปรึกษาคดี การประชุมใหญ่ และการพิพากษาคดี สรุปผลการสอบสวนได้ดังนี้
การจ่ายสํานวนคดี เป็นการจ่ายให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในแผนกคดีภาษีอากรซึ่งมี 2 คณะ จึงไม่มีความผิดปกติของการจ่ายสํานวน
การประชุมปรึกษาคดีขององค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 2 คณะ เป็นไปตามแนวปฏิบัติของ แผนกคดีภาษีอากรในศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ เมื่อรองประธานศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากรเรียกประชุมผู้พิพากษาและผู้ช่วยผู้พิพากษาทั้งหมดในแผนกคดีภาษีอากร ไม่สามารถหาข้อยุติ ในทางเดียวกันได้ โดยองค์คณะหนึ่งผลการประชุมคดีเป็นเอกฉันท์ให้บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศ ไทย จํากัด โจทก์ แพ้คดี ส่วนอีกคณะหนึ่งหาเสียงข้างมากในคดีกลุ่มนี้ไม่ได้ ประธานศาลอุทธรณ์ คดีชํานัญพิเศษจึงเห็นควรนําคดีเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายสําคัญที่ยังไม่มี แนวคําพิพากษาศาลฎีกามาก่อน ประกอบกับเป็นคดีมีทุนทรัพย์สูงและเป็นคดีกลุ่ม 20 คดี ซึ่งมีข้อเท็จจริงเดียวกัน และผู้พิพากษาบางท่านที่ได้รับมอบหมายให้พิจารณาพิพากษามีความเห็น ในข้อกฎหมาย สําคัญแตกต่างกัน การประชุมคดีจึงไม่มีความผิดปกติ
การประชุมใหญ่ การที่ประธานศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษนําคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมคดีโดยที่ประชุมแผนกคดีหรือที่ประชุมร่วมระหว่างแผนก คดีในศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ พ.ศ. 2560 และการที่ประธานศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษมอบหมาย ให้นางจันทร์กระพ้อ ต่อสุวรรณ สินธวถาวร ศึกษาและนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ WTO ต่อที่ประชุมใหญ่ เพื่อให้ที่ประชุมมีข้อมูลประกอบการพิจารณารอบด้าน จึงไม่มีความผิดปกติ
สําหรับการพิพากษาคดี คําพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษออกผลตามมติที่ประชุมใหญ่การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษจึงไม่มีความผิดปกติ
ประเด็นเรื่องความผิดปกติในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ที่ศาลฎีกาในชั้นพิจารณาคําร้องขออนุญาตฎีกา คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพบว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ยื่นคําร้องขออนุญาตฎีกาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2562 คดีของกลุ่มบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาในชั้นขออนุญาตฎีกาหลายสํานวน การเสนอ รายชื่อองค์คณะผู้พิพากษาและผู้ช่วยผู้พิพากษาในการประชุมคดีเป็นการเสนอเรียงไปตามลําดับอาวุโส ผู้ช่วยผู้พิพากษาที่ทําหน้าที่ยกร่างคําสั่งจะเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่ในแผนกคดี ภาษีอากร เมื่อยกร่างเสร็จจะต้องปรึกษาผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนและองค์คณะ หลังจากนั้นจะผ่านการ ตรวจโดยผู้ช่วยใหญ่ก่อนนําเข้าพิจารณาในที่ประชุมแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกาต่อไป การจ่ายสํานวน คดีในแผนกคดีพิเศษของศาลฎีกาทุกแผนกรวมถึงแผนกคดีภาษีอากรเป็นอํานาจของประธานแผนกคดีพิเศษแต่ละท่านที่จะจ่ายสํานวนคดีให้แก่ผู้พิพากษาคนใด
โดยเมื่อประธานแผนกคดีเห็นควรจ่ายสํานวนคดีให้แก่ผู้พิพากษาคนใดแล้ว จึงเสนอมาเพื่อให้ประธานศาลฎีกาให้ความเห็นชอบไปตามนั้น วันที่ 3 มกราคม 2563 ศาลฎีการับคําร้องขออนุญาตฎีกาคดีกลุ่มบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ประธานศาลฎีกาจ่ายสํานวนคดีกลุ่มนี้แก่องค์คณะเพื่อประชุมคดี จํานวน 3 ชุด คือ คดีหมายเลขดําที่ ครูพ.ภษ. 2-3/2563 ครูพ.ภษ. 4-5/2563 และ ครูพ.ภษ. 14-15/2563 ก่อนวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 มีคดีปี 2562 ค้างพิจารณาอยู่หลายเรื่อง การเสนอ จ่ายสํานวนคดีกลุ่มนี้เป็นการจ่ายไปตามลําดับต่อจากการจ่ายสํานวนคดีปี 2562 เสร็จสิ้น เนื่องจาก คดีของแผนกคดีภาษีอากร ผู้ช่วยผู้พิพากษาในแผนกคดีเป็นผู้ยกร่างทั้งหมด และช่วงนั้นผู้ช่วย ผู้พิพากษาในแผนกคดีภาษีอากรมีน้อย ซึ่งจะต้องรับผิดชอบคดีค้างเก่าอยู่ด้วย จึงมีการเสนอจ่ายสํานวน มาในเดือนกรกฎาคม 2563 สําหรับสํานวนคดีกลุ่มนี้ที่เหลืออีก 7 ชุด ประธานศาลฎีกาคนต่อมาจ่าย สํานวนวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 เนื่องจากต้องรอผลการประชุมแผนกคดีภาษีอากรของสํานวนคดีที่ จ่ายไปก่อน
ที่ประชุมแผนกคดีภาษีอากรมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นควรอนุญาตให้โจทก์ฎีกาทุกประเด็น คดีนี้ เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์สูง คําพิพากษาของศาลล่างทั้งสองขัดกัน ยังไม่เคยมีแนวคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยมา ก่อน และมีความเกี่ยวพันกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ การที่ศาลฎีกามีคําสั่งอนุญาตให้ฎีกา จึงเป็นไปตามข้อกําหนดประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง พ.ศ.2558 และ ข้อกําหนดประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขออนุญาตฎีกาในคดีแพ่ง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ดังนั้น การจ่ายสํานวนขออนุญาตให้ฎีกาและการอนุญาตให้ฎีกา จึงไม่มีความผิดปกติ
คณะกรรมการฯ ตรวจสอบเส้นทางการเงินที่ออกมาจากบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ไปยังสํานักงานกฎหมายอันนานนท์และบริษัทในเครือในส่วนที่เกี่ยวกับคดีพรีอุสรวมทั้งเส้นทางการเงินที่ออกจากสํานักงานกฎหมายอันนานนท์และบริษัทในเครือว่า มีความเกี่ยวโยงมายังผู้พิพากษา 3 คน ที่ปรากฏชื่อในรายงานข่าวที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ LAW360 และผู้พิพากษา ศาลยุติธรรมทั้งสามชั้นศาลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีพรีอุสหรือไม่ โดยตรวจสอบจากเอกสารหลักฐานที่ บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด และสํานักงานกฎหมายอันนานนท์ ส่งมาให้คณะกรรมการฯ อีกทั้งคณะกรรมการฯ ยังได้รับความร่วมมือจากสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบเส้นทางการเงินที่สํานักงานกฎหมายอันนานนท์และบริษัท ในเครือรับมาจากบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ว่ามีการโอนหรือกระจายต่อไปยังบุคคลใดบ้างด้วย
ผลการตรวจสอบปรากฏว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายค่าจ้าง ว่าความให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ และบริษัทในเครือเดียวกันอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด และบริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด เป็นเงินรวม 604,291,195.88 บาท บริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด เป็นเงิน 33,477,513 บาท และบริษัทติลลิก แอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ก่อนถอนทนายความ เป็นเงิน 24,713,128 บาท รวมเป็น เงินที่จ่ายให้สํานักงานกฎหมายทั้งสามแห่งทั้งสิ้น จีน 665,197,493 บาท
การจ่ายเงินให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์และบริษัทในเครือ เป็นการจ่ายให้ สํานักงานกฎหมายอันนานนท์โดยตรง 221,784,195.88 บาท จ่ายให้บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด 225,000,000 บาท และจ่ายให้บริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด 157,507,000 บาท รวมเป็นเงิน 604,291,195.88 บาท
การจ่ายเงินให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์โดยตรง 221,784,195.88 บาทแยกออกได้เป็น
(1) ค่าจ้างว่าความหรือที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมวิชาชีพและค่าธรรมเนียมสํานักงาน ในการดําเนินคดีที่ศาลภาษีอากรกลาง 141,513,195.88 บาท ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ 7,000,000 บาท และศาลฎีกา 27,500,000 บาท รวมเป็นเงิน 176,013,195.88 บาท (2) ค่าธรรมเนียมวิชาชีพในการให้ความเห็นทางกฎหมาย ค่าบริการในการรวบรวม วิเคราะห์ และ ให้คําปรึกษาในเรื่องต่าง ๆ 20,356,000 บาท (3) ค่าป่วยการพยานผู้เชี่ยวชาญ 25,400,000 บาท และ (4) ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด 15,000 บาท
การจ่ายเงินให้บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด 225,000,000 บาท มีการจ่าย 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 จํานวน 50,000,000 บาท และ 75,000,000 บาท จ่ายวันเดียวกันคือ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2558 โดยระบุในใบแจ้งหนี้เพียงว่า เป็นการจ่ายเงินตามบันทึกความเข้าใจ ฉบับลงวันที่ 17 กันยายน 2558 งวดที่ 1 และงวดที่ 2 แต่ในบันทึกความเข้าใจฉบับลงวันที่ดังกล่าว ไม่ปรากฏว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ว่าจ้างบริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด ให้ดําเนินการในเรื่องใด ครั้งที่ 3 วันที่ 20 ตุลาคม 2560 จํานวนเงิน 50,000,000 บาท ระบุใน ใบแจ้งหนี้ว่าเป็นค่าบริการในการรวบรวมข้อมูลและจัดเตรียมบันทึกคําพยานผู้เชี่ยวชาญ งวดที่ 1 และ งวดที่ 2 และครั้งที่ 4 จํานวนเงิน 40,000,000 บาท ระบุว่า เป็นค่าจัดทําร่างบันทึกคําเบิกความ ล่วงหน้าของพยานผู้เชี่ยวชาญกับร่างคําถามค้านในคดี ภ.88/2558 และ ภ.27/2559
ส่วนการจ่ายเงินให้บริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด 157,507,000 บาท มีการจ่าย 5 ครั้ง ครั้งที่ 1 จํานวนเงิน 500,000 บาท ระบุว่าเป็นค่าบริการในการรวบรวมและ ตรวจสอบใบขนสินค้าขาเข้าและค่าจัดทําเอกสารแนบประกอบใบขนสินค้าจํานวน 244 ใบ ตามเอกสารแนบคําวินิจฉัยอุทธรณ์ ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 จํานวนเงิน 720,000 บาท และ 6,187,000 บาท ตามลําดับ ระบุว่าเป็นค่าบริการและค่าใช้จ่ายในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะอันเป็นสาระสําคัญ ของรถยนต์ในประเทศต่าง ๆ งวดที่ 1 และงวดที่ 2 ครั้งที่ 4 จํานวนเงิน 90,000,000 บาท ระบุใน ใบแจ้งหนี้รวม 3 ฉบับ ฉบับละ 30,000,000 บาท ว่า เป็นรายงานการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับ HS, AHTN, JTEPA & WCO Ruling และครั้งที่ 5 จํานวนเงิน 50,000,000 บาท ระบุในใบแจ้งหนี้ว่า เป็นค่าเตรียมบันทึกคําให้การของพยานโจทก์ทั้งหมดในคดีหมายเลขดําที่ ภ.93 ถึง ภ.101/2559ของศาลภาษีอากรกลาง
@ ไล่ตรวจเส้นทางเงิน
การจ่ายเงินแก่สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ และบริษัทในเครืออีก 2 แห่ง คือบริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด และบริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด มีข้อสังเกตดังนี้
1.การจ่ายเงินค่าจ้างว่าความแก่สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายค่าจ้าง ว่าความให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ กล่าวเฉพาะการดําเนินคดีในชั้นศาลภาษีอากรกลาง เป็นเงิน 141,513,195.88 บาท แต่จ่ายให้บริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด สําหรับการ ดําเนินคดีในชั้นศาลภาษีอากรกลางเพียง 33,477,513 บาท ทั้งที่นายสุรศักดิ์ วาจาสิทธิ์ ทนายความ ของบริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด เป็นอดีตผู้พิพากษา และได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ ความเชี่ยวชาญในกฎหมายภาษีอากร นายทรงพล อันนานนท์ แห่งสํานักงานกฎหมายอันนานนท์ ก็ยอมรับว่า นายสุรศักดิ์เป็นผู้กําาหนดแนวทางในการดําาเนินคดีพรีอุส รวมทั้งการจัดเตรียมข้อมูลและ เอกสาร การจัดหาพยานผู้เชี่ยวชาญ การจัดทําบันทึกคําพยานล่วงหน้า และเป็นผู้ถามพยานในคดีหลัก นายทรงพลเพียงถามพยานเพิ่มเติมบ้าง
นอกจากนี้บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ยังมีข้อตกลงกับสํานักงาน กฎหมายอันนานนท์ว่า จะจ่ายเงินเพิ่มให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ หากชนะคดีในศาลภาษีอากร กลางอีก 40,000,000 บาท ต่อมาเมื่อศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้ชนะคดี บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ก็ได้จ่ายเงินให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ 40,000,000 บาท ตามข้อตกลง
โดยไม่ปรากฏว่าบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด มีข้อตกลงเช่นนั้นกับบริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด ด้วย อีกทั้งบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ยังมอบหมายให้ สํานักงานกฎหมายอันนานนท์เป็นทนายความในการดําเนินคดีขั้นอุทธรณ์และชั้นขออนุญาตฎีกา (ในช่วง แรก) โดยไม่ได้มอบหมายให้บริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด เข้าร่วมเป็นทนายความด้วย และปรากฏว่าบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายเงินให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ ไปแล้วเป็นค่าจ้างในการดําเนินคดีชั้นอุทธรณ์ 7,000,000 บาท และชั้นขอนุญาตฎีกา 27,500,000 บาท โดยสัญญาฉบับลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 ยังมีข้อตกลงด้วยว่า หากศาลฎีกามีคําสั่งรับฎีกา บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จะจ่ายเงินให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์อีก 27,500,000 บาท แต่มีการถอนทนายความเสียก่อน
การที่บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายค่าจ้างว่าความให้สํานักงาน กฎหมายอันนานนท์ มากกว่าบริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด เป็นเงินจํานวนมาก และ มีข้อตกลงเพิ่มเงินให้หากชนะคดีในศาลชั้นต้นอีก 40,000,000 บาท โดยไม่ได้มีข้อตกลงเช่นนั้น กับบริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด ทั้งยังมอบหมายให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ เป็นทนายความโจทก์ในชั้นอุทธรณ์และชั้นขออนุญาตฎีกา โดยไม่ได้มอบหมายให้บริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด เป็นทนายความโจทก์ในชั้นอุทธรณ์และชั้นขออนุญาตฎีกาด้วย
ทั้งที่ ทนายความของบริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องกฎหมาย ภาษีอากรดีกว่าและยังมีส่วนสําคัญที่ทําให้บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ชนะคดีในชั้นศาล ภาษีอากรกลางมาแล้ว น่าจะเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของการว่าจ้างสํานักงานทนายความในคดีที่มีความ ซับซ้อน ต้องการความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และมีทุนทรัพย์นับหมื่นล้านบาท
2. รายการจ่ายเงินบางรายการไม่ปรากฏรายละเอียดว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการใด ได้แก่ รายการจ่ายเงินให้บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 จํานวนเงิน 50,000,000 บาท และ 75,000,000 บาท ตามลําดับ รวมเป็นเงิน 125,000,000 บาท จ่ายวันเดียวกัน คือเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2558 ระบุในใบแจ้งหนี้เพียงว่า เป็นการจ่ายเงินตามบันทึกความเข้าใจฉบับลงวันที่ 17 กันยายน 2558 งวดที่ 1 และงวดที่ 2 แต่เมื่อพิจารณาบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว เพียงแต่มี ข้อความว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ตกลงจ่ายค่าตอบแทน เป็นเงิน 50,000,000 บาท ในวันที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว และอีก 50,000,000 บาท ในวันที่จัดทําเอกสาร แล้วเสร็จ โดยไม่ปรากฏรายละเอียดว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ว่าจ้างบริษัท 411 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด ให้ดําเนินการในเรื่องใด
3. รายการจ่ายเงินบางรายการ มีข้อสงสัยว่าเป็นการจ่ายเงินตามรายการที่ระบุใน ใบเสร็จรับเงินจริงหรือไม่ ดังเช่น ค่าบริการที่จ่ายให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ในการรวบรวม วิเคราะห์ และให้ความเห็นทางวิชาการ เรื่องพิกัดอัตราศุลกากรและระบบ Harmonized System ของ ประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เป็นเงิน 6,786,000 บาท เรื่องการใช้สิทธิประโยชน์ที่ส่งผลต่อฐานและ พิกัดภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิตของผู้ประกอบการผลิตและจําหน่ายรถยนต์ เป็นเงิน 6,900,000 บาท และเรื่องการเปรียบเทียบกฎหมายของสหรัฐอเมริกากับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับ หลักการทั่วไปในการตีความ The Harmonized System เป็นเงิน 5,000,000 บาท รวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น 19,686,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีค่าบริการและค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้บริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะอันเป็นสาระสําคัญของรถยนต์ (Essential Character) ในประเทศต่าง ๆ งวดที่ 1 และงวดที่ 2 เป็นเงิน 720,000 บาท และ 6,187,000 บาท และค่าบริการและค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับ HS, AHTN, JTEPA & WCO Ruting เป็นเงิน 90,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 96,907,000 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลทางวิชาการดังกล่าว ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน มีรายละเอียดมากมาย และค่าบริการเป็นเงินจํานวนมาก แต่ไม่ปรากฏว่ามีการจัดทํารายงานการศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ หรือให้คําปรึกษาในเรื่องดังกล่าว ในลักษณะเป็นรูปเล่ม อีกทั้งนายสุรศักดิ์ วาจาสิทธิ์ ทนายความของบริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งเป็นทนายความหลักในคดีกลับไม่เคยทราบเรื่องและไม่เคยเห็นรายงานดังกล่าว
นอกจากนี้รายการจ่ายเงินให้บริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด เป็นค่าจัดทํารายงานการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับ HS, AHTN, JTEPA & WCO Ruting เป็นเงิน 90,000,000 บาท ยังน่าจะซ้ําซ้อนกับรายการจ่ายเงินให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์เป็นค่ารวบรวม และวิเคราะห์เรื่องพิกัดอัตราศุลกากรและระบบ Harmonized System ของประเทศไทยและประเทศ ญี่ปุ่น เป็นเงิน 6,786,000 บาท และเรื่องการเปรียบเทียบกฎหมายของสหรัฐอเมริกากับสหภาพยุโรป เกี่ยวกับหลักการทั่วไปในการตีความ The Harmonized System เป็นเงิน 6,000,000 บาท หาก รายการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นความจริง ก็เท่ากับบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายค่าจ้าง ศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับระบบ The Harmonized System เป็นเงินจํานวนมากถึง 102,786,000 บาท
4. รายการจ่ายเงินบางรายการจํานวนเงินสูงผิดปกติ ดังเช่น รายการจ่ายเงินให้บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด เป็นค่าบริการในการรวบรวมข้อมูลและจัดเตรียมบันทึกคําพยานผู้เชี่ยวชาญ งวดที่ 1 และงวดที่ 2 จํานวนเงินรวม 50,000,000 บาท และค่าจัดทําร่างบันทึกคําเบิกความล่วงหน้า ของพยานผู้เชี่ยวชาญกับร่างคําถามค้านในคดี ภ.88/2558 และ ภ.27/2559 จํานวนเงิน 40,000,000 บาท กับรายการจ่ายเงินให้บริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด เป็นค่าเตรียม บันทึกคําให้การของพยานโจทก์ทั้งหมดในคดีหมายเลขดําที่ ภ.93 ถึง ภ.101/2559 จํานวนเงิน 50,000,000 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากในคดีพรีอุสมีการสืบพยานในคดีหลักเพียงคราวเดียว แล้วนําไปใช้ในคดีที่เหลืออีก 19 สํานวนคดี และโจทก์นําพยานเข้าสืบเพียง 5 ปาก ในจํานวนนี้เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ รวม 4 ปาก พยานผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศไทย 2 คน อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ 1 คน และอดีตพนักงานอัยการ 1 คน ส่วนจําเลยทั้งสอง นําพยานเข้าสืบเพียง 4 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมด หากรายการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นความจริง ก็เท่ากับบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายเงินเป็นค่าจัดทําร่างบันทึกคําเบิกความของ พยานโจทก์และคําถามค้านพยานฝ่ายจําเลยเป็นเงิน 160,000,000 บาท เมื่อคํานึงถึงเนื้องาน เป็นที่ เห็นได้ว่า เป็นจํานวนเงินค่าจ้างที่มากผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับค่าจ้างว่าความในการ ดําเนินคดีชั้นศาลภาษีอากรกลางที่บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายให้สํานักงานกฎหมาย อันนานนท์ 141,513,195.88 บาท และจ่ายให้บริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด 33,477,513 บาท รวมเป็นเงิน 174,990,608.88 บาท ค่าจัดทําร่างบันทึกคําเบิกความของ พยานโจทก์และคําถามค้านพยานฝ่ายจําเลยไม่น่าจะมากจนเกือบเท่าค่าจ้างว่าความ อีกทั้งโดยปกติ การจัดทําร่างบันทึกคําเบิกความและคําถามค้านจะรวมเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างว่าความอยู่แล้ว
นอกจากนี้นายสุรศักดิ์ วาจาสิทธิ์ ทนายความหลักของบริษัทราจา แอนด์ ทานน์ (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งเป็นผู้จัดทําบันทึกคําพยานล่วงหน้าของพยานโจทก์ทุกปาก และเป็นผู้ซักถาม พยานโจทก์ รวมทั้งเป็นผู้ถามค้านพยานจําเลยทั้งสองเป็นส่วนใหญ่ด้วย กลับไม่ทราบว่ามีการจ้างบริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด และบริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด ให้ดําเนินการในเรื่องดังกล่าว
5. รายการจ่ายเงินบางรายการมีข้อสงสัยว่าความจริงเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการใดแน่ ดังเช่น ค่าป่วยการพยานผู้เชี่ยวชาญ 25,000,000 บาท (นอกเหนือจากที่จ่ายให้นายรัฐศักดิ์ พิศุทธางกูร) รายการจ่ายเงินรายการนี้ นายทรงพล อันนานนท์ และนายวิเชียร หิรัญมหผล ให้ถ้อยคํา ต่อคณะกรรมการฯ ยอมรับว่า ความจริงเป็นเงินที่จ่ายให้นายสมชาย เอี่ยมลออ อดีตข้าราชการ กรมศุลกากร เป็นค่าตอบแทนการให้ข้อมูลและให้คําปรึกษาด้านศุลกากร (เดิมจะต้องไปเป็นพยานที่ศาล ด้วย แต่ในที่สุดไม่ได้ไป) บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด โอนเงินค่าตอบแทนดังกล่าวมาให้ นายทรงพลเพื่อให้นายทรงพลโอนกลับไปยังนายวิเชียรและให้นายวิเชียรนําไปจ่ายให้นายสมชาย
โดยอ้างว่าเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการจ่ายเงิน ไม่ต้องขออนุมัติผู้บริหารบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ตามขั้นตอน
กรณีนี้เนื่องจากค่าตอบแทนการให้ข้อมูล ให้คําปรึกษา รวมถึงการไปเบิกความ เป็นพยานที่ศาล เป็นค่าใช้จ่ายปกติในการดําเนินคดี ประกอบกับค่าตอบแทนที่อ้างว่าจ่ายให้นายสมชาย เป็นเงินจํานวนมากถึง 25,000,000 บาท จึงน่าจะมีการทําสัญญาหรือข้อตกลงกันระหว่างบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด กับนายสมชายเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ไม่ปรากฏว่ามีการทําเช่นนั้น และบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ควรต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนดังกล่าว ให้นายสมชายโดยตรง มิใช่จ่ายผ่านสํานักงานกฎหมายอันนานนท์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของบริษัท เช่นนั้น นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แสดงว่านายสมชายได้รับเงินจํานวนดังกล่าว
ข้อเท็จจริงยังปรากฏด้วยว่า ในที่สุดบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ไม่ได้นํา นายสมชายเข้าเบิกความต่อศาลภาษีอากรกลาง แสดงว่าเงินจํานวน 25,000,000 บาท เป็น ค่าตอบแทนการให้ข้อมูลและให้คําปรึกษาเท่านั้น น่าจะเป็นเงินจํานวนมากเกินกว่าการให้ข้อมูลและ ให้คําปรึกษากันตามปกติ อีกทั้งนายพรชัย เสตะจันทร์ ผู้จัดการฝ่ายกฎหมายของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ยังให้ถ้อยคําต่อคณะกรรมการฯ ว่า นายทรงพลเคยโอนเงินมาให้นายพรชัยจํานวน หนึ่งเพื่อให้นายพรชัยนําไปมอบให้นายสมชาย นายพรชัยขับรถยนต์ไปจอดเทียบกับรถยนต์ของ นายสมชายบริเวณที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาบางนา แล้วส่งมอบเงินให้ การส่งมอบเงิน ในลักษณะดังกล่าวคล้ายต้องการปกปิดมิให้มีบุคคลใดพบเห็น
เมื่อรวมรายการจ่ายเงินที่มีข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ (1) รายการจ่ายเงินที่มี ข้อสงสัยว่าเป็นการจ่ายเงินตามรายการที่ระบุในใบเสร็จรับเงินจริงหรือไม่ ได้แก่ เงินที่จ่ายให้สํานักงาน กฎหมายอันนานนท์ จํากัด เป็นค่าบริการในการรวบรวม วิเคราะห์ และให้คําปรึกษาในเรื่องต่าง ๆ 19,686,000 บาท และเงินที่จ่ายให้บริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) เพื่อให้ศึกษาและ วิเคราะห์ในเรื่องต่าง ๆ 96,907,000 บาท (2) รายการจ่ายเงินที่ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าเป็น ค่าใช้จ่ายเพื่อการใด ได้แก่ รายการจ่ายเงินให้บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เป็น เงินรวม 125,000,000 บาท (3) รายการจ่ายเงินที่เป็นจํานวนเงินสูงผิดปกติ ซึ่งได้แก่ เงินที่จ่ายให้ บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด เป็นค่าบริการในการรวบรวมข้อมูลและจัดเตรียมบันทึก คําพยานผู้เชี่ยวชาญ 50,000,000 บาท และค่าจัดทําร่างบันทึกคําเบิกความล่วงหน้าของพยาน ผู้เชี่ยวชาญกับร่างคําถามค้าน 40,000,000 บาท กับเงินที่จ่ายให้บริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด เป็นค่าเตรียมบันทึกคําให้การของพยานโจทก์ 50,000,000 บาท และ (4) รายการ จ่ายเงินที่มีข้อสงสัยว่าความจริงเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการใดแน่ ซึ่งได้แก่ ค่าป่วยการพยานผู้เชี่ยวชาญ เป็นเงิน 25,000,000 บาท รายการจ่ายเงินที่มีข้อสังเกตดังกล่าว รวมแล้วจึงเป็นเงินจํานวนมากถึง 426,593,000 บาท
6.คณะกรรมการฯ ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด และบริษัท เซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด จากเว็บไซต์ของสํานักงานทะเบียนพาณิชย์ ฮ่องกง พบว่า ทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนที่เมืองฮ่องกง แต่บริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัดไม่ส่งงบการเงินตั้งแต่ปี 2561 และอยู่ระหว่างการเลิกกิจการ ส่วนบริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัดจดทะเบียนเลิกบริษัทไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 และจากการให้ถ้อยคําของนายทรงพล ไม่มีความชัดเจนเรื่องหุ้นส่วนและวัตถุประสงค์ของการประกอบกิจการของทั้งสองบริษัท การจดทะเบียน จัดตั้งบริษัททั้งสองจึงมีลักษณะคล้ายเป็นบริษัทที่มิได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อประกอบกิจการอย่างแท้จริง(Paper Company)
นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า นายทรงพลเป็นผู้รับงานและรับเงินค่าจ้างแทน บริษัททั้งสองจากบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด เอง โดยไม่ปรากฏผลงานที่ชัดเจน ทั้งที่ มูลค่างานที่อ้างว่ารับจ้างบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ไปดําเนินการเป็นเงินจํานวนมากถึง 382,507,000 บาท มากกว่าที่จ่ายให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ (221,784,195.88 บาท) เสียอีก
7. เมื่อพิจารณาช่วงเวลาที่มีการจ่ายเงินให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์และบริษัท ในเครืออีกสองแห่งเป็นเงินจํานวนมากที่สุด ก็เป็นช่วงเวลาก่อนคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกานานเกือบ 2 ปี โดยเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายเงินให้บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด 50,000,000 บาท และบริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด 90,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 150,000,000 บาท และวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด จ่ายเงินให้สํานักงานกฎหมายอันนานนท์ 40,000,000 บาท บริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด 40,000,000 บาท และบริษัทเซอร์เวย์ แอนด์ อนาไลซ์ (ฮ่องกง) จํากัด 50,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 140,000,000 บาท
8. คณะกรรมการฯ ยังตรวจสอบพบว่า มีการโอนเงินจากบัญชีของสํานักงานกฎหมาย อันนานนท์ไปยังบัญชีธนาคารอื่นในชื่อของนายทรงพล 88,500,650 บาท นายทรงพลถอนเงินสด ออกจากบัญชีของสํานักงานกฎหมายอันนานนท์ 62,313,681.71 บาท และมีเงินที่โอนจากบริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด ไปยังสํานักงานกฎหมายอันนานนท์ 22,000,000 บาท นอกจากนี้นายทรงพล ยังถอนเงินสดออกจากบัญชีของบริษัท 3 เอเอส โฮลดิ้ง จํากัด อีก 9,150,000 บาท รวมเป็นเงิน 182,024,331 บาท ซึ่งเงินจํานวนดังกล่าวไม่สามารถตรวจสอบได้ว่านายทรงพลนําไปใช้จ่ายอย่างไร
(ข้อมูลรายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนสำนักงานศาลยุติธรรม ยังไม่จบ ยังมีตอนสองเกี่ยวกับรายละเอียดเส้นทางการเงินเพิ่มเติมอีก ติดตามต่อตอนต่อไป)
อ่านประกอบ:
กรณีคำพิพากษาคดีภาษีรถพรีอุส
-
ศาลฎีกาฯพิพากษา โตโยต้าแพ้คดีภาษีพรีอุสหมื่น ล. ชี้ชิ้นส่วนนำเข้าไม่เป็นไปตาม JTEPA
-
ชี้ชะตาคดีภาษีพรีอุสหมื่นล.! ศาลภาษีอากรกลางนัดอ่านคำพิพากษาชั้นฎีกา 15 ก.ย.65 นี้
-
พลิกปูม! คดีภาษีพรีอุสหมื่นล. ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับโตโยต้าแพ้-ยื่นฎีกาต่อแล้ว
กรณีการสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องสินบน
-
โตโยต้าอ้าง ยธ.สหรัฐฯ สั่งยุติสอบสวนคดีสินบนผู้พิพากษาไทย หวังพลิกคำตัดสินภาษีรถพรีอุส
-
ให้รายละเอียดไม่ได้-ผลสรุปยังไม่ยุติ! 'วัชระ'โชว์หนังสือตอบกลับคดีสินบนโตโยต้า
-
ข้อมูลใหม่! คดีโตโยต้าสหรัฐฯ โยงกรณีเลิกจ้างทนายความ-ยืนยันไม่มีจ่ายสินบนผู้พิพากษาไทย
-
รอติดต่อกลับ! ตามหา จอห์น โด ผู้ฟ้องคดีนัก กม.-ทีมงาน 'โจ ไบเดน' ช่วยปกปิดสินบนโตโยต้า?
-
กรณีสินบนโตโยต้า ศาล ยธ.ไทย ขอเข้าร่วมสังเกตการณ์การไต่สวนของคณะลูกขุนรัฐเท็กซัส
-
กลินท์ สารสิน : ให้ถามฝ่ายบริหารโตโยต้าไทยปมสินบนคดีพรีอุสหมื่นล้าน
-
3 ผู้พิพากษา มอบอำนาจ สนง.ศาล ยธ. แจ้งความ ปอท. เอาผิดคนแพร่ข้อมูลเท็จปมสินบนโตโยต้า
-
เปิดข้อมูลลับโตโยต้า! สอบสวน บ.ลูกไทย จ่ายสินบน พ.ศาลฎีกาพลิกคดีภาษีหมื่นล.
-
พลิกปูม! คดีภาษีพรีอุสหมื่นล. ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับโตโยต้าแพ้-ยื่นฎีกาต่อแล้ว
-
ศาลยุติธรรม แจงคดีสินบนโตโยต้า หากมีผู้พิพากษาทุจริตจริงจะลงโทษอย่างเด็ดขาด!
-
เอ็กซ์คลูซีฟ! เปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ 'โตโยต้า’แพ้คดีภาษี’พรีอุส’หมื่นล.ก่อนขอฎีกา
-
2 พ.ศาลฎีกาปฏิเสธ! เว็บLaw360 อ้างผลสอบเปิดชื่อรับสินบนพลิกคดีภาษีพรีอุสหมื่นล.
-
เร่งขอข้อมูลสหรัฐฯ! ศาล ยธ.สั่งสอบ สื่อนอกเปิดชื่อผู้พิพากษารับสินบนพลิกคดีภาษีพรีอุส
-
ไม่เป็นความจริง! สนง.กม.อันนานนท์ ปฏิเสธจ่ายสินบนพลิกคดีภาษีพรีอุสหมื่นล.
-
ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ : 2 ผู้พิพากษาไม่เคยมาหาหรือพูดคุยเรื่องคดีภาษีพรีอุส
-
สนง.กม.อันนานนท์ แจ้งเอาผิดเว็บ LAW360-เจ้าของบทความ ยันไม่มีเอี่ยวเรื่องสินบนโตโยต้า
-
ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม : ทำไม 'โตโยต้าไทย' ไม่ออกมาชี้แจงคดีสินบนภาษีพรีอุส
-
ทรงพล อันนานนท์ : ผมไม่ใช่เส้นทางการจ่ายสินบนพลิกคดีภาษีพรีอุสหมื่นล้าน
-
ทรงพล อันนานนท์ : ผมไม่ใช่เส้นทางการจ่ายสินบนพลิกคดีภาษีพรีอุสหมื่นล้าน
-
'อิศรา' ถามข้ามโลก! เปิดตัว 'แฟรงค์ จี. รันยอน' LAW 360 ผู้ตีแผ่สินบนพลิกคดีภาษีพรีอุส
-
คุ้ยข้อมูล LAW 360 แฉอดีต นัก กม.บ.ตรวจสอบ-ทีมงาน 'โจ ไบเดน' ช่วยปกปิดสินบนโตโยต้า?

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา