
การทูตเชิงปฏิบัติของทรัมป์ ซึ่งกดดันผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านการคุกคามทางการค้า ถือเป็นการสร้างสันติภาพแบบแลกเปลี่ยนที่อาจจะเลวร้ายที่สุด วิธีการของทรัมป์อาจเห็นผลทันที แต่ก็บั่นทอนบทบาทของภูมิภาคท้องถิ่น หรือว่าอาเซียนในการแก้ไขความขัดแย้ง หรือสรุปก็คือถ้าหากสันติภาพเป็นผลมาจากแรงกดดันจากภายนอก มากกว่ามาจากการเจรจาภายใน สันติภาพที่ได้มาก็กลายเป็นสิ่งที่เปราะบาง
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จากการทำข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา มีการวิจารณ์ว่าเบื้องหลังการเจรจาหยุดยิงนั้นมีการประลองกำลังกันทางอำนาจทางการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
จากกรณีดังกล่าว สำนักข่าว The Diplomat ของสหรัฐฯ ได้มีการลงบทความหัวข้อว่า เบื้องหลังการหยุดยิง: สหรัฐฯ และจีนติดตามการปะทะกันระหว่างกัมพูชาและไทยอย่างไร โดยมีผู้เขียนบทความคือ รองศาสตราจารย์ ดร. คู หยิง ฮูย (KHOO YING HOOI) จากภาควิชาการศึกษาระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมาลายา ประเทศมาเลเซีย
สำนักข่าวอิศราจึงได้นำเอาเนื้อหาบทความดังกล่าวมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
หลังจากประกาศหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐอเมริกา ก็ได้อ้างเครดิตเต็มๆ โดยโพสต์บนโซเชียลมีเดียชื่อ Truth Social ว่า
“เพิ่งพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีรักษาการของไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ เข้ามามีส่วนร่วม ทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงและสันติภาพ ขอแสดงความยินดีกับทุกฝ่าย!”
ประธานาธิบดีทรัมป์บอกว่าได้คุยกับผู้นำไทยและกัมพูชาเกี่ยวกับการหยุดยิง (อ้างอิงวิดีโอจากรอยเตอร์ส)
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวเสริมว่า “ผมได้สั่งการให้คณะทำงานการค้าของเริ่มการเจรจาเรื่องการค้าใหม่อีกครั้ง” ซึ่งเป็นการตอกย้ำข้อกล่าวอ้างก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าได้ทำการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรโดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์หยุดยิงของไทย
ส่วนประเทศจีน การมีส่วนร่วมของจีนมีความละเอียดอ่อนมากขึ้น กรุงปักกิ่งได้เรียกร้องให้ภูมิภาคมีความยับยั้งชั่งใจและเคารพกระบวนการของอาเซียน พร้อมทั้งส่งผู้สังเกตการณ์ทางการทูตเข้าร่วมการเจรจาทางการทูตที่มาเลเซีย
“จีนเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ระบุ
“จีนจะรักษาจุดยืนที่ยุติธรรมและเป็นกลาง และจะยังคงสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับทั้งสองฝ่าย อำนวยความสะดวกในการเจรจาสันติภาพอย่างแข็งขัน และมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์เพื่อการหยุดยิง”
อย่างไรก็ตาม มีการกดดันให้จีนเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ “ความช่วยเหลือที่จีนเสนอ” ในงานแถลงข่าววันถัดมา(28 กรกฎาคม) โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนก็เพียงแต่ย้ำแถลงการณ์เดิมอีกครั้ง
โดยพฤติการณ์ของจีนต่างจากสหรัฐอเมริกา ปักกิ่งไม่ได้กำหนดอิทธิพลของตนในแง่ของการบีบบังคับหรือการค้า แต่กลับตอกย้ำจุดยืนที่มีมายาวนานของตน นั่นคือ แสดงออกอย่างเป็นกลาง ขณะเดียวกันจีนก็ยึดมั่นในแนวทางที่สอดคล้องกับความต้องการของกัมพูชาในการใช้การอนุญาโตตุลาการทางกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาชายแดน
ท้ายที่สุดแล้ว จีนมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจการเมืองของกัมพูชา และการที่จีนดูเหมือนว่าจะโน้มเอียงไปทางกัมพูชานั้นก็เป็นสิ่งที่สังเกตุได้
ความแตกต่างนี้ชี้ชัดเจน สหรัฐฯ ต้องการการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและต้องการแสดงอิทธิพลอันเด็ดขาดในภูมิภาค
ขณะที่จีนต้องการอิทธิพลและเปิดตัวอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม มหาอำนาจทั้งสองต่างพยายามกำหนดระเบียบภูมิภาค และต่างเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดขณะที่มาเลเซียอำนวยความสะดวกในการเจรจา
สำหรับอาเซียนนี่เป็นทั้งโอกาสและการเตือนว่ามีมหาอำนาจกำลังให้ความสนใจ
แผนการทางการทูตของมาเลเซียแสดงให้เห็นว่าอาเซียนยังคงสามารถดำเนินการได้อย่างมีความหมายแม้ความขัดแย้งจะปะทุขึ้น การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในการเป็นเจ้าภาพการเจรจาและนำทั้งสองฝ่ายมาเจรจากันนั้นเป็นแนวทางที่กล้าหาญและจำเป็น การหยุดยิงอาจไม่เกิดขึ้นหากปราศจากการแทรกแซงดังกล่าว แต่รอยร้าวก็ยังคงชัดเจน
หลักการ “ไม่แทรกแซง” ที่อาเซียนเคยอวดอ้างนั้นยิ่งไม่มั่นคงเมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมและลัทธิชาตินิยมทางทหาร ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น อาเซียนกำลังเสี่ยงที่จะกลายเป็นเวทีสำหรับอำนาจภายนอก แทนที่จะเป็นเวทีสำหรับความสามัคคีของชาติภายใน
การทูตเชิงปฏิบัติของทรัมป์ ซึ่งกดดันผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านการคุกคามทางการค้า ถือเป็นการสร้างสันติภาพแบบแลกเปลี่ยนที่อาจจะเลวร้ายที่สุด วิธีการของทรัมป์อาจเห็นผลทันที แต่ก็บั่นทอนบทบาทของภูมิภาคท้องถิ่น หรือว่าอาเซียนในการแก้ไขความขัดแย้ง หรือสรุปก็คือถ้าหากสันติภาพเป็นผลมาจากแรงกดดันจากภายนอก มากกว่ามาจากการเจรจาภายใน สันติภาพที่ได้มาก็กลายเป็นสิ่งที่เปราะบาง
ส่วนบริบทของจีนนั้นดูเหมือนว่าจะมีความเคารพกฎหมายระหว่างกัน ทำให้เข้าใจได้ว่าจีนเคารพอธิปไตยของชาติอื่นมากกว่า แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ปักกิ่งก็ต้องการเล่นนบทบาทที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ด้วยเช่นกัน
ยิ่งปักกิ่งสามารถแทรกซึมเข้าสู่กระบวนการของอาเซียน ด้วยวิธีการที่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นการบีบบังคับมากเท่าไหร่ จีนก็ยิ่งสามารถขยายอิทธิพลของตนโดยไม่ถูกจับตามองได้มากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นการหยุดยิงที่เกิดขึ้น ณ จุดนี้ ถือว่าเป็นการเจรจาระหว่างกันภายใต้การจับตามองของมหาอำนาจทั้งสอง และยึดโยงกันด้วยแนวทางการทูตภายในที่บางเบาที่สุด
ประเด็นความกังขาของไทยที่กล่าวหากัมพูชาว่าไม่เจรจาด้วยความสุจริตใจ สะท้อนถึงปัญหาความไว้วางใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับการเรียกร้องของกัมพูชาให้มีกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศก็สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะขยายประเด็นนี้ไปสู่ระดับสากล
ขณะที่ไทยต้องการคงไว้ซึ่งความเป็นทวิภาคีและหลีกเลี่ยงการตัดสินซึ่งมาจากภายนอก ความแตกต่างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่ ทำให้การแก้ไขปัญหาชายแดนไทยและกัมพูชาอย่างยั่งยืนมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความพยายามจะเจรจาให้เกิดการหยุดยิงในความขัดแย้งหลายครั้ง บางครั้งก็หยุดได้ บางครั้งก็หยุดไม่ได้
การหยุดยิงที่ประกาศระหว่างไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมนั้นน่าทึ่ง ไม่ใช่เพราะการยุติการสู้รบ แต่เพราะมันเผยให้เห็นโครงสร้างอิทธิพลที่หล่อหลอมสันติภาพในปัจจุบัน
บทวิเคราะห์ว่าประเทศไทยอาจกลายเป็นหมากในสงครามตัวแทนระหว่างจีนและสหรัฐฯ (อ้างอิงวิดีโอจาก CNN-NEWS18)
สหรัฐอเมริกาและจีนต่างก็มีบทบาทอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฝ่ายหนึ่งตะโกน อีกฝ่ายกระซิบ ฝ่ายหนึ่งเสนอข้อตกลง อีกฝ่ายเสนอกรอบการทำงาน ทั้งสองฝ่ายต่างเฝ้าดู รอคอย และครุ่นคิด
ขณะเดียวกัน มาเลเซียได้ก้าวเข้ามาสู่จุดสนใจ บทบาทของมาเลเซียในฐานะคนกลางแสดงให้เห็นว่าอาเซียนสามารถเป็นได้มากกว่าผู้สังเกตการณ์ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์สู้รบอาจจะดูเหมือนหยุดลงแล้ว แต่คำถามยังคงอยู่ก็คือ
อาเซียนจะสามารถแก้ไขความขัดแย้งของตนเองตามเงื่อนไขของตนเองได้หรือไม่ หรือข้อพิพาทในภูมิภาคจะถูกกำหนดให้ยุติลงก็ต่อเมื่อวอชิงตันหรือปักกิ่งประกาศเท่านั้น
เรียบเรียงจาก:Beyond the Ceasefire: How the US and China Shadowed the Cambodia-Thailand Clash – The Diplomat

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา