“…เมื่อนาย ณ. นำส่งรายงานค่าใช้จ่ายการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนทั้งสองครั้ง สำนักการคลังและงบประมาณได้ตรวจพิจารณารายงานฯ ดังกล่าวแล้วยังไม่สามารถออกใบรับใบสำคัญเพื่อชดใช้สัญญายืมเงินทั้งสองครั้งได้ เนื่องจากเอกสารและหลักฐานการจ่ายเงินที่นาย ณ. นำส่งไม่ถูกต้องครบถ้วน กล่าวคือ ไม่มีใบเสร็จรับเงินหรือใบสำคัญรับเงินอันเป็นหลักฐานการจ่ายเงินตามรายการต่าง ๆ ที่ได้มีการเบิกจ่ายในการเดินทาง…”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา (ก.ร.) ครั้งที่ 11/2568 มีมติรับทราบรายงานการถอดบทเรียนจากการกระทำผิดวินัยของบุคลากรส่วนราชการสังกัดรัฐสภา กรณีคืนเงินทดรองราชการไม่ถูกต้องและกรณีใช้เงินยืมราชการไม่ถูกต้อง เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนปลูกฝังจิตสำนึกให้แก่บุคลากรของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรม และชอบด้วยกฎหมาย โดยยึดมั่นในหลักการและถือปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ เนื้อหาในรายงานประกอบด้วยกรณีตัวอย่าง 4 กรณี ขอแบ่งออกเป็น 2 กรณีแรก ในตอนแรก
@ ไม่นำส่งใบสำคัญคู่จ่าย
1. กรณีทำสัญญายืมเงินงบประมาณ แต่ไม่นำส่งใบสำคัญคู่จ่ายและเงินเหลือจ่ายคืนสำนักการคลังและงบประมาณภายในกำหนดเวลาตามระเบียบของทางราชการ
พฤติการณ์กระทำความผิด
นาย บ. ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตำแหน่งนิติกรปฏิบัติการ สำนักกรรมาธิการ 2 ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภา ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการคณะเดินทางไปราชการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 13-24 เมษายน 2556 และเป็นผู้รับผิดชอบดูแลค่าใช้จ่ายในการเดินทางดังกล่าว
โดยได้รับอนุมัติงบประมารในการเดินทาง จำนวน 1,966,717 บาท ซึ่งนาย บ. ได้ทำสัญญายืมเงินงบประมาร แต่ปรากฏว่า ไม่นำส่งใบสำคัญคู่จ่ายและเงินเหลือคืนสำนักการคลังและงบประมาณในกำหนดเวลาตามกำหนดเวลาตามระเบียบของทางราชการ
แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงภายหลังว่า ได้นำเงินมาชำระคืนจนครบถ้วน แต่เป็นเวลาที่พ้นกำหนด 15 วัน ตามระเบียบแล้ว ประกอบกับในการเดินทางไปราชการต่างประเทศครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เป็นเงินนอกราชการซึ่งเป็นเงินของสมาชิกวุฒิสภาและผู้ติดตาม จำนวน 633,044.92 บาท โดยนาย บ. เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังกล่าว
เมื่อปรากฏว่ามีรายละเอียดค่าใช้จ่ายตามที่จ่ายจริงน้อยกว่าเงินที่ได้รับจากสมาชิกวุฒิสภาและผู้ติดตาม จำนวน 393,972.8696 บาท จึงเป็นหน้าที่ที่ต้องคืนเงินส่วนที่เหลือแก่สมาชิกวุฒิสภาและผู้ติดตาม แต่นาย บ. มิได้ดำเนินการคืนเงินในส่วนที่เหลือโดยเร็ว กลับปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยมาเป็นเวลานานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
@ ตัดเงินเดือนร้อยละ 5 เป็นเวลา 3 เดือน
ฐานความผิด
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงตามกฎ ก.ร. ว่าด้วยวินัยข้าราชการรัฐสภาสามัญ พ.ศ. 2555 ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ และแบบธรรมเนียมของทางราชการ ตามข้อ 2 (3) และฐานไม่รักษาชื่อเสียงของตนและไม่รักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน ตามข้อ 2 (12)
ลงโทษตัดเงินเดือนร้อยละ 5 เป็นเวลา 3 เดือน
@ ไม่ส่งหลักฐานการจ่ายเงิน-เงินเหลือจ่ายที่ยืมไป ในกำหนดเวลา
2. กรณียืมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ แต่มิได้ส่งหลักฐานการจ่ายเงินและเงินเหลือจ่ายที่ยืมไปภายในกำหนดระยะเวลาตามระเบียบของทางราชการ
พฤติการณ์การกระทำความผิด
นาย ณ. ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการ สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก ได้ทำสัญญาการยืมเงินจากสำนักการคลังและงบประมาณ จำนวน 2 ฉบับ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ
โดยเมื่อเดินทางกลับมาถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมิได้ส่งหลักฐานการจ่ายเงินและเงินเหลือจ่ายที่ยืมไป ภายในกำหนดระยะเวลาตามระเบียบของทางราชการจนถูกสำนักการคลังและงบประมาณมีหนังสือทวงถาม
โดยสัญญาฉบับแรก ทำสัญญาการยืมเงินเพื่อเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 13 - 18 ธันวาคม 2555 จำนวน 4,284,600 บาท (สี่ล้านสองแสนแปดหมื่นสี่พันหกร้อยบาทถ้วน) เมื่อครบกำหนดได้ชำระคืนสำนักงานฯ แล้ว 3 ครั้งจำนวน 2,405,109 บาท (สองล้านสี่แสนห้าพันหนึ่งร้อยเก้าบาทถ้วน) คงเหลือหนี้ชำระ 1,879,491 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสี่ร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ซึ่งต่อมาสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ดำเนินการหักเงินเดือน นาย ณ. ตามเงื่อนไขในสัญญาเดือนละ 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) เพื่อชดใช้เงินยืมตามสัญญาดังกล่าว รวม 23 เดือน จำนวนทั้งสิ้น 460,000 บาท (สี่แสนหกหมื่นบาทถ้วน) จึงคงเหลือหนี้ค้างชำระจำนวน 1,419,491 บาท (หนึ่งล้านสี่แสนหนึ่งหมื่นเก้าพันสี่ร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทถ้วน)
สำหรับสัญญาฉบับที่สอง ทำสัญญาการยืมเงินเพื่อเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 27 - 30 ธันวาคม 2555 จำนวน 1,985,700 บาท (หนึ่งล้านเก้าแสนแปดหมื่นห้าพันเจ็ดร้อยบาทถ้วน) เมื่อครบกำหนดชำระคืน ได้ชำระคืนสำนักงานฯ แล้ว 1 ครั้ง จำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) คงเหลือหนี้ค้างชำระ 985,700 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นห้าพันเจ็ดร้อยบาทถ้วน) ดังนั้น นาย ณ. จึงยังคงเหลือหนี้ค้างชำระจำนวน 2 สัญญา รวมเป็นเป็นเงินทั้งสิ้น 2,405,191 บาท (สองล้านสี่แสนห้าพันหนึ่งร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทถ้วน)
จากข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อนาย ณ. ทำสัญญายืมเงินฉบับที่สอง นาย ณ. ยังไม่นำรายงานค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการและเงินเหลือจ่าย (ถ้ามี) มาชดใช้หนี้ตามสัญญาฉบับแรก ซึ่งสำนักการคลังและงบประมาณได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ในการเดินทางไปราชการครั้งที่สองมีเพียง นาย ณ. และนางสาว น. สามารถยืมเงินได้เท่านั้น แต่นางสาว น. ไม่สามารถยืมเงินได้เนื่องจากอยู่ระหว่างการสอบสวนในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการและสำนักการคลังและงบประมาณยังไม่ได้รับแจ้งผลการสอบสวน ดังนั้น สำนักการคลังและงบประมาณจึงอนุมัติให้นาย ณ. ยืมเงินดังกล่าวเพราะถ้าไม่ให้นาย ณ. ยืมเงินจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
เมื่อนาย ณ. นำส่งรายงานค่าใช้จ่ายการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนทั้งสองครั้ง สำนักการคลังและงบประมาณได้ตรวจพิจารณารายงานฯ ดังกล่าวแล้วยังไม่สามารถออกใบรับใบสำคัญเพื่อชดใช้สัญญายืมเงินทั้งสองครั้งได้ เนื่องจากเอกสารและหลักฐานการจ่ายเงินที่นาย ณ. นำส่งไม่ถูกต้องครบถ้วน กล่าวคือ ไม่มีใบเสร็จรับเงินหรือใบสำคัญรับเงินอันเป็นหลักฐานการจ่ายเงินตามรายการต่าง ๆ ที่ได้มีการเบิกจ่ายในการเดินทาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของค่ารับรองที่หัวหน้าคณะเดินทางต้องลงลายมือชื่อเป็นผู้รับเงินและที่สำคัญคือไม่มีแบบใบเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง (แบบ 8708) ที่เป็นตารางขวางเพื่อระบว่าผู้ร่วมเดินทางแต่ละคนมีรายจ่ายเท่าใด ซึ่งเป็นหลักฐานการเบิกจ่ายเงินที่ผู้ร่วมเดินทางทุกคนต้องลงลายมือชื่อ
นอกจากนี้ สำนักการคลังและงบประมาณได้ส่งคืนรายงานฯ ดังกล่าวกลับไปยังสำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้นาย ณ. ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ โดยได้แจกแจงรายละเอียดของเอกสารประกอบการเบิกจ่ายที่จะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง อาทิ ค่าพาหนะเดินทางในประเทศ กรณีเป็นการโดยสารเครื่องบินจะต้องมีหลักฐานบัตรโดยสารเครื่องบิน (E-Ticket) แนบมาด้วย โดยจะต้องไม่นำไปรวมไว้กับค่ายานพาหนะอื่น และในกรณีที่พาหนะโดยสารในต่างประเทศเป็นการโดยสารรถโค้ชที่จะต้องมีใบเสร็จรับเงิน หากไม่มีใบเสร็จรับเงินให้ใช้ใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงินประกอบกับใบสำคัญรับเงินที่หัวหน้าคณะเดินทางลงลายมือชื่อรับรอง เป็นต้น ซึ่งหากนาย ณ. สามารถนำหลักฐานการเบิกจ่ายเงินดังกล่าวมาส่งให้สำนักการคลังและงบประมาณ ก็จะสามารถหักล้างหนี้ที่ค้างชำระได้
อย่างไรก็ตาม นาย ณ. กล่าวอ้างถึงสาเหตุที่มิได้ส่งหลักฐานการจ่ายและเงินเหลือจ่าย (ถ้ามี) ภายในกำหนดเวลาตามระเบียบของทางราชการนั้น เนื่องด้วยสาเหตต่าง ๆ ดังนี้
1. ต้องรอเอกสารการประสานงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับเอกสารสรุปค่าที่พัก
2. สำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีปัญหาความขัดแย้งภายในโดยแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย
3. สำนักการคลังและงบประมาณได้ตรวจสอบและส่งรายงานฯ กลับคืนโดยมีการแก้ไขหลายประเด็นซึ่งต้องทำรายงานฯ ใหม่ โดยเฉพาะเรื่องค่าบัตรโดยสารเครื่องบินภายใน
ประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสำนักการคลังและงบประมาณได้แจ้งให้แยกค่าใช้จ่ายเป็นรายบุคคล ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเริ่มทำงานใหม่โดยต้องจัดทำแบบใบเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการที่เป็นตารางขวางขึ้นใหม่และนำไปให้ผู้ร่วมเดินทางทุกคนลงลายมือชื่ออีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับสำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีภารกิจจำนวนมากส่งผลให้การทำงทำงานล่าช้าลง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะมีภารกิจจำนวนมากจริงแต่นาย ณ. ก็มิได้ใช้ความพยายามในการแก้ไขปัญหาเท่าที่ควร เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาที่ล่วงเลย กำหนดเวลานำส่งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เป็นระยะเวลากว่า 1 ปี 7 เดือน นอกจากนี้ ปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานภายในสำนักเป็นหน้าที่ที่ผู้อำนวยการสำนักจะต้องพิจารณาหาแนวทางแก้ไข อีกทั้งหน้าที่ที่ต้องดำเนินการตามระเบียบซึ่งกำหนดไว้ให้เป็นหน้าที่เฉพาะตัวของข้าราชการผู้ทำสัญญายืมเงินจากทางราชการ จึงไม่อาจยกเหตุต่าง ๆ มาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ทำหน้าที่หรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ได้
@ ลงโทษปลดออก
ฐานความผิดและระดับโทษ
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ และไม่ปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมของทางราชการและฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการด้วยความตั้งใจ อุตสาหะเอาใจใส่ และรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงตามกฎ ก.ร. ว่าด้วยวินัยข้าราชการรู้สภาสามัญ พ.ศ. 2555 ข้อ 2 (3) (5) และข้อ 6 (7) ลงโทษปลดออก
นาย ณ. ได้มีหนังสืออทธรณ์คำสั่งลงโทษปลดออก ลงวันที่ 18 มีนาคม 2559 ซึ่งในคราวประชุม อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ครั้งที่ 5/2559 เมื่อวันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2559 ที่ประชุมได้ตรวจพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน กฎหมาย กฎ ระเบียบ ตามรายงานการลงโทษของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และคำอุทธรณ์พร้อมเอกสารประกอบการอุทธรณ์ของนาย ณ. แล้ว เห็นว่า
การสั่งลงโทษทางวินัยแก่นาย ณ. ของเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายและเหมาะสมแล้ว และเห็นว่าการที่ผู้อุทธรณ์ไม่ดำเนินการคืนเงินเหลือจ่ายและจัดทำรายงานค่าใช้จ่ายในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างวันที่ 13 - 16 ธันวาคม 2555 และระหว่างวันที่ 27 - 29 ธันวาคม 2555 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการและไม่ปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมของทางราชการ เมื่อมีการทวงถามให้ดำเนินการก็ไม่ดำเนินการให้ถูกต้อง เห็นว่าอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น
อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ จึงมีมติเห็นชอบด้วยกับการดำเนินการลงโทษของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์
ในคราวประชุม ก.ร. ครั้งที่ 6/2559 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2559 ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบรายงานผลการพิจารณาวินิจฉัยของ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ที่ให้ยกอุทธรณ์ของนาย ณ. และรับทราบรายงานการลงโทษของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
@ ศาลปกครองกลาง พิพากษา ไม่เสียหายร้ายแรง
ต่อมานาย ณ. ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ บ. 326/2559 โดยขอให้ยกเลิกคำสั่งลงโทษปลดออก และให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งอื่นที่เท่าเทียมกัน โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับ หรือหากพิจารณาเห็นว่ายังไม่ถือเป็นการกระทำที่ผิดวินัยอย่างร้ายแรง ขอให้มีคำสั่งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งลงโทษปลดออก
ในคราวประชุม ก.ร. ครั้งที่ 13/2559 เมื่อวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2559 ที่ประชุมมีมติมอบอำนาจให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินคดีปกครองแทน ก.ร. จนคดีถึงที่สิ้นสุด
จากนั้นศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ บ.28/2565 โดยสรุปเห็นว่า พฤติการณ์ของนาย ณ. เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ และปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมของทางราชการ และไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการด้วยความตั้งใจ อุตสาหะ เอาใจใส่ และรักษาประโยชน์ราชการตามกฎ ก.ร. ว่าด้วยวินัยข้าราชการรัฐสภาสามัญ พ.ศ. 2555 ข้อ 2 (3) และ (5) ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 61 แต่ยังไม่ถึงขนาดเป็นความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงอันจะเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อ 6 (7)
ก.ร.พิจารณาแล้วจึงมีมติให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งลงโทษ ตามคำสั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่ 272/2559 เรื่อง ลงโทษปลดดออก ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
แต่เนื่องจากนาย ณ. ได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว จึงไม่อาจสั่งให้นาย ณ. กลับเข้ารับราชการได้ โดยเงินเดือนระหว่างที่ถูกปลดออก ให้เบิกจ่ายให้นาย ณ. ตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้น
ผลการพิจารณา
ก.ร. พิจารณาคำพิพากษาศาลปกครอง ในคดีหมายเลขแดงที่ บ. 28/2565 และข้อกฎหมายแล้ว มีมติให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำสั่งยกเลิกลงโทษตามคำสั่งสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่ 272/2559 เรื่อง ลงโทษปลดออก ลงวันที่ 4 ก.พ.2559 และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา