
“...จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 มิใช่คู่สมรสของผู้ถูกร้องที่ 1 เพราะมิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ประกอบกับตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มิได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า ‘คู่สมรส’หมายความรวมถึงผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสเช่นเดียวกับตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่า มีการกระทำฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามข้อกล่าวหา...”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัยคณะกรรมการ กกต. ที่ 580/2568 มีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้ดำเนินคดีอาญานายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ผู้ถูกร้องที่ 1 กรณีให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหา จัดเตรียมผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. ระดับจังหวัด จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อลงคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. ระดับอำเภอ ซึ่งเป็น ‘พี่ชายตัวเอง’ โดยเป็นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561
สำนักข่าวอิศรา นำคำวินิจฉัยคณะกรรมการ กกต.ฉบับเต็ม ตอนที่ 1และตอนที่ 2 ไปแล้ว ซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับคำร้อง และการให้ถ้อยคำของผู้ร้องที่ 1 การไต่สวนผู้ร้องที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 3 ซึ่งภายหลังถูกกันไว้เป็นพยาน ตลอดจนบทสนทนาระหว่างผู้ถูกร้องที่ 1 กับผู้ถูกร้องที่ 3 ทางโทรศัพท์และข้อความในแอปพลิเคชันไลน์ในการนัดตระเตรียมการจัดหาผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. ตลอดจนการไต่สวนพยาน 12 ปาก ซึ่งยอมรับตรงกันว่า มีการเสนอออกค่าใช้จ่ายเป็นเงินค่าใบสมัคร และถ่ายรูป รวมถึงใบรับรองแพทย์ คนละ 4,500 บาท เพื่อจูงใจให้เป็นผู้สมัคร สว. โดยมีพยานส่วนหนึ่งสารภาพว่า ได้รับเงินนั้น ต่อไปนี้เป็น ‘ตอนจบ’
อ่านประกอบ :
- เปิดคำวินิจฉัยฉบับเต็ม (1) ‘กกต.’ ยื่น ศาลฎีกา ‘คดีว่าจ้างผู้สมัครสว.’ เลือก ‘พี่ชายตัวเอง’
- เปิดคำวินิจฉัยฉบับเต็ม(2) ‘คดีว่าจ้างผู้สมัครสว.’ ไต่สวนพยาน12ปาก-สารภาพรับเงินคนละ 4,500 บาท
- ‘กกต.’ ยื่น ศาลฎีกา ฟันอาญา-เพิกถอนสิทธิลต. ‘กำพล เลิศเกียรติดำรงค์’ ทุจริตเลือกสว.
1. ผู้ถูกร้องที่ 1 หมายถึง นายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ อดีต สว.
2. ผู้ถูกร้องที่ 2 หมายถึง น.ส.ปาลาวดี เนื่องจำนงค์ ผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มที่ 14 หมายเลข 19 ซึ่งเป็นผู้อยู่กินฉันสามีภริยาของนายกำพล
3. ผู้ถูกร้องที่ 3 หมายถึง นายชาลี เจริญสุข ผู้มีสิทธิเลือกระดับจังหวัด จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มที่ 15 หมายเลข 3
@ มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า จูงใจให้สมัครเป็น สว.
เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของผู้ถูกร้องที่ 3 มีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคลิปบันทึกเสียงประกอบคำร้องที่มีการสนทนาระหว่างบุคคลในลักษณะเป็นการวางแผนร่วมกันเพื่อจัดเตรียมบุคคลมาสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละกลุ่มของอำเภอต่าง ๆ โดยผู้ถูกร้องที่ 1 ตกลงสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ ซึ่งในข้อเท็จจริงนี้ผู้ถูกร้องที่ 1 เพียงแต่ไม่ยืนยันว่าเป็นเสียงของผู้ถูกร้องที่ 1 หรือไม่เท่านั้น และผู้ถูกร้องที่ 1 ก็ให้ถ้อยคำด้วยว่า เคยให้คำแนะนำแก่ผู้ถูกร้องที่ 3 ทางโทรศัพท์ว่า ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกกันเอง จะต้องทำความรู้จักบุคคลอื่น เพื่อจะได้มีคนมาลงคะแนนเลือกในรอบระดับอำเภอ จังหวัดและประเทศ ผู้ถูกร้องที่ 3 จะต้องรู้จักและมีพวกเพื่อให้มาลงสมัครทุกกลุ่ม เพราะมีการเลือกในกลุ่มเดียวกันก่อน เมื่อมีการจับสลากรอบที่ 2 ต้องมีการเลือกแบบไขว้ ซึ่งก็ไม่ทราบว่ากลุ่มของตนต้องไปเจอผู้สมัครใดบ้าง ผู้ถูกร้องที่ 3 จึงต้องมีพวกกับผู้สมัครกลุ่มอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
อันเป็นข้อความทำนองเดียวกันกับที่ปรากฏในบันทึกเสียงการสนทนาประกอบคำร้อง จึงน่าเชื่อได้ว่าบันทึกเสียงการสนทนาดังกล่าวเป็นการสนทนาระหว่างผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 3 อีกทั้งภาพถ่ายการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ระหว่างผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 3 ปรากฎข้อความตอนหนึ่งที่ผู้ถูกร้องที่ 1 แจ้งให้ผู้ถูกร้องที่ 3 ไปพบที่ร้านอาหาร BLOOM @ ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นร้านอาหารของผู้ถูกร้องที่ 1 อันแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 เคยใช้ร้านอาหารดังกล่าวเป็นสถานที่ในการนัดพบกับผู้ถูกร้องที่ 3 ประกอบกับพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 1 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 5 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 6 และพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 7 ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ได้รับเงินจากผู้ถูกร้องที่ 3 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาจริง
อีกทั้งพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 10 ถึงคนที่ 12 ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 3 มีความสนิทสนมกันมานานเนื่องจากผู้ถูกร้องที่ 1 และถูกร้องที่ 3 เคยเป็นอดีตกรรมการหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นสมาชิกยุวสมาคมแห่งประเทศไทย ประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา เคยทำงานร่วมกันที่สโมสรไลออนส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และเข้าร่วมงานสังคมในจังหวัดฉะเชิงเทราด้วยกันเป็นประจำ
จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้ถูกร้องที่ 1 จะไม่มีช่องทางติดต่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์กับผู้ถูกร้องที่ 3 ตามที่ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลการใช้โทรศัพท์ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อไปหาผู้ถูกร้องที่ 3 ถึง 11 ครั้ง ระหว่างวันที่ 3 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2567 อันเป็นช่วงเวลาของการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2567 และการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับจังหวัด จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ประกอบกับคลิปบันทึกเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์และข้อความการสนทนาในแอปพลิเคชันไลน์ประกอบคำร้อง ตลอดจนถ้อยคำของผู้ถูกร้องที่ 3 และพยานที่ไต่สวนประกอบดังกล่าวข้างต้น
กรณีจึงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจกับผู้ถูกร้องที่ 3 จัดหาหรือจัดเตรียมบุคคลให้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา และให้เงินแก่บุคคลดังกล่าวเพื่อจูงใจให้สมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา และจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1) ซึ่งเป็นการทุจริตการเลือก ทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62
@ ยังรับฟังไม่ได้ว่า ช่วย ‘ปาลาวดี’
ข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 2 ผู้ร้องที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 กล่าวหาว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 (น.ส.ปาลาวดี) ยินยอมให้ ผู้ถูกร้องที่ 1 (นายกำพล) ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยผู้ถูกร้องที่ 1 จัดเตรียมบุคคลให้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา และให้บุคคลดังกล่าวลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้องที่ 2 อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคสอง
จากการไต่สวนผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า พวกตนมิได้จัดเตรียมบุคคลให้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้ลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้องที่ 2 ตามที่มีการกล่าวหา
เห็นว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 2 มีข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกับข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 1 ซึ่งจากการไต่ส่วนพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 1 ถึงคนที่ 7 ในข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 1 ดังกล่าวข้างต้น ไม่มีผู้ใดให้ถ้อยคำว่าได้รับคำสั่งให้ลงคะแนนเลือกผู้ถูกผู้ถูกร้องที่ 2 และไม่ปรากฏว่าผู้ถูกร้องที่ 1 มีการกระทำหรือพฤติการณ์ใดที่เป็นการช่วยเหลือผู้ถูกร้องที่ 2 เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา
ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคสอง
@ ใช้ ‘กฎหมายคนละฉบับ’ ตีความ ‘คู่สมรส’
ข้อกล่าวหาที่ 2 ผู้ร้องที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำว่า ผู้ร้องที่ 1 ได้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยในส่วนของคู่สมรสระบุชื่อตัวและชื่อสกุลของผู้ถูกร้องที่ 2 และข้อความว่า ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
จึงเห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะเป็นคู่สมรสของผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในคราวเดียวกัน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 14 (25)
เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ตามเอกสารประกอบคำร้องที่ผู้ร้องที่ 1 อ้างว่าเป็นบัญชีทรัพย์สินของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยในส่วนของคู่สมรสระบุชื่อตัวและชื่อสกุลของผู้ถูกร้องที่ 2 และข้อความว่า ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 มิใช่คู่สมรสของผู้ถูกร้องที่ 1 เพราะมิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ประกอบกับตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มิได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า ‘คู่สมรส’หมายความรวมถึงผู้ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสเช่นเดียวกับตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่า มีการกระทำฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามข้อกล่าวหา
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิใช้สิทธิสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 14 (25) ตามคำร้อง
จึงมีคำสั่งในข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 1 ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ ตามพระระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1)
@ กันไว้เป็นพยาน-ยกคำร้องข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 2-ข้อกล่าวหาที่ 2
และให้กันนายชาลี เจริญสุข พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 1 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 5 พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 6 และพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 7 ไว้เป็นพยาน โดยไม่ดำเนินคดีอาอาญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 65 และให้ยกคำร้องในข้อกล่าวหาที่ 1 ประเด็นที่ 2 และข้อกล่าวหาที่ 2

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา