
"...แม้ต่อมาประธานกรรมการ ป.ป.ช. จะสั่งการให้ประมวลเรื่องพร้อมวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว เสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาโดยด่วน เรื่องดังกล่าวจึงได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ก็ไม่ได้ทำให้กระบวนการรับคำกล่าวหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้นกลับชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้..."
กรณีปรากฏข่าวที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องกล่าวหาประจำสำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ให้แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จำนวน 5 ราย ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีร่วมกันสั่งการและพิจารณาให้ความเห็นชอบในการรับคดีของ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กับพวกรวม 5 คน ซึ่งเชื่อมโยงกับเว็บไซต์พนันออนไลน์มาดำเนินการเองโดยมิชอบนั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับคำยืนยันเป็นทางการจาก นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.ไปแล้วว่า ที่ประชุมคณะกรรม ป.ป.ช.มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จำนวน 5 ราย ตามที่ปรากฏเป็นข่าวจริง ซึ่งตามขั้นตอนการไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องต่อไป ถ้าสามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ ข้อกล่าวหาจะถูกตีตกไป

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติการณ์ในคดีนี้เป็นทางการ
ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้
ในช่วงเดือนพ.ย.2566 กองกำกับการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) ได้ส่งสำนวนสอบสวนกรณีมีผู้ร้องทุกข์กล่าวหาให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ต่อมาคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติให้ส่งเรื่องคืนพนักงานสอบสวน หลังจากนั้นในช่วงเดือนธ.ค.2566 บก.สอท.1 ได้ส่งสำนวนเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษในส่วนพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาก กับ พวกรวม 5 คน มาเพื่อดำเนินการเพิ่มเติม
เมื่อได้รับเรื่องมาแล้ว เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทั้ง 5 ราย ได้ดำเนินการกระบวนการรับเรื่อง มีการพิจารณาลงความเห็นเป็นเรื่องไม่ซ้ำ มีความเกี่ยวพันกับคดีกล่าวหาเรื่องการรับเงินค่าไฟฟ้าจากบัญชีม้าของบุคคลคนหนึ่ง ก่อนจะออกเลขเรื่องเป็นเรื่องกล่าวหา เป็นกรณีที่ปรากฎข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ภายหลังจากที่ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนว่ามีบุคคลกระทำความผิดเพิ่มเติมในเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่ส่งให้พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นการส่งทั้งเรื่องจะต้องนำเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้พิจารณาว่าบุคคลผู้กระทำความผิดเพิ่มเติมทั้ง 5 ราย เข้าเหตุตามระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ข้อ 29 วรรรคสอง หรือไม่
แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า ในชั้นการตรวจเรื่องซ้ำ ได้ตรวจเรื่องโดยไม่ได้พิจารณาเนื้อหาของหนังสือดังกล่าวว่ามีการกล่าวถึงเรื่องกล่าวหาเดิมที่คณะกรรมการป.ป.ช. ได้ส่งเรื่องคืนให้พนักงานสอบสวน ซึ่งมีการระบุด้วยว่าเรื่องตามสำนวนที่มีการส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกันกับสำนวนที่สอบสวนเพิ่มเติมในคดีนี้
แต่ได้ระบุในหมายเหตุตรวจรับเรื่องว่า คำกล่าวหานี้มีความเกี่ยวพันกับเรื่องกล่าวหา พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ รับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาท เป็นเงินค่าไฟฟ้ารายเดือน จากบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ และลงความเห็นว่า "ไม่ซ้ำ" "รายละเอียดเพียงพอ จนกระทั่งมีการส่งเรื่องไปตามขั้นตอน ทำความเห็นว่าเป็นกรณีการกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 , 157 อีกทั้งยังมีพฤติการณ์กระทำผิดฐานฟอกเงิน เป็นกรณีกล่าวหาตำแหน่งระดับสูงและมีลักษณะร้ายแรงเห็นควรรับไว้ดำเนินการ มีการบันทึกข้อมูลงในระบบและให้ออกเลขเรื่องกล่าวหาเป็นเรื่องกล่าวหา ทั้งที่บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จ
ต่อมาได้มีบันทึกกราบเรียนประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อนำเสนอข้อเท็จริงเกี่ยวกับการรับเรื่องและออกเลขดำไว้ดำเนินการให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อรับทราบ
ทั้งที่กระบวนการดังกล่าวตั้งแต่มีการรับเรื่องมาไม่มีการเสนอคำกล่าวหาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแต่อย่างใด อันเป็นการไม่ชอบด้วยระเบียบ และในกระบวนการดังกล่าวได้กระทำโดยรวบรัดและรวดเร็วผิดปกติ ทั้งที่เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งในกระบวนการพิจารณาตรวจรับคำกล่าวหาต้องกระทำด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบกฎหมายไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
อีกทั้งเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ทั้งพนักงานกับผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นก็ไม่มีการตรวจสอบหรือทำความเห็นแย้งใด ๆ ทั้งที่กระบวนการตรวจรับเรื่องดังกล่าวเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของบรรดาผู้ถูกร้องโดยตรง ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช. ย่อมปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนในกฎหมายดังกล่าวอยู่เป็นประจำ
ย่อมจะต้องทราบกฎหมายและระเบียบดังกล่าวเป็นอย่างดีละเว้นไม่ดำเนินการทำให้เกิดกระบวนการที่ผิดขั้นตอนดังกล่าวขึ้นได้ ซึ่งการผิดระเบียบดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการไต่สวน ทำให้ผู้กระทำความผิดสามารถ ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ว่ากระบวนการไต่สวนในขั้นตอนการรับเรื่องออกเลขดำมาดำเนินการดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฏหมาย และทำให้กระบวนการไต่สวนเสียไป ไม่อาจนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้
อีกทั้งเมื่อได้รับเรื่องมากลับไม่ได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาตามระเบียบฯ แต่เสนอเรื่องคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อรับทราบเท่านั้น
แม้ต่อมาประธานกรรมการ ป.ป.ช. จะสั่งการให้ประมวลเรื่องพร้อมวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว เสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาโดยด่วน
เรื่องดังกล่าวจึงได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ก็ไม่ได้ทำให้กระบวนการรับคำกล่าวหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้นกลับชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้
ดังนั้น กระทำของบรรดาผู้ถูกร้องทั้ง 5 ราย จึงแสดงมีเจตนาร่วมกันเป็นตัวการเพื่อการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และมีเจตนาช่วยเหลือ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล กับพวก
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติว่า เป็นกรณีที่พบว่ามีข้อมูลหรือรายละเอียดเพียงพอที่จะดำเนินการไต่สวนต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนกรณีนี้ มีผู้บริหารระดับสูง ป.ป.ช. รายหนึ่ง แต่ไม่ใช่ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ถูกกล่าวหาด้วย แต่เนื่องจากไม่ปรากฎพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอว่าได้เกี่ยวข้องกับการตรวจรับเรื่องและรับเรื่องกล่าวหาดังกล่าวมาดำเนินการเองอย่างไร ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่รับเรื่องไว้พิจารณาตามเสนอ
อนึ่งเกี่ยวกับกรณีนี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. 5 ที่ถูกตั้งคณะกรรมการไต่สวนกรณีนี้ เป็นผู้อำนวยการสำนัก 2 ราย นิติกรปฏิบัติงาน 2 ราย และพนักงานไต่สวน ระดับสูง 1 ราย
ล่าสุด มีข้อมูลว่า เจ้าหน้าที่บางราย ถูกย้ายออกจากตำแหน่งไปแล้ว
ขณะที่กรณีนี้มีการกล่าวหา นางสาวสุภา ปิยะจิตติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.ด้วย แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 45 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริตการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 49 ได้กำหนดวิธีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่และการดำเนินคดีกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้

@ สุภา ปิยะจิตติ
สำหรับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริต การเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 49 ระบุว่า ในกรณีที่มีการกล่าวหาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ว่ากรรมการ ป.ป.ช.ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ํารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทําตามที่ถูกกล่าวหาและเสนอเรื่องมายังประธานศาลฎีกา ให้ประธานศาลฎีกาพิจารณาตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระตามมาตรา 50 เพื่อดําเนินการไต่สวนหาข้อเท็จจริงและทําความเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว
อย่างไรก็ดี กรณีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่มีมติชี้มูลความผิดแต่อย่างใด ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด จึงยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา