แผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส มาตราส่วน 1 : 200,000 จัดทําขึ้นระหว่าง ปี พ.ศ. 2448-2451 เป็นแผนที่ที่มีความถูกต้องน้อยกว่าแผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 เนื่องจากเป็นแผนที่มาตราส่วนเล็ก และจัดทําโดยการเดินสํารวจภาคพื้นดินเพียงอย่างเดียว หากวัดระยะ บนแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ได้ 1 มม. จะเท่ากับระยะ 200 ม. ในภูมิประเทศจริง
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 7 ก.ค. กองบัญชาการกองทัพไทย ได้มีการทำเอกสารชี้แจงลักษณะเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ตลอดแนวมีความยาวโดยประมาณ 798 กม. แบ่งเป็น ตามสันปันน้ำ
524 กม. ตามลำน้ำ 216 กม. และตามเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดน 58 กม. เส้นเขตแดนดังกล่าว
สยาม-ฝรั่งเศส ได้มีการปักปันเขตแดนตลอดแนว ตั้งแต่ในอดีต และทั้งสองฝ่ายได้จัดทำหลักฐานแสดงเส้นเขตแดน โดยสาระสำคัญตอนหนึ่งมีการระบุถึงแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ว่ามีความถูกต้องแม่นยำกว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ทางกัมพูชาได้อ้างถึง
รายละเอียดมีดังนี้
กล่าวนํา
@เส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
ลักษณะเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ตลอดแนวมีความยาวโดยประมาณ 798 กม. แบ่งเป็น ตามสันปันน้ำ 524 กม. ตามลําน้ำ 216 กม. และตามเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดน 58 กม. (ภาพที่ 1)

เส้นเขตแดนดังกล่าว สยาม-ฝรั่งเศสได้มีการปักปันเขตแดนตลอดแนวตั้งแต่ในอดีต และทั้งสองฝ่ายได้จัดทําหลักฐานแสดงเส้นเขตแดน ประกอบด้วย อนุสัญญา เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ค.ศ. 1904 สนธิสัญญา เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ.1907 และแผนที่ คณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส มาตราส่วน 1 : 200,000 รวม 7 ระวาง รวมทั้ง บันทึกวาจาการปักหลักเขตแดนและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดน ซึ่งในอดีตได้มีการสร้างหลักเขตแดน ไว้ในภูมิประเทศเป็นหลักคอนกรีต จํานวน 74 หลัก ปัจจุบันหลักเขตแดนเดิมดังกล่าวสูญหาย ถูกทําลาย หรือ ถูกเคลื่อนย้าย และตั้งอยู่ห่างกันมาก บางพื้นที่ไม่มีหลักเขตแดน จึงจําเป็นต้องสํารวจและจัดทําหลักเขตแดน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายจึงได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 43 เห็นชอบ ให้มีการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนตลอดแนวให้เป็นไปตามหลักฐานทางกฎหมายในอดีต
@การปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชาในอดีตทําอย่างไร
การปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ในอดีต สามารถแบ่งออกเป็น 2 ห้วง ดังนี้
ห้วงแรกเป็นการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ตามอนุสัญญา เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ค.ศ. 1904 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนชุดที่ 1 โดยมี พลตรีหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานคณะกรรมการ ฝ่ายสยาม และ พันโท Bernard เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศส และได้จัดทําแผนที่แสดงแนวเขตแดน หรือเรียกว่า แผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส มาตราส่วน 1 : 200,000 จํานวน 5 ระวาง โดยการปักปันเขตแดนในห้วงแรกยังไม่มีการปักหลักเขตแดนร่วมกัน โดยขณะนั้น เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ยังเป็นของสยาม (ภาพที่ 2)

ห้วงที่สองเป็นการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญา เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ค.ศ. 1907 ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนดินแดนกัน ในสนธิสัญญาระบุไว้ว่า “รัฐบาลสยามยอมยกดินแดนเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐกับเมืองศรีโสภณให้แก่กรุงฝรั่งเศส” และ “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย แลเมืองตราษกับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม” มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการปักปันเขตแดนชุดที่ 2 โดยมีพระองค์เจ้าบวรเดช เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายสยาม และ พันตรี มองแกร์ (Montguers) เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศส และได้จัดทําแผนที่แส แสดงแนวเขตแดน มาตราส่วน 1 : 200,000 ฉบับใหม่อีก จํานวน 5 ระวาง (ภาพที่ 3)

โดยยกเลิกแผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดน ชุดที่ 1 จํานวน 3 ระวาง ในบริเวณที่แลกเปลี่ยนดินแดนกัน แต่ยังเหลืออีก 2 ระวาง รวมแล้วมีแผนที่ แสดงเส้นเขตแดน มาตราส่วน 1 : 200,000 ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนทั้งสองชุดที่ทั้งสองฝ่ายยึดถือ จนถึงปัจจุบัน จํานวน 7 ระวาง (ภาพที่ 4)

นอกจากนี้ในการปักปันเขตแดนห้วงที่สอง ได้มีการปักหลักเขตแดน ไว้ในภูมิประเทศ ในปี ค.ศ. 1908-1909 ใช้ต้นไม้หรือเสาไม้เป็นหลักเขตแดน และต่อมาในปี ค.ศ. 1919-1920 ได้จัดทําเป็นหลักคอนกรีตแทนหลักต้นไม้หรือเสาไม้ดังกล่าว โดยเริ่มจากหลักเขตแดนที่ 1 ตั้งอยู่ที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และปักหลักต่อ ๆ ไปทางทิศตะวันตกไปทาง จ.สุรินทร์ จ.บุรีรัมย์ จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี และสิ้นสุดที่ หลักเขตแดนที่ 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
โดยหลักเขตแดนแต่ละหลักจะปักไปตามลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่ ตามสันปันน้ำ จํานวน 34 หลัก บนฝั่งตามแนวลําคลอง จํานวน 19 หลัก และบริเวณที่เป็นเส้นตรงระหว่าง หลักต่อหลัก จํานวน 21 หลัก รวม 74 หลัก สําหรับเส้นเขตแดน ในเขต จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี ไม่ได้มี การปักหลักเขตแดน เนื่องจากเป็นการปักปันในห้วงแรก (ภาพที่ 5)

จากผลการปักปันเขตแดนในอดีตระหว่างสยามกับฝรั่งเศสทั้งสองห้วงเวลาดังกล่าวเป็นพันธกรณีที่มีผลผูกพันระหว่างไทยกับกัมพูชามาจนถึงปัจจุบัน
@การสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนด้านกัมพูชาในปัจจุบันทําอย่างไร
ในปัจจุบันไทยและกัมพูชายังคงยึดถือเส้นเขตแดนตามพันธกรณีระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส แต่ความจําเป็น ที่ทั้งสองประเทศต้องการทําให้เส้นเขตแดนมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นอันเนื่องมาจากหลักเดิมสูญหาย
ถูกเคลื่อนย้าย ตั้งอยู่ห่างกันมาก และบางพื้นที่ไม่มีหลักเขตแดน จึงจําเป็นต้องสํารวจและจัดทําหลักเขตแดน เพื่อให้เส้นเขตแดนมีความชัดเจน รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจึงได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 43 เห็นชอบให้มีการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนตลอดแนวร่วมกัน ให้เป็นไปตามหลักฐานทางกฎหมายในอดีต ประกอบด้วย อนุสัญญา ค.ศ. 1904 สนธิสัญญา ค.ศ.1907 และแผนที่ที่จัดทําขึ้นตามผลง ผลงานของคณะกรรมการ ปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ปี ค.ศ. 1907 (ภาพที่ 6)

เพื่อเป็นกรอบทางกฎหมายในการดําเนินการ และได้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ทําหน้าที่ดําเนินการในระดับนโยบาย โดยฝ่ายไทยมี กระทรวงการต่างประเทศ เป็นหน่วยงานหลัก รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (TSC) ไทย-กัมพูชา ทําหน้าที่ปฏิบัติงานทางเทคนิค ซึ่งฝ่ายไทยมีกรมแผนที่ทหาร เป็นหน่วยงานหลัก และมีการมอบหมายให้ คณะปฏิบัติงาน (OG) ไทย-กัมพูชา ควบคุมกํากับดูแลชุดสํารวจร่วม (Survey Team) ในการลงพื้นที่ เพื่อทําการสํารวจ การสํารวจดังกล่าวทั้งสองฝ่ายได้จัดทําแผนแม่บทและข้อกําหนดอํานาจหน้าที่ (TOR) ของการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนทางบก ลงนามเมื่อ 25 ส.ค. 46 (ภาพที่ 7)

เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยึดถือ เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานร่วมกัน ซึ่งมีการปฏิบัติ 5 ขั้นตอน ตามลําดับได้แก่
1. สํารวจสภาพและค้นหาที่ตั้งหลักเขตแดนเดิม พร้อมทั้งซ่อมแซมหรือจัดทําหลักเขตแดน ให้อยู่ในตําแหน่งเดิมตามที่ได้จัดทําไว้ในอดีตร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายจะยึดถือที่ตั้งหลักเขตแดนเดิมตามบันทึกวาจาและแผนผังแสดงที่ตั้งหลักเขตแดนที่ได้จัดทําขึ้นในอดีตระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ในห้วงปี ค.ศ. 1908-1909 และปี ค.ศ. 1919-1920
2. จัดทําแผนที่ภาพถ่าย (Orthophoto Maps) เพื่อให้ทราบข้อมูลสภาพภูมิประเทศที่เป็นปัจจุบัน และเป็นประโยชน์ในการตรวจสอบแนวที่จะทําการเดินสํารวจ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ในการใช้ UAV บินถ่ายภาพทางอากาศ พร้อมด้วยการนําเทคโนโลยีการสํารวจระยะไกลด้วยแสงเลเซอร์ (Light Detection and Ranging : LiDAR) มาช่วยในการสํารวจภูมิประเทศ เพื่อนําข้อมูลมาจัดทําแผนที่ภาพถ่าย ซึ่งมีความรวดเร็วและแม่นยํามากขึ้น ทดแทนการบินถ่ายภาพด้วยเครื่องบิน
3. ลากเส้นที่จะเดินสํารวจลงบนแผนที่ภาพถ่ายในขั้นตอนที่ 2 โดยจะลากเส้นไปตามสันปันน้ำ ลําคลอง และเส้นตรง ในการลากเส้นจะใช้ข้อมูลลักษณะภูมิประเทศที่ปรากฏบนแผนที่ภาพถ่ายและที่ตั้งหลักเขตแดน ในขั้นตอนที่ 1 เพื่อให้การเดินสํารวจหาเส้นเขตแดนในภูมิประเทศจริงกระทําได้สะดวก รวดเร็ว และมีความถูกต้อง
4. เดินสํารวจหาเส้นเขตแดนที่เป็นสันปันน้ำ ลําคลอง และเส้นตรง ในภูมิประเทศจริง โดยใช้เส้นที่ลาก บนแผนที่ภาพถ่ายในขั้นตอนที่ 3 มาเป็นตัวช่วยนําทางในการเดินสํารวจหาเส้นเขตแดนในภูมิประเทศ
5. สร้างหลักเขตแดนใหม่ในภูมิประเทศเพิ่มเติม บริเวณเส้นเขตแดนที่เป็นสันปันน้ำ ลําคลอง และ เส้นตรง โดยมีระยะห่างของแต่ละหลักไม่เกิน 5 กม.
ทั้งสองฝ่ายเริ่มสํารวจสภาพและที่ตั้งหลักเขตแดนเดิม ตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 49 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน สามารถสํารวจที่ตั้งหลักได้ครบ 74 หลัก มีความเห็นที่ตั้งหลักตรงกัน 45 หลัก ส่วนอีก 29 หลัก มีความเห็นแตกต่างกัน (ภาพที่ 8)

ผลการสํารวจดังกล่าวได้มีการรับรองขั้นต้นแล้ว จากคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ในการประชุมครั้งที่ 6 ระหว่าง 14-15 มิ.ย. 68 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ภายหลังจากการสํารวจตามขั้นตอนที่ 1 แล้วเสร็จ ทั้งสองฝ่ายจะ ดําเนินการต่อไปตามขั้นตอนที่ 2 ถึง 5 ตามลําดับ
@ในระหว่างการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนร่วมกันยังไม่แล้วเสร็จ ฝ่ายไทยยึดถืออะไรเป็นเส้นเขตแดน
ปัจจุบันการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ยังคงมีขั้นตอนที่รอดําเนินการในขั้นตอนที่ 2 ถึงขั้นตอนที่ 5 ของ TOR และอาจใช้เวลากว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการสํารวจและ จัดทําหลักเขตแดนร่วมกันยังไม่แล้วเสร็จ ฝ่ายไทยโดยกรมแผนที่ทหาร ซึ่งมีหน้าที่สําคัญในการจัดทําแผนที่ และข่าวกรองภูมิสารสนเทศ สําหรับใช้ในการรักษาความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ รวมทั้งดําเนินการ ด้านเทคนิคเกี่ยวกับงานเขตแดนทางบกระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านตลอดแนว
กรมแผนที่ทหารได้จัดทําแผนที่ฐาน (Base Maps) มาตราส่วน 1 : 50,000 โดยในห้วงแรกปี พ.ศ. 2508 สหรัฐอเมริกาช่วยเหลือประเทศไทยจัดทําแผนที่ ชุด L708 และช่วยเหลือกัมพูชาในการจัดทําแผนที่ ชุด L7011 ในปี พ.ศ. 2509 รวมทั้งแผนที่ ชุด L7016 ในปี พ.ศ. 2514 ภายหลังกรมแผนที่ทหาร มีขีดความสามารถในการ จัดทําแผนที่ขึ้นเองมาตามลําดับจากแผนที่ ชุด L7017 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 และ ชุด L7018 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้งานอยู่ในปัจจุบัน (ภาพที่ 9)

โดยใช้ข้อมูลจากการบินถ่ายภาพทางอากาศมาใช้ในการจัดทําแผนที่ทุกชุด และ แผนที่ดังกล่าวใช้เส้นโครงแผนที่ระบบ Mercator Projection (ภาพที่ 10)

ซึ่งเป็นระบบที่ใช้พื้นผิวของ รูปทรงกระบอกในการแปลงจากโลกทรงกลมมาเป็นแผนที่แบนราบ ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการแสดงรายละเอียด ของภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน เห็นถึงเนินเขา ลําธาร แม้กระทั่งเส้นทางเล็ก ๆ สามารถวัดระยะห่างและทิศทาง บนแผนที่เปรียบเทียบกับภูมิประเทศจริงได้อย่างแม่นยํา ซึ่งเหมาะสําหรับการกําหนดเขตแดนที่ต้องการ ความแม่นยําสูง โดยการวัดระยะบนแผนที่ 1 มม. จะมีระยะทางจริงในภูมิประเทศ 50 ม. และมีการแสดง เส้นชั้นความสูง (Contour Line) เขียนไปตามลักษณะรูปร่างของภูเขาหรือยอดเขาที่เรียงตัวเป็นแนวไปตามลักษณะ ภูมิประเทศจริง สามารถนํามาใช้แสดงลักษณะภูมิประเทศและเส้นเขตแดนระหว่างประเทศได้อย่างเหมาะสม
เส้นเขตแดนบนแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 ใช้แสดงขอบเขตอธิปไตยของฝ่ายไทยซึ่งลากสอดคล้อง ไปตามอนุสัญญาและสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม การลากเส้นเขตแดนบนแผนที่นั้น จะลากไปตามเส้นชั้นความสูงและทางน้ำกรณีที่เป็นสันปันน้ำ หรือจะลากไปตามลําคลองที่เห็นบนแผนที่ หรือจะลากไปตามที่ตั้งหลักเขตแดนกรณีที่เป็นเส้นตรง (ภาพที่ 11)

แม้ว่าเส้นเขตแดนบนแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 ไม่ได้มาจากการสํารวจในภูมิประเทศจริง แต่เส้นจะมีความแม่นยําในระดับดีกว่า 100 ม. รวมทั้งเป็น การลากตามหลักฐานทางกฎหมายเป็นสําคัญ ดังนั้นในระหว่างการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ ปัจจุบันหน่วยราชการไทยจะยึดถือเส้นเขตแดนที่ปรากฏอยู่บนแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 ชุด L7018
ในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตามเส้นเขตแดนดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามแต่กรณีเพื่อรักษาผลประโยชน์ ของชาติ โดยมีการเขียนข้อสงวนไว้ท้ายระวางแผนที่ว่า “แนวแบ่งเขตระหว่างประเทศในแผนที่ระวางนี้ ต้องไม่ถือกําหนดเป็นทางการ” “INTERNATIONAL BOUNDARY REPRESENTATION MUST NOT BE CONSIDERED AUTHORITATIVE” (ภาพที่ 12)

@แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 คืออะไร
แผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส มาตราส่วน 1 : 200,000 จัดทําขึ้นระหว่าง ปี พ.ศ. 2448-2451 (ภาพที่ 13)

เป็นแผนที่ที่มีความถูกต้องน้อยกว่าแผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 เนื่องจากเป็นแผนที่มาตราส่วนเล็ก และจัดทําโดยการเดินสํารวจภาคพื้นดินเพียงอย่างเดียว หากวัดระยะ บนแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ได้ 1 มม. จะเท่ากับระยะ 200 ม. ในภูมิประเทศจริง แผนที่นี้ทํามาจาก เส้นโครงแผนที่ระบบ Sinusoidal Projection (ภาพที่ 14)

ซึ่งแตกต่างจากการจัดทําแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของไทยที่กล่าวไว้ข้างต้น เส้นโครงแผนที่ระบบ Sinusoidal Projection มีลักษณะเหมือนการหั่นเปลือกส้มแล้ว แผ่ออกบนพื้นผิวเรียบ หรือบางคนเปรียบเทียบว่าเหมือนรูปหัวหอม ระบบนี้มีข้อดีในการแสดงขนาดและพื้นที่ ของภูมิประเทศได้อย่างถูกต้องแม่นยํา ทุกช่องสี่เหลี่ยมบนแผนที่จะมีพื้นที่เท่ากันเมื่อเปรียบเทียบกับ ความเป็นจริง ทําให้เหมาะสําหรับการมองภาพรวมของบริเวณกว้าง ๆ การคํานวณพื้นที่ การวางแผนการใช้ที่ดิน
หรือการประเมินทรัพยากรธรรมชาติ แต่ข้อเสียคือการวาดลักษณะภูมิประเทศ เช่น รูปเขา เส้นน้ำ ถนน จะไม่ตรง กับลักษณะภูมิประเทศจริง ทําให้การวัดระยะและทิศทางของเส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ 1 : 200,000 ไม่ถูกต้องตามไปด้วย เช่น แนวสันปันน้ำในภูมิประเทศจริงจะไม่ตรงกับแนวสันปันน้ำบนแผนที่ 1 : 200,000 การเปรียบเทียบเส้นเขตแดนบนแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 กับแผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 โดยเฉพาะ กรณีสันปันน้ำไม่สามารถทาบกันได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากความแตกต่างพื้นฐานของระบบเส้นโครงแผนที่และ คุณสมบัติที่แตกต่างกันดังกล่าว เส้นเขตแดนบนแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 นี้ จึงใช้แสดงเพื่อให้เป็นไปตาม เจตนารมณ์ของอนุสัญญาและสนธิสัญญามากกว่า ดังนั้น การสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนจึงต้องใช้อนุสัญญาและสนธิสัญญาเป็นหลัก
@สุดท้ายแล้วจะต้องทําอย่างไรจึงจะมีเส้นเขตแดนที่ชัดเจนและยอมรับร่วมกัน
การหาเส้นเขตแดนที่ชัดเจนแท้จริงในภูมิประเทศนั้น จะต้องลงเดินสํารวจในภูมิประเทศร่วมกัน ปัจจุบันสามารถนําเทคโนโลยีการสํารวจระยะไกลด้วยแสงเลเซอร์ที่เรียกว่า Light Detection and Ranging (LiDAR) (ภาพที่ 15)

มาช่วยในการสํารวจภูมิประเทศได้รวดเร็วและแม่นยํามากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่ยึดถือ สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน ทําให้เจ้าหน้าที่เดินสํารวจในบริเวณที่แคบลงและลดความเสี่ยงอันตรายจาก กับระเบิด ซึ่งการเดินสํารวจเส้นเขตแดนในภูมิประเทศอยู่ในขั้นตอนที่ 4 ของ TOR เป็นขั้นตอนที่มีความสําคัญที่สุดที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องชี้ชัดว่าเส้นเขตแดนตามหลักฐานทางกฎหมายจริง ๆ นั้นอยู่ตรงไหนในภูมิประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแนวสันปันน้ำ ลําคลอง หรือเส้นตรงก็ตาม
จะเห็นได้ว่าทั้งแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 หรือ 1 : 50,000 แทบจะไม่ได้ถูกนํามาใช้ในระหว่างการเดินสํารวจร่วมกันในขั้นตอนนี้ เส้นเขตแดนที่ชัดเจน จะถูกจัดเก็บด้วยค่าพิกัดของการเดินสํารวจในทุก ๆ ระยะประมาณ 100 ม. รวมทั้งจะกําหนดจุดก่อสร้าง หลักเขตแดนใหม่ทุก ๆ ระยะไม่เกิน 5 กม. ตามขั้นตอนที่ 5 ของ TOR ไปพร้อม ๆ กันด้วย (ภาพที่ 16)

ทั้งหมดนี้สุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายจะต้องจัดทําแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดแนวขึ้นมา ใหม่ในมาตราส่วน 1 : 25,000 และ 1 : 250,000 ตามที่ระบุไว้ใน TOR ซึ่งจะเป็นแผนที่ฉบับใหม่ที่แสดง เส้นเขตแดนที่มีความละเอียดถูกต้องชัดเจนใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นที่ยอมรับร่วมกันของไทยและกัมพูชาในอนาคตต่อไป
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวเพิ่มเติมว่าการชี้แจงของกองบัญชาการกองทัพไทยนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ทำแถลงการณ์อ้างว่าปราสาทตาควาย ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก ในหมู่บ้านมโนรมเซนเชย ต.กก ขโปส อ.บันเตียอัมปึล จ.อุดรมีชัย ตั้งอยู่ในดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชาโดยสมบูรณ์ พร้อมเสริมว่าจุดยืนนี้อ้างอิงจากแผนที่ที่ได้รับการยอมรับทางกฎหมาย และเป็นที่รับรองโดยประชาคมระหว่างประเทศ
กระทรวงกลาโหมได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ไทยจะต้องร่วมมือกับกัมพูชาในนำข้อพิพาทในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทส เพื่อตัดสินชี้ขาดความเป็นเจ้าของปราสาทตาควาย
“กัมพูชายังคงยึดมั่นอย่างเต็มที่ที่จะเคารพข้อตกลงทวิภาคีอย่างเคร่งครัดและรับผิดชอบในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี ไทยต้องยึดมั่นในข้อตกลงที่ตกลงกันไว้อย่างสอดคล้องและมีวินัยเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความตึงเครียดหรือเหตุการณ์ที่สองฝ่ายไม่ประสงค์จะเห็น” คำแถลงของกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุ.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา