
"...การโพสต์หรือแสดงความเห็นครั้งดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นการโพสต์แสดงความเห็นเป็นการส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเอง หรือเป็นการโพสต์ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เนื่องจากเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็มีสถานะเป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ เป็นของตนเองได้ และมิใช่ว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะมีความเห็นเป็นไปในทางเดียวกันกับผู้ฟ้องคดีทั้งสาม หรือในทางเดียวกันกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทุกคน..."
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2568 ศาลปกครองอ่านคำพิพากษาคดีประชาชนยื่นฟ้องกองทัพบกต่อศาลปกครอง จากกรณีการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียหาย โดยมีผู้ฟ้องคดี 3 ราย ได้แก่ นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการ iLaw และ นายวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ สื่อมวลชน โดยศาลปกครองพิพากษายกฟ้อง

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงสรุปและเรียบเรียงคำพิพากษาในคดีข้างต้นมารายงานต่อสาธารณชน โดยคำพิพากษามีทั้งหมด 64 หน้า ผู้สื่อข่าวจึงสรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้
คดีหมายเลขดําที่ 368/2564
คดีหมายเลขแดงที่ 2522/2568
ศาลปกครองกลาง วันที่ 30 ต.ค. 2568
นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล ผู้ฟ้องคดีที่ 1
นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้ฟ้องคดีที่ 2
นายวิญญ วงศ์สุรวัฒน์ ผู้ฟ้องคดีที่ 3
ระหว่าง
กองทัพบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
ผู้บัญชาการทหารบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย
@ สรุปคำฟ้อง
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการอภิปรายญัตติทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ราย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะนั้น โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายหนึ่งอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบบังคับบัญชาหรือกํากับดูแลผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และเจ้าหน้าที่ทหารในประเด็นที่มีการใช้การปฏิบัติการข่าวสาร หรือ Information Operation (IO) ว่า มีการกระทําที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์การปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ที่กระทําเพื่อขัดขวาง ปฏิเสธ โจมตีด้อยคุณค่า หรือสร้างความเสียหายต่อข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบสื่อออนไลน์ของกลุ่มบุคคลผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดินของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนแบ่งหน้าที่กันทําอย่างเป็นระบบต่อเนื่องยาวนาน อาศัยงบประมาณแผ่นดินและทรัพยากรของรัฐที่มาจากภาษีประชาชนมาดําเนินการในหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยมีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและบุคลากร เพื่อนําเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสีใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงหลายครั้งหลายคราต่อเนื่องกันมา โดยไม่ได้มุ่งหวังจะให้เกิดความสงบหรือความสามัคคีในหมู่ประชาชนอย่างแท้จริง และไม่ใช่ภารกิจรักษาความมั่งคงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่เป็นการละเมิดและคุกคามประชาชนโดยอํานาจรัฐ โดยใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐและงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน
ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ทำให้พบว่าเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รวบรวมบัญชี รายชื่อโซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามและบุคคลอื่นที่เป็นเป้าหมาย ของการปฏิบัติการข่าวสาร (IO) โดยเจ้าหน้าที่ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รวบรวมบัญชีรายชื่อดังกล่าวโดยมีความมุ่งหมายเพื่อรวบรวมบุคคลกลุ่มต่างๆ ที่เป็นเจ้าของบัญชีโซเชียลมีเดียที่มีอิทธิพลต่อสาธารณะ และมีการแสดงความเห็นหรือนำเสนอ ข้อเท็จจริงที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และเพื่อจะส่งต่อข้อมูลบัญชีโซเชียลมีเดียทั้งหมดไปยังเจ้าหน้าที่ทหารของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ ทำปฏิบัติการข่าวสาร กระทำเพื่อขัดขวาง ปฏิเสธ โจมตี ด้อยคุณค่า หรือสร้างความเสียหาย ต่อข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบสื่อออนไลน์ของกลุ่มบุคคลผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง อันเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้าย ป้ายสีใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1โดยเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดำเนินการรวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดีย ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามและบุคคลอื่น ทั้งยังจัดชุดบุคคลต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมไว้โดยตั้งหัวข้อชุดบุคคลว่า “ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล” และ “ชุดบุคคลที่เป็นบวก กับรัฐบาล” โดยผู้ฟ้องคดีทั้งสามถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล” การจัดกลุ่ม เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต้องมีการตรวจสอบติดตามบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสามถูกจัดให้เป็นฝ่ายตรงข้ามและเป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกมองจากเจ้าหน้าที่ทหารว่าเป็นอริราชศัตรูของประเทศ เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาล จนต้องอยู่ในบัญชีที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ ผิดกฎหมายละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามอย่างร้ายแรง ไม่เคยปรากฏว่ามีกองทัพในประเทศระบอบประชาธิปไตยใดในโลกที่ปฏิบัติเช่นนี้ต่อประชาชน
ทั้งที่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามหรือในภาวะเกิดความไม่สงบขึ้น ในราชอาณาจักร อันจะทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะทำการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารได้ ทั้งนี้ ปฏิบัติการข่าวสาร (10) นั้น โดยหลักสากลมีข้อห้ามมิให้รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารกับพลเมืองของประเทศตัวเอง เนื่องจากประชาชนไม่อาจมีสถานะเป็น “ศัตรูของชาติ” ได้ ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศต้นแบบ ปฏิบัติการ IO ระบุว่า การปฏิบัติการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของ PSYOP (psychological operations) หรือปฏิบัติการจิตวิทยากับพลเมืองสหรัฐ ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในหรือนอกประเทศ ไม่ว่าจะเวลาใดหรือในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตามจะกระทำมิได้ รวมทั้งมีกฎหมายห้ามมิให้รัฐ ใช้งบประมาณทางทหารใด ๆ เพื่อส่งอิทธิพลต่อความเห็นสาธารณะ
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่าข้อความที่เป็นการใส่ร้าย ใส่ความ ดูหมิ่น หมิ่นประมาทและกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง กระทำเพื่อสร้างความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในหมู่ประชาชน ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดย เจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ดำเนินการรวบรวมบัญชีโซเขียลมีเดียของผู้ฟ้องคดีทั้งสามและบุคคลอื่นตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 ที่ได้จัดให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามอยู่ในกลุ่ม "ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล" เพื่อขัดขวาง ปฏิเสธ โจมตี ด้อยคุณค่า หรือสร้างความเสียหายต่อข้อมูล/ข่าวสารต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบสื่อออนไลน์ของกลุ่มบุคคลผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง โดยอาศัยทรัพยากรของรัฐ ทั้งบประมาณแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ และเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลและข้อคิดเห็นและพยายามด้อยค่าผู้ฟ้องคดีทั้งสามในฐานะพลเมือง เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ทำให้สาธารณชณชนเข้าใจผิด
อีกทั้งเป็นการสร้างความเกลียดชังต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามต่อสาธารณะ เพื่อต้องการให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามยุติการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งมีการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาวไทยโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และสอดดคล้องกับหลักการสากลเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกันในระบอบประชาธิปไตย ถ้าไม่ได้มีการกำหนดห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่นแล้ว บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ การกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำหรือละเว้น การกระทำหรือละเว้นหรืองดเว้นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และหรือเจ้าหน้าที่ หรือผู้ใต้บังคับบัญชา หรือบุคคลอื่นใดที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลตามอำนาจหน้าที่ โดยจงใจหรือประมาท เลินเล่อ ปล่อยปละละเลย ให้มีการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามผ่านการโจมตีผ่านทางไซเบอร์ (cyber-bullying) ซึ่งถือเป็นวิธีหนึ่งในการทรมานทางจิตวิทยา ไม่ต่างกันกับการซ้อมทรมานทางกาย เนื่องจากเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเหยื่อในพื้นที่สาธารณะอย่างเป็นระบบ อีกทั้งในโลกออนไลน์ ผู้กระทำการยังไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวและอาศัยความเป็นนิรนาม ส่งผลให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเกิดความเครียดและวิตกกังวลเป็นระยะเวลานานเทียบเท่าได้กับการทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างหนักหน่วง จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต สร้างความเดือดร้อนเสียหายอย่างมาก และยังอาจส่งผลกระทบถึงบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะครอบครัว ทำให้ผู้ที่อ่านข้อความเกิดความเกลียดชังและเข้าใจผิดผู้ฟ้องคดีทั้งสาม ทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติคุณ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ต้องเดือดร้อนรำคาญ
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ดังนี้
1. ห้ามผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองและเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดของน้อกฟ้องคดีที่ 1 ดำเนินการปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ที่มีอยู่ในทุกปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ทั้งหมดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
2. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองถอนรายชื่อและบัญชีออนไลน์ทุกระบบของผู้ฟ้องคดีทั้งสามออกจากปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ที่มีอยู่ในทุกปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
3. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกับประกาศขอโทษผู้ฟ้องคดีทั้งสามและประชาชนกรณีจัดให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามและประชาชนอยู่ในกลุ่มชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล ในสื่อสิ่งพิมพ์สาธารณะรายวันทุกฉบับ และผ่านเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ทุกประเภทของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นเวลาติดต่อกันนาน 7 วัน ด้วยค่าไช้จ่ายของผู้ถูกฟ้องคดีเอง
ศาลออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 โดยได้รับฟังสรุป ข้อเท็จจริงของตุลาการเจ้าของสํานวน คําแถลงด้วยวาจาของคู่กรณี และคําชี้แจงด้วยวาจา ประกอบคําแถลงการณ์เป็นหนังสือของตุลาการผู้แถลงคดี
ศาลได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานในคําฟ้อง คําให้การ คําคัดค้านคําให้การ คําให้การเพิ่มเติมแล้ว
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามใช้สื่อออนไลน์ โดย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ใช้สื่อออนไลน์ทางเพจเฟซบุ๊ก ชื่อบัญชีว่า Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล และทวิตเตอร์ ชื่อบัญชีว่า สฤณี อาชวานันทกุล @Fringer
ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ใช้สื่อออนไลน์ส่วนตัวทางเฟซบุ๊ก ชื่อบัญชีว่า Yingcheep Atchanont ทวิตเตอร์ ชื่อบัญชีว่า ยิ่งชีพ (เป้า) @yingcheep และเพจเฟซบุ๊ก ILaw และทางทวิตเตอร์ @iLawclub และ @iLawfx
ผู้ฟ้องคดีที่ 3 ใช้สื่อออนไลน์ทาง เพจเฟซบุ๊ก ชื่อบัญชีว่า John Winyu และทวิตเตอร์ชื่อบัญชีว่า John Winyu @johnwinyu
ซึ่งมีผู้ติดตามสื่อออนไลน์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามในช่องทางต่าง ๆ ข้างต้นเป็นจํานวนมาก ผู้ฟ้องคดีทั้งสาม อ้างว่า ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการมีชื่อในบัญชีเฝ้าติดตามของปฏิบัติการข่าวสาร หรือ Information Operation (IO) โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่สร้างบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดียในลักษณะที่ไม่ระบุตัวตน (อวตาร) มุ่งแสดงข้อความหรือข้อมูลที่เป็นเท็จ โจมตี ใส่ร้าย ขัดขวาง ปฏิเสธ ทําให้ด้อยคุณค่า หรือสร้างความเสียหายต่อข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในระบบ สื่อออนไลน์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม ตัวอย่างการปฏิบัติการข่าวสารต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสาม เช่น ปรากฏ ข้อความ “#สฤณีโป๊ะแตก นักวิชาการกลวงหัวก้าวหน้าเจอสวน เงิบ” อันสื่อถึงผู้ฟ้องคดีที่ "ม็อบมุ้งมิ้งคือมีอบรับจ้าง" พร้อมปรากฏภาพและชื่อของผู้ฟ้องคดีที่ 6 หรือข้อความที่ว่า “ถ่อยได้พ่อ!?! #จอห์นวิญญู โชว์สันดานประชาติปไตย ด่ากราดคนเห็นต่าง ใครรัก รบ. เหมารวม ด่าหมด เสี้ยมเด็ก - เยาวชน ให้ปลุกม็อบ โถถถถ ขนาดตัวมึงเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ช่องมึง ถ้าไม่มีใครบริจาคจะอยู่ได้ไหม ยังด้านไปวิจารณ์คนอื่น” พร้อมปรากฏภาพของผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นต้น
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่า การกระทําดังกล่าวเป็นการกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องเป็นการปฏิบัติการสารสนเทศหรือปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) หรืออาจเรียกทั่วไปว่า IO ซึ่งเป็นการนําเอาพันธกิจการปฏิบัติการทางทหารหลาย ประการมาบูรณาการเพื่อสร้างผลกระทบต่อการคิดตัดสินใจของฝ่ายตรงข้าม หรือสร้างอิทธิพล ต่อการคิด การตกลงใจ จากข้อมูลข่าวสารและระบบสารสนเทศของฝ่ายตรงข้าม โดยการปฏิบัติการข่าวสารดังกล่าวมีการจัดผู้ฟ้องคดีทั้งสามอยู่ในกลุ่ม "ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล" ผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการกระทํา ที่ผิดกฎหมาย ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย และอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่น ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี ค.ศ. 1984 โดยมีผลใช้บังคับกับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 อันถือเป็นการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต้องรับผิดในผล แห่งการละเมิดที่เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ได้กระทําในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดกับผู้ฟ้องคดีทั้งสามตามพระราชบัญญัติความรับผิด ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564
@ ปัญหาต้องวินิจฉัยว่าทบ.กระทำละเมิดผู้ฟ้องคดีหรือไม่
ศาลได้ตรวจพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับเกี่ยวข้องประกอบด้วยแล้ว คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และ เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือไม่
หากกระทําละเมิด ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองและเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต้องหยุดดำเนินการปฏิบัติการ ข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ที่มีอยู่ในทุกปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ทั้งหมดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต้องถอนรายชื่อและบัญชีออนไลน์ทุกระบบ ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามออกจากปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ที่มีอยู่ในทุกปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต้องร่วมกันประกาศ ขอโทษผู้ฟ้องคดีทั้งสามและประชาชนกรณีจัดให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามและประชาชนอยู่ในกลุ่มชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาลในสื่อสิ่งพิมพ์สาธารณะรายวันทุกฉบับผ่านเว็บไซต์ และสื่อออนไลน์ทุกประเภทของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นเวลาติดต่อกันนาน 7 วัน ด้วยค่าใช้จ่ายของ ผู้ถูกฟ้องคดีเองหรือไม่ เพียงใด
@ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการทำ IO เพื่อโจมตีผู้เห็นต่างทางการเมือง ทบ. ไม่สามารถทำได้
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การปฏิบัติการข่าวสาร หรือ Information Operation (IO) นั้น โดยหลักสากลมีข้อห้ามมิให้รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารกับพลเมืองของประเทศตัวเอง เนื่องจากประชาชนไม่อาจมีสถานะเป็นศัตรูของชาติได้
ฉะนั้น การปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ในลักษณะที่กระทําเพื่อขัดขวาง ปฏิเสธ โจมตี ด้อยคุณค่า หรือ สร้างความเสียหายต่อข้อมูล/ข่าวสารต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบสื่อออนไลน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง โดยเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด โดยอาศัยงบประมาณแผ่นดินและทรัพยากรของรัฐที่มาจากภาษีประชาชนมาดําเนินการ เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐบาล โดยไม่ได้มุ่งหวังจะให้เกิดความสงบหรือความสามัคคีในหมู่ประชาชนอย่างแท้จริง และไม่ใช่ภารกิจรักษาความมั่งคงของรัฐของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ย่อมเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนพลเมืองโดยอํานาจรัฐ และการปฏิบัติต่อประชาชนพลเมืองดั่งเป็นอริราชศัตรูของประเทศย่อมมิอาจกระทําได้
ดังนั้น การปฏิบัติภารกิจด้านปฏิบัติการข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และ เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการเข้าถึง ติดตาม รวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนพลเมือง แล้วนําข้อมูลหรือคอนเทนต์ ข้อมูลความคิดเห็น การแสดงออกในสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียของประชาชนที่ปรากฏในสังคมออนไลน์นั้น มาวิเคราะห์รวมถึงการสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ เพื่อการสื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ ทบ. เพื่อให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และหน่วยงานความมั่นคง และเพื่อการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ และทําหน้าที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวปลอม หรือข่าวที่กระทบต่อความรู้ความเข้าใจของประชาชนในวงกว้าง อันเป็นการดําเนินการตามอํานาจหน้าที่และภารกิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง มิให้ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน อันอาจกลายเป็นการปฏิบัติการข่าวสาร หรือ Information Operation (IO) ที่ขัดหลักสากล หรือเป็นการใช้อํานาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือเป็นการใช้อํานาจที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ได้
@ ต้องพิจารณาว่าเอกสารเป็นเอกสารปลอมจริงหรือไม่
โดยที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่า บันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝกร.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.015/130 ลงวันที่ 25 เมษายน 2562 เรื่อง สรุปการเข้าอบรมให้ความรู้เพิ่มเติม กับคณะทํางานปฏิบัติการข่าวสาร ทภ.2
บันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.013/42 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะทํางาน ด้านการปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ทภ.2 ครั้งที่ 1 ประจําปีงบประมาณ 2563
และบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ป.6 ที่ กห 0482.2.40/422 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เป็นเอกสารปลอม
กรณีจึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณาก่อนว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมหรือไม่
พิเคราะห์ บันทึกข้อความส่วนราชการ ฝกร.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.015/130 ลงวันที่ 25 เมษายน 2562 เรื่อง สรุปการเข้าอบรมให้ความรู้เพิ่มเติม กับคณะทํางานปฏิบัติการข่าวสาร ทภ.2 ที่มีเนื้อหาสาระสําคัญคือ 1. ตามที่ ผบ.ม.7 ได้อนุมัติให้ ฝกร.ม.7 (ชุดปฏิบัติการข่าวสาร ม.7) เข้าอบรมให้ความรู้เพิ่มเติมกับคณะทํางานปฏิบัติการ ข่าวสารของ ทภ.2 ซึ่งมีวิทยากรจาก ทบ. เข้ามาดําเนินการอบรม ณ ห้องอบรม กอ.รมน.ภาค 2 เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2562 นั้น สรุปผลได้ว่า
1.1 การปฏิบัติการข่าวสารที่หน่วยเหนือมอบให้ แต่ละวัน ขอให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการโพสต์ตามความเหมาะสม ไม่จําเป็นต้องโพสต์เรียงลําดับ หัวข้อตามภารกิจที่มอบให้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเป็นอวตารและโดนสแปม
1.2 หลักในการพิจารณาข่าวปลอมของฝ่ายตรงข้าม หัวข้อข่าว ลิงก์ที่กระโดดขึ้นมาในเฟส ความสัมพันธ์ของรูปภาพกับข้อความ การสะกดคํา เขียนคําผิด วันที่ของข่าว ตรวจสอบที่มาหรือ เปรียบเทียบกับแหล่งข่าวอื่น
1.3 ปัญหา/ข้อเสนอแนะ
1.3.1 เฟซอวตารที่สร้างขึ้นมาจะโดน สแปมเนื่องจากฝ่ายตรงข้ามจับได้หรือบัญชีผู้ใช้ปลอมหรือโพสต์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
1.3.2 เจ้าหน้าที่ควรมีหลายอวตารเพื่อตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามและพลีชีพ
1.3.3 เฟสอวตารที่สร้างขึ้นมา ไม่ควรเกี่ยวพันกับเฟสของตนเองเพราะเสี่ยงต่อการถูกจับได้ 2. ฝกร.ม.) พิจารณาจัดชุด ปฏิบัติการข่าวจํานวน 5 นาย สนับสนุนงบประมาณค่าโทรศัพท์/อินเตอร์เน็ต ให้กับชุดปฏิบัติการ ข่าวสารทุกสิ้นเดือน ๆ ละ 2,000 บาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2562 จนกว่าจะจบภารกิจ
บันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.013/42 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะทํางานด้านการปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ทภ.2 ครั้งที่ 1 ประจําปีงบประมาณ 2563 และบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ป.6 ที่ กห 0442.2.40/422 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะทํางานด้านการปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และ การปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ทภ.2 ครั้งที่ 1 ประจําปีงบประมาณ 2563 มีเนื้อหาสาระสําคัญ เหมือนกัน คือ
1. ข้อสั่งการของ พล.ท. พันธุ์พิศิษฐ์ ทรรพวสุ คือ
1.1 ให้หน่วยระดับกองพล และระดับกรมตรวจสอบ ยืนยันตัวตนของผู้ปฏิบัติการข่าวสารที่ได้จัดตั้งไว้หน่วยละ 5 นาย โดยให้ ผบ.หน่วยเป็นผู้รับผิดชอบ หากตรวจพบความไม่เหมาะสมก็ให้เปลี่ยนตัวในทันที โดยให้ตรวจสอบยืนยันและส่งให้ ผปขส.ศปก.ทภ.2 ทราบในทุกวันที่ 5 ของเดือน
1.2 ผู้ที่ปฏิบัติงาน ข่าวสารที่มีชื่อในบัญชีรายชื่อที่หน่วยได้ตรวจสอบและยืนยันแล้วให้กําหนดเป็นหมายเลขรหัส ประจําตัวแทนการใช้ชื่อจริง (เพื่อพราง)
1.3 ให้สนับสนุนค่าใช้จ่ายที่จําเป็น (ค่าโทรศัพท์) ให้กับ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการข่าวสารที่กองทัพบกจัดสรรให้
2. ฝยก.ม.7 และ ผบ.ป.6 ตามลําดับ ได้พิจารณาอนุมัติให้ออกคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ และคณะทํางานด้านปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ตามร่างคําสั่งที่แนบ เพื่อปฏิบัติตามที่ ผบ. ศปก.ทภ.2 สั่งการ
บันทึกข้อความ ส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฯ) ด่วนมาก ที่ กห 0403/4399 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2563 เรื่อง ขออนุมัติแนวความคิด การสร้างการรับรู้และความเข้าใจของ ทบ. ที่มีเนื้อหาสาระสําคัญ คือ
1. ขออนุมัติแนวคิด การสร้างการรับรู้และความเข้าใจของ ทบ.
1.1 วัตถุประสงค์ การสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ของ ทบ. มุ่งหมายเพื่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ ทบ. เพื่อให้กลุ่มผู้รับข้อมูล เกิดการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ ทบ., ทท. และหน่วยงานความมั่นคง
1.2 แนวทางในการดําเนินการ แยกงานการสร้างการรับรู้และความ เข้าใจของ ทบ. ออกจากงานการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) เพื่อป้องกันการ เข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากการปฏิบัติการข่าวสารเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทางด้านยุทธการหรือการปฏิบัติการรบที่มุ่งกระทําต่อฝ่ายตรงข้ามหรือภัยคุกคามที่กําหนด
2. ข้อเท็จจริง ทบ. ได้จัดทําคู่มือการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) ตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการปรับปรุง...
และบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารฯ) ที่ กห 0403/6533 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563 เรื่อง ขออนุมัติแนวทาง การสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม คศ. ที่มีเนื้อหาสาระสําคัญ คือ
1. ข้อเท็จจริง
1.1 คศ. ได้จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพื่อเป็นกลไกการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีหน้าที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง เมื่อได้รับการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับข่าวปลอม หรือปรากฏว่ามีข่าวปลอมที่กระทบต่อความรู้ความเข้าใจของประชาชนในวงกว้าง
ทั้งนี้ ได้มีการแบ่งประเภทและกําหนดลักษณะของข่าวออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ ข่าวปลอม (กํากับโดยป้ายสีแดง) ข่าวบิดเบือน (กํากับโดยป้ายสีส้ม) และข่าวจริง (กํากับโดยป้ายสีเขียว) 1.2 คศ. ได้มีหนังสือถึง รมว.กห. ขอความร่วมมือหน่วยงานในสังกัด กห. ในการตรวจสอบและ ส่งข้อเท็จจริงให้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม คศ. ภายใน 3 ชั่วโมง เมื่อได้รับการประสาน โดยหน่วยงาน ที่ได้รับผลกระทบจากข่าวปลอม สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษต่อศูนย์ปราบปรามอาชญากรรม ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Police Cyber Taskforce : PCT) ตร. ในลักษณะคู่ขนานโดยตรง.... แล้ว
@ ศาลเห็นว่าที่ ทบ. แย้งว่าเป็นเอกสารปลอมแต่ไม่แจ้งความ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าเอกสารเป็นของปลอม
เห็นว่า รูปแบบของเอกสารข้างต้นเป็นไปตามรูปแบบเอกสารราชการ มีการระบุเลขหน่วยงานราชการครบถ้วน มีการลงนามของผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามลําดับเกี่ยวเนื่องกัน ตลอดจนเนื้อหาสาระในบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝกร.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.015/130 ลงวันที่ 25 เมษายน 2562 เรื่อง สรุปการเข้าอบรมให้ความรู้เพิ่มเติมกับคณะทํางานปฏิบัติการข่าวสาร ทภ.2 บันทึก ข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.013/42 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะทํางานด้านการปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และ การปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ทภ.2 ครั้งที่ 1 ประจําปีงบประมาณ 2563 และบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ป.6 ที่ กห 0482.2.40/422 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ทั้งสามฉบับ มีเนื้อหาสาระสําคัญสอดคล้องกัน และสอดคล้องกับเนื้อหาสาระสําคัญในบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฯ) ที่ กห 0403/4399 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2563 เรื่อง ขออนุมัติแนวคิดการสร้างการรับรู้และความเข้าใจของ ทบ. และบันทึก ข้อความ ส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฯ) ที่ กห 0403/6533 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563 เรื่อง ขออนุมัติแนวทางการสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์ ต่อต้านข่าวปลอม ดศ.
ที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้โต้แย้งความมีอยู่ของเอกสารทั้งสองฉบับนี้ ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเพียงโต้แย้งว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม โดยอ้างตามหนังสือ ด่วนมาก ที่ กห 0403/70 ลงวันที่ 20 เมษายน 2564 เรื่อง รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเอกสารทางราชการที่ถูกใช้ในการกล่าวหาอดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่มีเนื้อหาสาระสําคัญคือ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยกองทัพภาคที่ 2 ได้ทําการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เอกสารดังกล่าวแล้วไม่พบว่ามีเอกสารทางราชการของหน่วยที่กล่าวถึงสรุปผลการประชุม คณะทํางานฯ แต่อย่างใด คาดว่าอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จัดทําเอกสารปลอมแปลง เลียนแบบเอกสารของทางราชการขึ้นมาเพื่อทําให้ภาพลักษณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เสียหาย
แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (Police Cyber Taskforce : PCT) เพื่อให้หาตัวผู้กระทําความผิดตามที่กล่าวอ้าง ตามแนวปฏิบัติในบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารฯ) ที่ กห 0403/6533 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563 เรื่อง ขออนุมัติแนวทาง การสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม คศ. แต่อย่างใด
ข้อโต้แย้งดังกล่าวของ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างความมีอยู่ของเอกสารดังกล่าวที่มีความสอดคล้องต้องกันกับเอกสารฉบับอื่นที่มีอยู่จริง และความสอดคล้องต้องกันของเนื้อหาสาระสําคัญ ในเอกสารที่สอดคล้องกับภาระหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง กรณีจึงรับฟังไม่ได้ว่าเอกสารดังกล่าว เป็นเอกสารปลอมตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้าง
@ ปัญหาต้องวินิจฉัยว่าทบ.จัดให้มีจนท.ทำ IO หรือไม่
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้ทํางานปฏิบัติการข่าวสารในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หรือไม่
ซึ่งเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า รับฟังไม่ได้ว่า บันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝกร.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.015/130 ลงวันที่ 25 เมษายน 2562 เรื่อง สรุปการเข้าอบรมให้ความรู้เพิ่มเติมกับคณะทํางานปฏิบัติการข่าวสาร ทภ.2
บันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.013/42 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะทํางานด้านการปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ทภ.2 ครั้งที่ 1 ประจําปีงบประมาณ 2563
และบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ป.6 ที่ กห 0442.2.40/422 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เป็นเอกสารปลอม
เนื้อหาสาระสําคัญในบันทึกข้อความข้างต้นจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ประกอบกับได้พิจารณาบันทึกข้อความส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารฯ) ที่ กห 0403/4399 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2563 ที่มีเนื้อหาสาระสําคัญ คือ ให้แยกงานการสร้างการรับรู้และความเข้าใจของ ทบ. ออกจากงานการปฏิบัติการ ข่าวสาร (Information Operation) เพื่อการสร้างการรับรู้และความเข้าใจของ ทบ. มุ่งหมายเพื่อ สื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ ทบ. เพื่อให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดการรับรู้และ ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ ทบ., ทท. และหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งเนื้อความดังกล่าวก็แสดงให้เห็นถึงความมีอยู่ของงานการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation)
สอดคล้องกับบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝกร.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.015/130 ลงวันที่ 25 เมษายน 2562 เรื่อง สรุปการเข้าอบรมให้ความรู้เพิ่มเติม กับคณะทํางานปฏิบัติการข่าวสาร ทภ.2 ที่มีเนื้อหาสาระสําคัญคือ ผบ.ม.7 ได้อนุมัติให้ ฝกร.ม.) (ชุดปฏิบัติการข่าวสาร ม.7) เข้าอบรมให้ความรู้เพิ่มเติมกับคณะทํางานปฏิบัติการข่าวสารของ ทภ.2 และสอดคล้องกับบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.013/42 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 และบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก. ป.5 ที่ กห 0482.2.40/422 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะทํางานด้านการปฏิบัติการข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ทภ.2 ครั้งที่ 1 ประจําปีงบประมาณ 2563 ที่มี เนื้อหาสาระสําคัญคือ ฝยก.ม.7 และ ผบ.ป.6 ตามลําดับ ได้พิจารณาอนุมัติให้ออกคําสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการ และคณะทํางานด้านปฏิบัติการข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ ตามร่างคําสั่งที่แนบ เพื่อปฏิบัติตามที่ ผบ.ศปก.ทภ.2 ได้สั่งการ อันแสดงให้เห็นถึงความมีอยู่ของงาน การปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
@ ทบ. จัดให้มีจนท.ใช้ IO จริง
จึงรับฟังว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้ทํางานปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เพื่อทํางานด้านปฏิบัติการข่าวสารประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์อยู่ก่อนแล้ว และมีแผนการแยกงานการสื่อสาร ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ ทบ. เพื่อให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ ทบ., ทท. และหน่วยงานความมั่นคง อันมีลักษณะเป็นงานประชาสัมพันธ์ออกจากงานการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation)
@ ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ทบ. รวบรวมบัญชีโซเชียลประชาชนหรือไม่ และการกระทำข้างต้นผิดกม.หรือไม่
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีการเข้าถึง ติดตาม รวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนจํานวนมาก รวมถึงผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือไม่ และการกระทําดังกล่าวเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย (Social Media) คือแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเข้ามาสร้างสรรค์และแบ่งปันคอนเทนต์เกี่ยวกับ เรื่องราวที่ตนเองสนใจให้แก่เพื่อน ๆ หรือสาธารณชนได้เห็นอย่างรวดเร็ว รวมถึงเป็นพื้นที่ที่ได้ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่ได้ถูกนํามาเผยแพร่ไว้ในสื่อ โซเชียลด้วย เป็นการเชื่อมโยงผู้คนในโครงข่ายเข้าด้วยกัน เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าไปแสดง ความคิดเห็น กดไลก์ กดแชร์ ในคอนเทนต์ที่คนอื่นได้แบ่งปันไว้ และเป็นคอนเทนต์ที่ตนเองสนใจ ทั้งยังสามารถกดติดตามบุคคลอื่น ๆ ที่ชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน หรือบุคคลที่มักสร้างสรรค์คอนเทนต์ ในแบบที่ตนเองชื่นชอบได้อีกด้วย เช่น Facebook, Instagram, X และ TikTok เป็นต้น โซเชียลมีเดียเป็นรูปแบบการสื่อสารที่มีบทบาทในชีวิตของคนในสังคมมากขึ้นทุกทีด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น ติดต่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น หาข้อมูลข่าวสารที่ต้องการทราบ ติดต่อธุระ ใช้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เป็นวิธีการรับมือกับความเครียด โซเชียลมีเดียช่วยย่อโลกให้เล็กลง เพิ่มความสะดวกสบาย ติดต่อกันง่ายขึ้น เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพียงแค่กดปุ่มสัมผัสที่ปลายนิ้ว โซเชียลมีเดียมีข้อดีอีกหลายอย่างที่ทําให้ผู้คนใช้โซเชียลมีเดียใกล้ชิดกันมากขึ้น เรื่อย ๆ
แต่การใช้โซเชียลมีเดียก็มีข้อเสียหลายอย่างที่ตามมาและที่ต้องเฝ้าระวัง ตัวอย่างเช่น การกลั่นแกล้งและคุกคาม (Cyberbullying and OnlineHarassment) การถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงอาจมีการเผยแพร่ข่าวปลอมที่กระทบต่อความรู้ความเข้าใจของประชาชนในวงกว้าง ฉะนั้น นอกจากหน่วยงานของรัฐ รวมถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง จะใช้ประโยชน์จากการมีโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ หรือนําเสนอข้อมูลข่าวสารของตนในเชิงบวก
ดังเช่นกรณีตามบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารฯ) ที่ กห 0403/4399 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2563 ที่มีเนื้อหาสาระสําคัญคือ ให้แยกงานการสร้างการรับรู้และความเข้าใจของ ทบ. ออกจากงานการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) เพื่อการสร้างการรับรู้และความเข้าใจของ ทบ. มุ่งหมายเพื่อสื่อสาร ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ ทบ. เพื่อให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดการรับรู้และความเข้าใจ ที่ถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ ทบ., ทท. และหน่วยงาน ความมั่นคงแล้ว หน่วยงานของรัฐรวมถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ยังต้องทําหน้าที่กํากับดูแล เฝ้าระวังป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐและประชาชน อันเนื่องมาจากการใช้โซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน
ดังเช่นกรณีตามบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ยก.ทบ. (กองเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารฯ) ที่ กห 0403/6533 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563 ที่เกี่ยวกับการกําหนดแนวทางการสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม คศ. ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) มีการจัดตั้งตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพื่อเป็นกลไกการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์โดยมีหน้าที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง เมื่อได้รับการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับข่าวปลอม หรือปรากฏว่ามีข่าวปลอมที่กระทบต่อความรู้ความเข้าใจของประชาชนในวงกว้าง
เห็นได้ว่า การดําเนินการสื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 1 เพื่อให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุน การปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และหน่วยงานความมั่นคง อันมีลักษณะเช่นเดียวกันกับ หน่วยงานอื่นหรือองค์กรภาคเอกชนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อการสื่อสาร สร้างภาพลักษณ์ ให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับตน อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรนั้น เพียงแต่อาจใช้ชื่องานดังกล่าวแตกต่างกันไป เช่น งานสร้างภาพลักษณ์องค์กร ฝ่ายประชาสัมพันธ์ แผนกสารสนเทศ กองสารนิเทศ หรือคณะทํางานโฆษก เป็นต้น
อีกทั้ง การดําเนินการสื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อการสื่อสาร เพื่อให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และหน่วยงานความมั่นคง และการดําเนินการของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) ซึ่งเป็นกลไกการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตและ สื่อสังคมออนไลน์ โดยทําหน้าที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับข่าวปลอม หรือข่าวที่กระทบต่อความรู้ความเข้าใจของประชาชนในวงกว้าง ก็มีลักษณะกระบวนการดําเนินงานเช่นเดียวกันกับองค์กรเอกชน คือ การเข้าถึงแหล่งข้อมูลการตรวจสอบข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ต่อองค์กรของตน
ซึ่งเมื่อพิจารณาภารกิจดังกล่าวประกอบกับบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ม.7 ที่ กห 0482.13.1.013/42 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 และบันทึกข้อความ ส่วนราชการ ฝยก.ป.6 ที่ กห 0482.2.40/422 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่มีเนื้อหาสาระสําคัญคือ ฝยก.ม.7 และ ผบ.ป.6 ตามลําดับ ได้พิจารณาอนุมัติให้ออกคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการและ คณะทํางานด้านปฏิบัติการข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ตามร่างคําสั่ง ที่แนบ เพื่อปฏิบัติตามที่ ผบ.ศปก.ทภ.2 ได้สั่งการ
พออนุมานได้ว่า ในกระบวนการดําเนินงานของ คณะทํางานด้านการปฏิบัติการข่าวสารประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ย่อมต้องมีการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, X (Twitter) และ TikTok ของประชาชนจํานวนมาก จากนั้นย่อมคาดเห็นได้ว่า คณะกรรมการและคณะทํางานด้านปฏิบัติการข่าวสาร ต้องมีการนําข้อมูลความคิดเห็น ข้อมูลหรือคอนเทนต์ การแสดงออกในสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียของประชาชนจํานวนมากที่ปรากฏ ในสังคมออนไลน์นั้นมาวิเคราะห์รวมถึงการนํามาสังเคราะห์เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ต่อไป เช่นเดียวกันกับกระบวนการดําเนินงานขององค์กรเอกชนที่ก็ต้องมีการนําข้อมูลความคิดเห็น ข้อมูลหรือคอนเทนต์ การแสดงออกในสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียของประชาชนจํานวนมาก ที่ปรากฏในสังคมออนไลน์นั้น มาวิเคราะห์ แยกแยะ จําแนกกลุ่มบุคคลดังกล่าวตามข้อมูลความเชื่อทัศนคติแต่ละด้าน รวมถึงทางด้านการเมือง ความชอบ ความไม่ชอบ ความต้องการ ไม่ต้องการ อาหารการกิน รถยนต์ พาหนะ การเดินทาง แฟชั่น รสนิยมของแต่ละบุคคลตามข้อมูลความคิดเห็น ที่โพสต์เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในด้านการตลาด
โดยที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นผู้ที่มักจะมีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองกับรัฐบาล และผู้ฟ้องคดีทั้งสามมีบัญชีสื่อออนไลน์เฟซบุ๊กและบัญชีทวิตเตอร์ ซึ่งบัญชีของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นบัญชีมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียจํานวนมาก จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามจะเป็นส่วนหนึ่งของประชาชนจํานวนมากที่ปรากฏในสังคมออนไลน์ที่คณะทํางานด้านปฏิบัติการ ข่าวสารประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะให้ความสนใจ ใส่ใจ เข้าถึง ติดตาม ในสังคมออนไลน์
@ รับฟังไม่ได้ว่าการที่ ทบ.รวบรวมบัญชีโซเชียลของประชาชนและผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กรณีจึงเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ มีการเข้าถึง ติดตาม รวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดีย แล้วนําข้อมูลหรือคอนเทนต์ ข้อมูลความคิดเห็น การแสดงออกในสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียที่ปรากฏในสังคมออนไลน์นั้นมาวิเคราะห์รวมถึง การสังเคราะห์เพื่อนําาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อไป เช่น อาจนำไปเป็นข้อมูลในการดําาเนินการเพื่อการ สื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ ทบ. เพื่อให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดการรับรู้และ ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ หน่วยงานความมั่นคง และเพื่อการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่ในระบบอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคม ออนไลน์ และทําหน้าที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ข่าวปลอม หรือข่าวที่กระทบต่อความรู้ความเข้าใจของประชาชนในวงกว้าง อันเป็นการ ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่และภารกิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติ จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 อีกทั้ง บัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม เป็นบัญชีโซเชียลมีเดียที่เปิดให้สาธารณชนเข้าถึงได้ ซึ่งหมายถึงทุกคนได้รับอนุญาตโดยปริยาย จากเจ้าของบัญชีให้เข้าถึงได้ ไม่ปิดกั้นการเข้าถึงไม่ว่าบุคคลใด
ฉะนั้น เจ้าหน้าที่ในสังกัดของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็อาจเข้าถึง ติดตามบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป กรณีจึงรับฟังไม่ได้ว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีการเข้าถึง ติดตาม รวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนจำนวนมาก รวมถึงผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
@ ไม่อาจรับฟังได้ว่า มีการจัดกลุ่มบัญชี “ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล” และ “ชุดบุคคลที่เป็นบวกกับรัฐบาล”
ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จัดกลุ่มบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนจํานวนมาก รวมถึง ผู้ฟ้องคดีทั้งสามออกเป็น “ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล” และ “ชุดบุคคลที่เป็นบวกกับรัฐบาล” โดยผู้ฟ้องคดีทั้งสามถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล” นั้น
เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวมีที่มาจากข้อมูลที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร) เตรียมไว้สําหรับ การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา) ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบบังคับบัญชาหรือกํากับดูแลผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และเจ้าหน้าที่ทหารในขณะนั้น แต่ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงการรวบรวมลิงก์ URL ของข้อมูลหรือคอนเทนต์ ข้อมูลความคิดเห็น การแสดงออกในสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย (การโพสต์) ที่ปรากฏในสังคมออนไลน์นั้นมาวิเคราะห์แล้วสังเคราะห์โดยจัดเป็น “กลุ่มลิงก์ URL ของข้อมูล หรือคอนเทนต์ หรือข่าว หรือข้อมูลความคิดเห็น การแสดงออกในสังคมออนไลน์ (การโพสต์) ที่เป็นบวกกับรัฐบาล” และ “กลุ่มลิงก์ URL ของข้อมูลหรือคอนเทนต์ หรือข่าวหรือข้อมูล ความคิดเห็น การแสดงออกในสังคมออนไลน์ (การโพสต์) ที่เป็นลบกับรัฐบาล”
แม้ว่าจะปรากฏชื่อบุคคลผู้แสดงความเห็นหรือที่มาของโพสต์นั้น ๆ ก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่า เป็นการจัดกลุ่ม โดยยึดถือเอาข้อมูลที่แสดงออกในสังคมออนไลน์เป็นสําคัญ มิใช่การจัดกลุ่มโดยยึดถือเอาตัว บุคคลผู้แสดงความเห็นหรือที่มาของโพสต์นั้น ๆ เป็นสําคัญ โดย ลิงก์ (Link) URL (Uniform Resource Locator) เป็นที่อยู่ของเว็บที่ใช้ระบุตําแหน่งของแหล่งข้อมูลเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต เช่น หน้าเว็บ วิดีโอ หรือไฟล์ เปรียบเสมือนที่อยู่ของบ้าน ซึ่งทําให้เว็บเบราว์เซอร์สามารถค้นหาและ เข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างถูกต้องเมื่อมีการพิมพ์ URL ในแถบที่อยู่หรือคลิกที่ลิงก์ เบราว์เซอร์ จะใช้ URL นั้นเพื่อนําไปยังหน้าหรือไฟล์ที่แสดงข้อมูลหรือคอนเทนต์ ข้อมูลความคิดเห็น การแสดงออกในสังคมออนไลน์นั้น ซึ่งการจัดกลุ่มหรือจัดชุดดังกล่าว เป็นการจัดกลุ่มหรือจัดชุดข้อมูลตามลิงก์ URL (Uniform Resource Locator) อันเป็นที่อยู่ของเว็บที่ใช้ระบุตําแหน่งของ แหล่งข้อมูลเฉพาะบนอินเทอร์เน็ตที่แสดงข้อมูลหรือข้อความข่าวสารที่เป็นลบหรือเป็นบวกกับรัฐบาล เช่น ชุดที่ 12 เป็นลบกับรัฐบาล ปรากฏลิงก์ URL ที่นําไปสู่หน้าที่แสดงข้อมูลข่าวที่เป็นลบกับ รัฐบาลในการนําเสนอข่าวของสื่อมวลชน เช่น https://www.facebook.com/Matic... นําไปยังหน้า เฟซบุ๊กของข่าวมติชนออนไลน์ที่มีการแสดงข้อมูลหรือความคิดเห็นที่เป็นลบกับรัฐบาล https://www.facebook.com/Posttoday/... นําไปยังหน้าข่าวของโพสต์ทูเดย์ที่มีการแสดง ข้อมูลหรือความคิดเห็นที่เป็นลบกับรัฐบาล
และ https://www.facebook.com/tnamcot/... นําไปยังหน้าข่าวของสํานักข่าวไทยที่มีการแสดงข้อมูลหรือความคิดเห็นที่เป็นลบกับรัฐบาล เป็นต้น
ซึ่งเห็นได้ว่า แม้ว่าสํานักข่าวไทยจะเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่โดยปกติแล้วจะนําเสนอข้อมูล ข่าวสารที่เป็นบวกกับรัฐบาล และโดยปกติควรต้องถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “เป็นบวกกับรัฐบาล” แต่ในครั้งนี้ที่มีการนําเสนอข้อมูลหรือข้อความข่าวสารที่เป็นลบกับรัฐบาล จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “เป็นลบกับรัฐบาล”
กรณีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า มีการจัดกลุ่มบัญชี “ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล” และ “ชุดบุคคลที่เป็นบวกกับรัฐบาล” โดยผู้ฟ้องคดีทั้งสามถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล ตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้าง
@ ปัญหาต้องวินิจฉัยว่าทบ.ให้จนท.โพสต์ใส่ร้ายผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือไม่
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และ เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้ทําการโพสต์ข้อความไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้าย ป้ายสีใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงในบัญชีสังคมออนไลน์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือไม่
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ใช้สื่อออนไลน์ทางเพจเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อว่า “Sarinee Achavanuntakul-สฤณี อาชวานันทกุล” มียอดผู้ติดตามกว่า 110,000 บัญชี และทวิตเตอร์ ใช้บัญชีชื่อว่า “สฤณี อาชวานันทกุล @Fringer” มียอดผู้ติดตามกว่า 268,000 บัญชี เพื่อสื่อสารในประเด็นสาธารณะต่าง ๆ ได้ พบว่า มีบัญชีสื่อออนไลน์จํานวนหนึ่งที่ซึ่งมีการนําเสนอข้อความ แสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 โดยไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จและเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง สร้างความไม่ชอบธรรมในการใช้สิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 เช่น เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2562 ข้อความ ในเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อ “ขบวนการเสรีไทย” ซึ่งเข้าไปดูได้ที่ https://www.facebook.com/serithai.net/ posts/2425575727497842 ได้โพสต์ข้อความไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสีใส่ความ ด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ด้วยข้อความว่า “ป้าไม่เงิบ ป้าไม่แหก ป้าไม่โป๊ะแตก ป้าไม่รู้สึกอะไรเลย ป้าแกร่งทนทานไปเสีย ทุกอณู” ในภาพแสดงข้อความว่า #สฤณีโป๊ะแตก นักวิชาการกลวงหัวก้าวหน้า เจอสวน เงิบ “เป็นนักวิชาการพูดความจริงอย่ากั๊ก...” และภาพของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นต้น
ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ใช้สื่อออนไลน์ส่วนตัวทางเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อว่า “Yingcheep Atchanont มีผู้ติดตาม 12,738 คน และทวิตเตอร์ ใช้ชื่อบัญชีว่า “ยิ่งชีพ (เป้า) @yingcheep” มีผู้ติดตาม กว่า 68,000 บัญชี และเพจเฟซบุ๊ก ของ “Law” มีจํานวนยอดกดไลค์กว่า 360,000 ส่วนทางทวิตเตอร์ มีผู้ติดตาม @iLawclub จํานวน 172,062 บัญชี และ @iLawfx จํานวน 188,279 บัญชี โดยบัญชีสังคมออนไลน์ส่วนตัวได้สื่อสารข่าวสาร ความคิดเห็นด้านต่าง ๆ ทั้งในประเด็นสาธารณะและความคิดเห็นส่วนตัวสําหรับบัญชีสังคมออนไลน์ของ iLaw เป็นพื้นที่ เพื่อสื่อสารประเด็นเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการเสนอแก้ไขกฎหมาย นําเสนอข้อมูลผลกระทบของประชาชนที่เกิดจากการแสดงความคิดเห็นต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและการกระทําของเจ้าหน้าที่ เพื่อสื่อสารในประเด็น สาธารณะต่าง ๆ ได้พบว่า มีบัญชีสื่อออนไลน์จำนวนหนึ่งที่มีการนําเสนอข้อความ แสดงความเห็น ที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีที่ 2 โดยไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง สร้างความไม่ชอบธรรม ในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต่อผู้ฟ้องคดีที่ 2 เช่น เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2513 ข้อความในเพจเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า “กูดูออก” ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ที่ https://www.facebook.com/ 254692111241052/posts/3301523546557878/?d=n ได้โพสต์ข้อความไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสีใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความ อันฝ่าฝืนต่อความจริง ข้อความว่า “แฉ คนอมเงินม็อบนักศึกษาที่ภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ พูดถึง ใครเป็นใคร เปิดเผยกันหมดเปลือก “ก็ประชาธิปไตย มันแดกไม่ได้นี่คะ” เพนกวิน พริษฐ์ฯ กล่าวเอาไว้ โดยเจ๊จุก คลองสาม โอ้ว.... แซ่บมากแฉกันสุดเหวี่ยงม็อบมุ้งมิ้งเติมเงิน ...ตอนนี้น้องจอน ที่เคยรับจ้างมาอดข้าว แล้วถูกอมเงินค่าจ้าง 90% ต้องขอหลบเก็บตัวในเซพเฮาส์ชั่วคราว เพราะ ถูกกบฏฝ่ายแค้น และริเบอร่าน งชาติข่มขู่คุกคามจะทําร้ายปิดปากฐานแฉวงการม็อบจนวงแตก เสียศูนย์ต้องชลอเบรคจ้างม็อบไว้ก่อนให้คนลืม ...คราวนี้เปิดตัวเจ๊คลองสาม เจ้าแม่ม็อบจอมแฉ คนใหม่ แซ่บมากขึ้น แฉว่าแกนนําแต่ละคนได้ค่าจ้างหลักแสนต่อครั้ง ซื้อบ้าน รถ หรูหรา และ เงินไหลผ่านผู้แทนฝ่ายแค้นคนดังที่เคยชกตํารวจ...เส้นทางการเงินไหลไปหาคนจ่ายในม็อบใครบ้าง อธิบายยิบ และตือโป้ยก่ายนั้นไม่มีอุดมการณ์อะไรทั้งนั้น ทําเพื่อเงินล้วน ๆ และนางเป็นตุ่ย...กิ้วๆๆ #ม็อบมุ้งมิ้งคือม็อบรับจ้าง” พร้อมแนบภาพซึ่งปรากฏภาพและชื่อของผู้ฟ้องคดีที่ 2 เพื่อให้ ผู้ที่เข้ามา อ่านเกิดความเข้าใจผิดว่าผู้ฟ้องคดีที่ 2 เกี่ยวข้องกับเงินในการชุมนุมของนักศึกษา ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 2 ไม่มี ส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นต้น
ผู้ฟ้องคดีที่ 3 มีสื่อออนไลน์ทางเพจเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อว่า “John Winyu” มียอด ผู้ติดตามกว่า 290,000 คน และทวิตเตอร์ ใช้ชื่อว่า “John Winyu @johnwinyu” มียอด ผู้ติดตามกว่า 1.6 ล้านบัญชี เพื่อสื่อสารในประเด็นสาธารณะต่าง ๆ ได้พบว่ามีบัญชีสื่อออนไลน์ จํานวนหนึ่งที่นําเสนอข้อความที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีที่ 3 โดยไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงได้โพสต์ข้อความไม่ถูกต้อง บิดเบือน สร้างความไม่ชอบธรรมในการทํางานด้านสื่อสารมวลชนและสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ต่อผู้ฟ้องคดีที่ 3 เช่น เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2563 ข้อความในเพจ Dr.X ซึ่งสามารถเข้าไปดู ได้ที่ https://www.facebook.com/194845861313077/posts 713279599469698/ และเป็นการกล่าวหรือ ไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ข้อความว่า “ถ่อยได้พ่อ !?! #จอห์นวิญญู โชว์สันดานประชาติปไตย ด่ากราดคนเห็นต่าง ใครรัก รบ. เหมารวมค่าหมด เสี้ยมเด็ก-เยาวชน ให้ปลุกม็อบ โถถถถ ขนาดตัวมึงเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ช่องมึงถ้าไม่มีใครบริจาคจะอยู่ได้ไหม ยังด้านไปวิจารณ์คนอื่น” พร้อมแนบภาพผู้ฟ้องคดีที่ 3 มีข้อความด้านบนภาพว่า “ศาลดาของ พวกร่าน #จอห์นวิญญู เสี้ยม เด็กด่า รบ.ปลุกม็อบ ลําพังทําอะไรไม่ได้-ตัวถึงยังรับบริจาคอยู่เลย?” ด้านล่างเป็นชื่อบัญชีของรายการ daily topics ซึ่งเป็นรายการของผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นต้น
เห็นว่า ดังได้กล่าวมาในข้างต้นแล้วว่า สื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย (Social Media) คือแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเข้ามาสร้างสรรค์และแบ่งปันคอนเทนต์ เกี่ยวกับเรื่องราวที่ตนเองสนใจให้แก่เพื่อน ๆ หรือสาธารณชนได้เห็นอย่างรวดเร็ว รวมถึงเป็นพื้นที่ ที่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่ได้ถูกนํามาเผยแพร่ไว้ในสื่อโซเชียลด้วย เป็นการเชื่อมโยงผู้คนในโครงข่ายเข้าด้วยกัน เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าไป แสดงความคิดเห็น กดไลท์ กดแชร์ ในคอนเทนต์ที่คนอื่นได้แบ่งปันไว้ และเป็นคอนเทนต์ที่ตนเอง สนใจ ทั้งยังสามารถกดติดตามบุคคลอื่น ๆ ที่ชื่นชอบในเรื่องเดียวกัน หรือว่าบุคคลที่มัก สร้างสรรค์คอนเทนต์ในแบบที่ตนเองชื่นชอบได้อีกด้วย โซเชียลมีเดียช่วยย่อโลกให้เล็กลง เพิ่มความสะดวกสบาย ติดต่อกันง่ายขึ้น เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ โซเชียลมีเดียมีข้อดีอีกหลายอย่าง ที่ทําให้ผู้คนใช้โซเชียลมีเดียใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่การใช้โซเชียลมีเดียก็มีข้อเสียหลายอย่าง ที่ตามมาและที่ต้องเฝ้าระวัง ตัวอย่าง เช่น การกลั่นแกล้งและคุกคาม การถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงอาจมีการเผยแพร่ข่าวปลอมที่กระทบต่อความรู้ความเข้าใจของเจ้าของบัญชี เองหรือประชาชนในวงกว้าง
อีกทั้ง เรื่องราวหรือเนื้อหาในคอนเทนต์ที่เจ้าของบัญชีหรือ คนอื่นได้แบ่งปันไว้ในบัญชีสังคมออนไลน์ อาจก่อให้เกิดความดีใจ เสียใจ ความชอบ ไม่ชอบ แล้วแต่ทัศนคติ พื้นฐานความเชื่อ ความคิดของผู้ใช้โซเชียลมีเดียแต่ละราย คนที่ไม่ชอบใจ ก็อาจโพสต์แสดงความเห็นในเชิงลบเอาไว้ได้ ประกอบกับบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม เปิดให้สาธารณชนเข้าถึงได้ การเข้าถึง ติดตาม บัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม โดยกลุ่มบุคคลที่มีความเห็นแตกต่างจากผู้ฟ้องคดีทั้งสามที่นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ในสังกัด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ การกระทําที่เกิดในบัญชีโซเชียลมีเดียของ ผู้ฟ้องคดีทั้งสามกระทําโดยผู้ใช้บัญชีที่มีการสร้างบัญชีที่ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นทราบตัวตนของ ผู้ใช้บัญชีนั้นได้ ซึ่งโดยทั่วไปมักเรียกผู้ใช้บัญชีที่ไม่ระบุตัวตนเช่นนี้ ว่าอวตาร โดยที่บัญชีอวตาร อาจถูกสร้างขึ้น โดยผู้ใดก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เท่านั้น ที่สามารถสร้างบัญชีอวตารได้
ฉะนั้น แม้จะรับฟังได้ว่ามีบัญชีสื่อออนไลน์อวตารจํานวนหนึ่งที่มีการนําเสนอข้อความหรือแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 โดยไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความ ด้วยข้อมูลเท็จและเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืน ต่อความจริง สร้างความไม่ชอบธรรมในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 หรือมีบัญชีสื่อออนไลน์จํานวนหนึ่งที่มีการนําเสนอข้อความ แสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีที่ 2 โดยไม่ถูกต้อง บิดเบือนใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือ ไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง สร้างความไม่ชอบธรรมในการใช้สิทธิเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นต่อผู้ฟ้องคดีที่ 2 และมีบัญชีสื่อออนไลน์จํานวนหนึ่งที่นําเสนอข้อความ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีที่ 3 โดยไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง สร้างความไม่ชอบธรรม ในการทํางานด้านสื่อสารมวลชนและสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต่อผู้ฟ้องคดีที่ตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้าง แต่ก็ยังรับฟังไม่ได้ว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการกระทํา ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
สําหรับที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามอ้างว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้ขอข้อมูลไปตามระบบ ทวิตเตอร์ได้ส่งข้อมูลรายงานเกี่ยวกับการทํางานของบัญชีที่ถูกปิดไปกลับมาให้ เป็นข้อมูลกิจกรรมของบัญชีทวิตเตอร์ที่เชื่อมโยงกับกองทัพ 21,385 กิจกรรม พบว่า มีบัญชีทวิตเตอร์ที่เชื่อมโยงกับ กองทัพมีปฏิสัมพันธ์กับทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 จํานวน 5 ครั้ง มีปฏิสัมพันธ์กับทวิตเตอร์ของ ผู้ฟ้องคดีที่ 2 จํานวน 4 ครั้ง และมีปฏิสัมพันธ์กับทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีที่ 3 จํานวน 37 ครั้ง นั้น
เห็นว่า แม้จะรับฟังว่ามีเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เข้ามามีส่วนร่วมในบัญชีสังคมออนไลน์ ของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม โดยมีทั้งลักษณะการกดไลก์ กดแชร์ กดรีทวีต แสดงความเห็นทั้งใน เชิงบวก และเชิงลบ ปรากฏบัญชีผู้ใช้ซ้ํา ๆ กับทุกประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้นําเสนอบนบัญชี สังคมออนไลน์ตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้าง แต่การกดไลก์ กดแชร์ กดรีทวีต แสดงความเห็น ทั้งในเชิงบวก และเชิงลบซ้ํา ๆ ก็อาจเป็นการโพสต์แสดงความเห็นส่วนตัวอันเกิดจากความชอบหรือไม่ชอบในเรื่องราวหรือคอนเทนต์ที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามนาเสนอในบัญชีสังคมออนไลน์เป็นการ ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เองก็เป็นได้
อีกทั้ง แสดงว่าบัญชีทวิตเตอร์ที่ถูกปิดเหล่านั้นมีพฤติการณ์ในลักษณะเป็นสแปม โดยสแปม (Spam) คือ ข้อความที่ไม่พึงประสงค์ที่มา จากบัญชีอวตาร หรือบัญชีผู้ส่งที่ไม่อาจระบุตัวตนได้ ซึ่งสแปมมักจะมาในรูปแบบของ SMS อีเมล และข้อความบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งในทางกลับกันประชาชนผู้ใช้บัญชี โซเชียลมีเดียต่าง ๆ รวมทั้งการใช้บัญชีโซเชียลมีเดียผู้ฟ้องคดีทั้งสามก็อาจเป็นสแปมได้เช่นกัน
หากผู้นั้นหรือผู้ใช้บัญชีนั้นมีพฤติกรรมการใช้งานที่ขัดต่อกฎของแพลตฟอร์ม กลุ่มคอมมูนิตี้ และรวมถึงการส่งข้อความเดิมซ้ํา ๆ ไปยังหลาย ๆ ผู้รับ เห็นได้ว่า เหตุผลที่บัญชีโซเชียลมีเดียอาจถูก ระบุว่าเป็น สแปม และถูกปิดกั้นจากเจ้าของแพลตฟอร์มอาจเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผล ในกรณีบัญชีทวิตเตอร์ที่เชื่อมโยงกับกองทัพมีปฏิสัมพันธ์กับทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้ฟ้องคดีที่ 2 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ก็ไม่แน่ชัดว่าสแปมเกิดจากสาเหตุหรือเหตุผลใด และเกิดจากการทวิตในครั้งใด
ฉะนั้น แม้จะฟังว่ามีบัญชีทวิตเตอร์ที่เชื่อมโยงกับกองทัพมีปฏิสัมพันธ์กับทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 จํานวน 5 ครั้ง มีปฏิสัมพันธ์กับทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีที่ 2 จํานวน 8 ครั้ง และมีปฏิสัมพันธ์กับ ทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีที่ 3 จํานวน 37 ครั้ง แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ยังไม่อาจระบุได้ว่าครั้งที่พบดังกล่าวเป็นครั้งใด เป็นครั้งที่แสดงความเห็นชอบหรือไม่ชอบกับคอนเทนต์ใด และครั้งดังกล่าวเป็นสแปมหรือไม่ เพราะเหตุผลใด และการโพสต์หรือแสดงความเห็นครั้งดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นการโพสต์แสดงความเห็นเป็นการส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเอง หรือเป็นการโพสต์ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เนื่องจากเจ้าหน้าที่ในสังกัด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็มีสถานะเป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ เป็นของตนเองได้ และมิใช่ว่าเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะมีความเห็นเป็นไปในทางเดียวกันกับผู้ฟ้องคดีทั้งสาม หรือในทางเดียวกันกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทุกคน
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้ทําการโพสต์ข้อความ ไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสีใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ในบัญชีสังคมออนไลน์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม บัญชีทวิตเตอร์ที่เชื่อมโยงกับกองทัพของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้ฟ้องคดีที่ 2 โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิดจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อการนั้น จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า การกระทําใดที่จะถือว่าเป็นการละเมิดนั้นต้อง ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก คือ การกระทํานั้นต้องขัดต่อกฎหมาย การกระทํานั้นต้องก่อให้เกิด ความเสียหายต่อบุคคลอื่น และการกระทํานั้นต้องเป็นสาเหตุโดยตรงที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
สําหรับกรณีนี้เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า รับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้ทําการโพสต์ข้อความไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสีใส่ความ ด้วยข้อมูลเท็จ และเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ในบัญชี สังคมออนไลน์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม และรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และ เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ใช้อํานาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือ เป็นการใช้อํานาจที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทํา ให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ดังนั้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และ เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสาม
พิพากษายกฟ้อง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา