
"...ผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา โดยไม่เคยทราบเลยว่าในกระเป๋าจะมีนอแรด จำนวน 21 นอ บรรจุจอยู่ สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศของผู้ฟ้องคดี ก็ไม่ใช่ประเทศที่เกี่ยวพันกับคดีดังกล่าว การที่ไม่ได้ขออนุญาตก็ไม่ใช่กรณีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทราบดีว่าผู้ฟ้องคดียังไม่ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด และผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา จึงเป็นการใช้ดุลพินิจเกินกว่าข้อเท็จจริงโดยไม่สุจริตและเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม หรือใช้ดุลพินิจโดยมิชอบเกินกว่าสัดส่วนขัดต่อหลักนิติธรรม..."
พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี รองอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสระบุรี ที่ถูกศาลจังหวัดสมุทรปราการ พิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อม นางฐิติรัตน์ อาราอิ น.ส.กานต์สินี อนุตรานุศาสตร์ ในคดีร่วมกันนำหรือพาของต้องจำกัดหรือของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากร และร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งซากสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันนำซากสัตย์เข้ามาในราชอาณาจักร ที่ปรากฏเป็นข่าวโด่งดังในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา

ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีที่พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี ฟ้องร้องสำนักงานคณะกรรมการอัยการ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 คณะกรรมการอัยการ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 และประธานคณะกรรมการอัยการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 กรณีถูกออกคำสั่งไล่ออกจากราชการไม่เป็นธรรม
พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี ระบุในคำฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการอัยการ ตำแหน่งอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งกรุงเทพใต้ 3 เมื่อครั้งผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งรองอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จังหวัดสระบุรี มีกรณีกระทำผิดวินัย
โดยในวันที่ 10 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำด่านตรวจอาคารผู้โดยสารขาเข้า สนามบินสุวรรณภูมิ ได้ตรวจยึดนอแรด จำนวน 21 นอ น้ำหนักรวมประมาณ 49.4 กิโลกรัม มูลค่ารวมประมาณ 173 ล้านบาท บรรจุภายในกระเป๋าสัมภาระ ซึ่งอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องผู้ฟ้องคดีกับพวกรวม 3 คน ในข้อหาร่วมกันนำหรือพาของต้องจำกัดหรือต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยง การเสียภาษีศุลกากร หรือหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงบทกฎหมาย หรือข้อจำกัดใด ๆ อันเกี่ยวแก่การนำเข้าโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ หรือหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวแก่ของนั้น ร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งซากสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตร่วมกันนำซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรโตยไม่ได้รับอนุญาต และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ ได้ยื่นฟ้องผู้ฟ้องคดีเป็นจ้าเลยที่ 3 ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ จนศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาลงโทษ
ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ทั้งปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีแสดงตนให้ทราบว่าเป็นพนักงานอัยการและเสนอว่าจะให้ผลประโยชน์ ระหว่างการตรวจสอบกระเป่าเดินทางของเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อมิให้เปิดกระเป๋าเดินทางของกลางอันเป็นการกระทำความผิดอาญา ตามมาตรา 144 แห่งประมวลกฏหมายอาญา และกรณีผู้ฟ้องคดีขออนุญาตอัยการสูงสุดเดินทางไปต่างประเทศ เพียง 4 ครั้ง จากทั้งหมด 42 ครั้ง พฤติการณ์เป็นการกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วหรือกระทำการอันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ ไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการตามมาตรา 68 และ มาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2553 และเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (8) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการประชุมครั้งที่ 8/2564 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2564 มีมติให้ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้มีคำสั่งคณะกรรมการอัยการ ที่ 18/2564 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ ซึ่งอัยการสูงสุด มีหนังสือ ที่ อส 0004 (วน)/ 436 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2564 สือแจ้งคำสั่งลงโทษให้ผู้ฟ้องคดีทราบและผู้ฟ้องคดีได้ทราบคำสั่งดังกล่าว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564
พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า ไม่เคยมีโอกาสให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง ไม่เคยได้รับแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน รวมทั้งไม่เคยลงชื่อหรือรับทราบเรื่องในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งที่เรื่องวินัยไม่มีอายุความ สามารถรอให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานได้โดยไม่จำเป็นต้องเร่งรัดการสอบสวน การสอบสวนจึงไม่เป็นธรรม และไม่เป็นไปตามรูปแบบและขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งผู้ฟ้องคดีให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการสอบสวนมาโดยตลอด
อีกทั้งผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา โดยไม่เคยทราบเลยว่าในกระเป๋าจะมีนอแรด จำนวน 21 นอ บรรจุจอยู่ สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศของผู้ฟ้องคดี ก็ไม่ใช่ประเทศที่เกี่ยวพันกับคดีดังกล่าว การที่ไม่ได้ขออนุญาตก็ไม่ใช่กรณีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทราบดีว่าผู้ฟ้องคดียังไม่ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด และผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา จึงเป็นการใช้ดุลพินิจเกินกว่าข้อเท็จจริงโดยไม่สุจริตและเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม หรือใช้ดุลพินิจโดยมิชอบเกินกว่าสัดส่วนขัดต่อหลักนิติธรรม จึงนำคดีมาฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุด
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ดังนี้
1. เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการประชุมครั้งที่ 8/2564 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 (ที่ถูกคือ วันที่ 25 สิงหาคม 2564)
2. เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการอัยการ ที่ 18/2564 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ที่ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
3. คืนสิทธิประโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดีและให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งที่ไม่ต่ำกว่าเดิม และเยียวยาผู้ฟ้องคดีที่ไม่ให้รับการเลื่อนชั้นตำแหน่งและเลื่อนชั้นเงินเดือนในแต่ละช่วงชั้นด้วย

ขณะที่ศาลปกครองสูงสุด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีมติว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีกรณีร่วมกันนำหรือพาของต้องจำกัดหรือของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาลงโทษ พฤติการณ์เป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว หรือกระทำการอื่นใด อันอาจทำให้เสื่อมเสียเสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการในการเป็นพนักงานอัยการ และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 688 มาตรา 85 (8) แห่งพระราชบัญญัติตะเบียบข้าราราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. และกรณีผู้ฟ้องคดีเดินทาไปต่างประเทศทั้งหมด 21 ครั้ง เป็นการเดินทางโดยไม่ขออญญาตถึง 19 ครั้ง เป็นการกระทำผิดวินัย กรณีไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบบแผนของทางราชการ ตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีมติเห็นควรลงโทษผู้ฟ้องคดีสถานไล่ออกจากราชการ ตามมาตรา 85 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่งคณะกรรมการอัยการที่ 18/2564 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีดีออกจากราชการ ให้เป็นไปตามมติดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
กรณีที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ นั้น เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีอำนาจหน้าที่เป็นเพียงส่วนสนับสนุนงานด้านธุรการแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เท่านั้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีมีสิทธิฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทั้งนี้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ศาลจึงไม่อาจรับคำฟ้องในส่วนที่ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไว้พิจารณาได้
พิพากษายกฟ้อง
สำหรับคดีความของ พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี นั้น ก่อนหน้านี้ เคยปรากฏเป็นข่าวดังในช่วงปี 2560 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าตรวจยึด “นอแรด” จำนวน 21 ชิ้น น้ำหนักเกือบ 50 กิโลกรัมที่ถูกนำใส่กระเป๋าสัมภาระ ได้ที่สนามบินสวุรรณภูมิมูลค่า 170 ล้านบาท โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย เจ้าหน้าที่ระดับสูงสังกัดกระทรวงยุติธรรมคนหนึ่งเดินประกบกระเป๋าพร้อมกับผู้หญิงอีก 2คน แต่หลบหนีไป
จากนั้น สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกเอกสารข่าวระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นหนึ่งในบุคคลที่ปรากฎคือ พันตำรวจตรีวรภาส บุญศรี รองอัยการจังหวัด คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดีจังหวัดสระบุรี โดยร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริการ อัยการสูงสุด ในขณะนั้น เห็นว่าการจับกุมดังกล่าวเป็นขบวนการที่สำคัญ ทางพนักงานสอบสวนเชื่อว่าเป็นขบวนการลักลอบขนนอแรดจำนวนมาก มีมูลค่าสูง และเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของสำนักอัยการสูงสุด จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมปรับย้าย พันตำรวจตรี วรภาส เป็นอัยการประจำสำนักสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งกรุงเทพใต้ 3 สำนักงานคดีแพ่งกรุงเทพใต้ ให้มีผลตั้งแต่ 3 เมษายน 2560
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ศาลจังหวัดสมุทรปราการ พิพากษา จำคุก นางฐิติรัตน์ อาราอิ น.ส.กานต์สินี อนุตรานุศาสตร์ และนายวรภาส บุญศรี (หรือ พันตำรวจตรี วรภาส หรือ นพรัตน์ บุญศรี) คนละ 4 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีร่วมกันนำหรือพาของต้องจำกัดหรือของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากร และร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งซากสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันนำซากสัตย์เข้ามาในราชอาณาจักร

ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ข่าวชี้มูลความผิด กรณีกล่าวหา พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี เพิ่มอีกหนึ่งคดี คือกรณี ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานศุลกากรประจำสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อช่วยเหลือให้ไม่ต้องเปิดกระเป๋าเดินทางที่ภายในบรรจุนอแรด มูลค่ากว่า 170 ล้านบาท
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะนั้น เปิดเผยว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560 พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี ได้เสนอให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานศุลกากร ประจำสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มบุคคลผู้ลักลอบนำนอแรดคละขนาด จำนวน 12 นอ/ชิ้น น้ำหนักรวม 49.4 กิโลกรัม เข้ามาในราชอาณาจักร ไม่ให้ต้องถูกดำเนินคดีอาญา
การกระทำของพันตำรวจตรี วรภาส หรือ นายนพรัตน์ บุญศรี จึงเป็นการให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทำของพันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/5 วรรคหนึ่ง (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 176) และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) สำหรับมูลความผิดทางวินัย เนื่องจากคณะกรรมการอัยการ ได้มีคำสั่งลงโทษไล่ออกพันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี เหมาะสมตามควรแก่กรณีแล้ว จึงไม่มีเหตุ ให้ต้องส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยอีก
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
แต่ไม่ว่า ผลการต่อสู้คดีในชั้นศาลจะออกมาเป็นอย่างไร กรณี พันตำรวจตรี วรภาส หรือนายนพรัตน์ บุญศรี นับเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาสำคัญเกี่ยวกับวิบากกรรมทุจริตของข้าราชการอัยการ และเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ให้เดินย้ำซ้ำรอยเอาเป็นเยี่ยงอย่างในอนาคตอีกต่อไป
อ่านประกอบ :
- ศาลสั่งคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา อัยการ จ.สระบุรี-พวก คดีขนนอแรดเข้าไทย
- คดีใหม่! ป.ป.ช.ชี้มูลอดีตรองอัยการฯสระบุรี กรณีติดสินบนช่วยขบวนการลักลอบนำเข้านอแรด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา