
“…โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นที่น่าห่วงคือ การเห็นชอบกับกรรมการผู้ดำรงตำแหน่งในกรรมการอิสระ เช่น การให้ความเห็นชอบ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเมื่อ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ไม่ยอมไปพบกับ นาย XXX ผลการลงคะแนนจึงไม่ได้รับการเลือก อีกกรณีการให้ความเห็นชอบ นาง XXX ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้มีความรู้ความสามารถประสบการณ์การทำงาน แต่ไม่ยอมรับข้อเสนอของผู้มีอิทธิพลของพรรค ผลการลงคะแนนก็ไม่ได้รับการคัดเลือก…”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นคำร้องถึงนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของวุฒิสภา (สว.) จำนวน 138 คน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568
@ ยื่น กกต. ส่ง ศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอน 138 สว.
ข้าพเจ้า ดร.ณฐพร โตประยูร ขอใช้สิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มาตรา 50 (1) และ (10) ประกอบมาตรา 82 ยื่นต่อ กกต. ให้ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสว.สิ้นสุดลงหรือไม่ โดยมีรายละเอียดของสาระสำคัญในหนังสือคำร้อง ดังนี้
มาตรา 108 บทบัญญัติมาตรานี มีจุดมุ่งหมายให้ สมาชิกวุฒิสภา มีความเป็นกลางปราศจากผลประโยชน์ทางการเมือง และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
ทั้งนี้ คุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และ คณะรัฐมนตรี ตามรัฐธธธรรมนูญฉบับนี้ได้นำบทบัญญัติส่วนใหญ่มาใช้ร่วมกัน โดยคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของ สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี จะเป็นคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยการกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกเป็น สมาชิกวุฒิสภา ได้กำหนดโดยคำนึงถึงความผูกพันที่ ผู้สมัคร จะเกี่ยวพันกับพื้นที่ที่ตนจะลงสมัคร
กล่าวคือ ต้องเป็นที่ที่เกิด มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทำงานหรือมีความเกี่ยวพันกับพื้นที่พี่จะสมัครตามหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่อไปการกำหนดเช่นนี้เพื่อให้ ผู้สมัคร มีความคุ้นเคยกับปัญหาและประชาชนในพื้นที่ในทางใดทางหนึ่ง
การที่กำหนดไว้หลายทางก็เพื่อเปิดโอกาสให้ ผู้สมัคร มีทางเลือกได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เปิดกว้างจนสามารถไปสมัครที่ใดก็ได้โดยไม่มีความเกี่ยวพันกับพื้นที่ที่ตนจะสมัครระบบ การเลือกสมาชิกวุฒิสภา แบบใหม่นี้มีเป้าหมายสี่ประการ คือ
(1) ประชาชนทั่วไปสามารถลงสมัครรับเลือกได้อย่างกว้างขวาง
(2) ผู้สมัคร รับเลือกมีความเชื่อมโยงกับประชนในเขตพื้นที่ที่ลงสมัครรับเลือก
(3) ผู้สมัคร จะมีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ แม้แต่วิถีชีวิต ที่หลากหลาย จนสามารถเป็นตัวแทนประชาชนได้อย่างกว้างขวางในทุกมิติ
(4) ด้วยวิธีการเลือกกันเองที่จะกำหนดขึ้น จะทำให้ ผู้สมัคร ไม่มีภาระและค่าใช้จ่ายจนเกินกำลังที่ประชาชนทั่วไปจะรับได้ และไม่จำเป็นต้องอาศัยฐานเสียงของพรรคการเมือง ซึ่งจะทำให้เป็นอิสระจากพรรคการเมืองได้อย่างแท้จริง
การกำหนดคุณลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการเป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันสมัครรับเลือก มีความมุ่งหมายเพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาหมดความผูกพันกับพรรคการเมืองอย่างแท้จริง
ฉะนั้นจาก บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ดังกล่าวจะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า สมาชิกวุฒิสภา จะต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนให้อยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ ตาม มาตรา 113
บทบัญญัติมาตรานี้เป็นบทบัญญัติใหม่ที่มีความมุ่งหมายให้ สมาชิกวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่ตามประสบการณ์ความรู้และวิถีชีวิตที่ตนรับรู้มาโดยมุ่งต่อประโยชน์ของประชาชนโดยตรงและสุจริตใจ จึงห้ามมิให้ สมาชิกวุฒิสภา ฝักใฝ่ในการเมืองหรืออยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมือง เพื่อให้มีผลบังคับอย่างจริงจังจึงกำหนดให้การฝ่าฝืนมีผลทำให้สมาชิกภาพของ สมาชิกวุฒิสภา สิ้นสุดลงตามมาตรา 111
มาตรา 111 “สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลงเมื่อ
(7) กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 113 หรือกระทำการอันต้องห้ามตาม มาตรา 184 หรือ มาตรา 185”
@ พ่วง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’
เมื่อมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานปรากฏว่า สมาชิกวุฒิสภา จำนวน 138 คน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการสอบสวนแล้วพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า สมาชิกวุฒิสภา ร่วมกับ พรรคภูมิใจไทย และบุคคลภายนอกกระทำการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 36 มาตรา 62 มาตรา 70 มาตรา 77 (1) และ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ทำหนังสือแจ้งให้ สมาชิกวุฒิสภา มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งจากสำนวนการสอบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เชื่อได้ว่า สมาชิกวุฒิสภา จำนวนดังกล่าวร่วมกับ พรรคภูมิใจไทย และบุคคลภายนอก มีพฤติการณ์การกระทำฝ่าฝืน บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงได้มีหนังสือแจ้งให้สมาชิกวุฒิสภา จำนวนดังกล่าวและบุคคลภายนอกมารับทราบข้อกล่าวหารายละเอียดปรากฏในสำนวนการสอบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่อยู่ในความครอบครองของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งผู้ร้อง ขออ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อใช้เป็นพยานประกอบคำร้องนี้
คณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็น องค์กรอิสระ ซึ่งมีความอิสระและมีความเป็นกลางทางการเมือง โดยมุ่งหวังให้ทำหน้าที่ควบคุม จัดการ และตรวจสอบการเลือกตั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น รวมถึงการควบคุมการออกเสียงประชามติ และมีกลไกในการบริหารจัดการการเลือกตั้งควบคุมการเลือกตั้ง การสืบสวนหรือไต่สวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งเพื่อให้เป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้เพิ่มจำนวน กรรมการการเลือกตั้ง และเพิ่มคุณสมบัติให้สูงขึ้นนั้น เพื่อให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง สามารถปฏิบัติภารกิจที่กำหนดเพิ่มขึ้นในลักษณะเชิงรุก เกี่ยวกับการจัดหรือดำเนินการให้มีการเลือกตั้งควบคุมการเลือกตั้งและการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมและป้องกันการทุจริตการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อให้กรรมการที่สามารถปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจได้อย่างถูกต้อง เที่ยงธรรมและไม่เลือกปฏิบัติอันทำให้เกิดการยอมรับของทุกภาคส่วน ตาม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 222 และมาตรา 224 ประกอบ มาตรา 82
มาตรา 82 “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (3) (5) (6) (7) (8) (9) (10) หรือ (12) หรือ มาตรา 111 (3) (4) (5) หรือ (7) แล้วแต่กรณี และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้อง ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงหรือไม่
เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ ศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้องตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง
มิให้นับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสองเป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามวรรคหนึ่งได้ด้วย”
มาตรานี้มีความมุ่งหมายกำหนดกลไกในการดำเนินการเมื่อมีเหตุสงสัยว่าสมาชิกภาพของสภาแต่ละสภาสิ้นสุดลงและผลแห่งการที่สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ได้เพิ่มเติมหลักการใหม่ ให้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัย หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้อง มีกรณีตามที่ถูกร้องนั้น และการกำหนดไม่ให้นับ สมาชิกวุฒิสภา ซึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ วุฒิสภา
กำหนดให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีอำนาจดำเนินการได้ด้วย เช่นเดียวกับที่เคยบัญญัติใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 91 วรรคท้าย แต่ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ส่งเรื่องไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยได้โดยตรงไม่ต้องส่งผ่านประธานแห่งสภาที่ วุฒิสภา ผู้นั้นเป็นสมาชิก
จาก บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว การจัดการเลือกตั้งให้ได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2567 ถึง วันที่ 26 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาเป็นการเลือกตั้งโดยไม่สุจริตเที่ยงธรรมจึงเป็นหน้าที่โดยตรงของประชาชนที่จะติตตามให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ดำเนินการตามหน้าที่อำนาจตาม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ดังนี้
@ 138 สว. โหวต ‘ไม่แตกแถว’
ข้อเท็จจริงด้วยปรากฎพยานหลักฐานตามคำร้องของ ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา ที่ได้ยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลฎีกาแผนคดีเลือกตั้ง ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลปกครอง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลรัฐธรรมนูญ และพยานหลักฐานที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ทำการสืบสวนสอบสวน สอบปากคำพยานบุคคล พยานแวดล้อม พยานผู้เชียวชาญวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ทั้งยังตรวจสอบข้อมูลทางธุรกรรมบุคคลในขบวนการ 12,000 คน ตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์อีก 20,000 เลขหมาย มีการนำกลุ่มพยานในที่เกิดเหตุนำชี้พื้นที่เกิดเหตุต่าง ๆ เช่น จุดที่พบโพยลงคะแนน จุดที่มีการพูดคุยหารือบริเวณที่กลุ่มผู้ใส่เสื้อสีเดียวกันร่วมกลุ่มกัน เป็นต้น มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Al) และภูมิสารสนเทศ ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ปรากฎตามสื่อมวลชนและจากการสืบสวนสอบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
สรุปได้ว่า สมาชิกวุฒิสภา จำนวน 138 คน (รายละเอียดปรากฏตามรายชื่อแนบท้ายคำร้องฉบับนี้) มีพฤติการณ์การกระทำอยู่ภายใต้อาณัติของ พรรคภูมิใจไทย และผู้เป็นเจ้าของพรรคตัวจริง
ตามสำนวนการสืบสวนสอบสวนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า สมาชิกวุฒิสภา นับตั้งแต่เข้าปฏิบัติหน้าที่ก็จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า “ไม่มีความเป็นกลาง เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคภูมิใจไทย และกลุ่มบุคคลผู้มีอิทธิพลของพรรคภูมิใจไทย” การปฏิบัติหน้าที่ก็อาศัยเสียงข้างมากในสภาคัดเลือกกลุ่ม “สมาชิกวุฒิสภาสายสีน้ำเงิน” เป็นประธาน รองประธาน และประธานกรรมาธิการทุกคณะ ทิศทางการลงมติของ สมาชิกวุฒิสภา ชุดนี้จึงเป็นไปในทิศทางเดียวกันทุกครั้ง
ยิ่งปรากฏถึงความพร้อมเพรียงของ สมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่เรียกว่า “สว.สีน้ำเงิน” เช่นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 จาก การประชุมวุฒิสภา ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 21 ครั้ง ตรวจสอบพบว่ามีการลงมติ 48 ครั้งโดย สมาชิกวุฒิสภา นอกกลุ่มสีน้ำเงิน แพ้ทุกการโหวต ไม่ว่าจะโชว์ประเด็นใด เรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ไล่ตั้งแต่การกำหนดเวลา กติกา ตัวแสดง ก็ไม่อาจโต้แย้งทิศทางจากเหล่า สมาชิกวุฒิสภา ที่เรียกว่า สมาชิกวุฒิสภาสีน้ำเงินได้ โดยเฉพาะการเลือกตำแหน่ง ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภา ปรากฏว่าทั้ง ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภา ทั้ง 3 ตำแหน่งเป็นของ สว.สีน้ำเงิน
@ แทรกแซง ‘สว.สีน้ำเงิน’ ตั้ง ‘องค์กรอิสระ’
โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นที่น่าห่วงคือ การเห็นชอบกับกรรมการผู้ดำรงตำแหน่งในกรรมการอิสระ เช่น การให้ความเห็นชอบ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเมื่อ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ไม่ยอมไปพบกับ นาย XXX ผลการลงคะแนนจึงไม่ได้รับการเลือก อีกกรณีการให้ความเห็นชอบ นาง XXX ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้มีความรู้ความสามารถประสบการณ์การทำงาน แต่ไม่ยอมรับข้อเสนอของผู้มีอิทธิพลของพรรค ผลการลงคะแนนก็ไม่ได้รับการคัดเลือก
ในปัจจุบันนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สมาชิกวุฒิสภา ชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายใต้อาณัติของ พรรคภูมิใจไทย และผู้มีอิทธิพลใน พรรคภูมิใจไทย ดังกรณีตัวอย่างข้างต้น ซึ่งเป็นประจักษ์พยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า สมาชิกวุฒิสภา ชุดนี้มีพฤติการณ์การกระทำฝ่าฝืน บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 อย่างชัดแจ้ง และเป็นกรณีที่เกิดผลกระทบความเสียหายอย่างร้ายแรงเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้อง ต่อ อัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 (รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบท้ายคำร้องฉบับนี้)
พฤติการณ์การกระทำเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าต้องการได้อำนาจการปกครองโดยเบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างรูปแบบ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งได้แบ่งแยก อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและ อำนาจตุลาการ อย่างชัดแจ้ง
ในปัจจุบัน ตาม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ องค์กรอิสระ มีหน้าที่อันสำคัญที่จะต้องพิจารณาว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ชอบหรือมิชอบด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ การกระทำของ คณะรัฐมนตรี กรณีเกี่ยวกับคุณสมบัติ มาตรฐานจริยธรรม ก็เป็นหน้าที่ของ องค์กรอิสระ ที่จะต้องพิจารณา และเมื่อบุคลากรใน องค์กรอิสระ มีที่มาต้องได้รับความเห็นชอบจาก สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งอยู่ภายใต้อาณัติของ พรรคภูมิใจไทย แล้ว ก็จะทำให้การทำหน้าที่ของ องค์กรอิสระ ต้องเสียความเป็นกลาง ดังปรากฏขึ้นแล้วใน สมาชิกวุฒิสภา ยุคก่อนหน้านี้
อีกทั้งพยานหลักฐานจากสำนวนการสอบสวนพบว่า สมาชิกวุฒิสภา จำนวนดังกล่าว มีที่มาอันเกิดจากการฉ้อฉลของ พรรคภูมิใจไทย และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนใหญ่ หากปล่อยให้ สมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ยังคงทำหน้าที่ต่อไป
โดยเฉพาะการให้ความเห็นชอบบุคคลที่อยู่จะดำรงตำแหน่งใน องค์กรอิสระเช่นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 จะมีการเปิดการประชุมสมัยวิสามัญ ประธานวุฒิสภา ก็นำญัตติกรณีให้ความเห็นชอบ ผู้ได้รับการคัดสรรเป็น กรรมการการเลือกตั้ง 1 ท่าน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 ท่าน กรรมการ ป.ป.ช. 3 ท่าน การให้ความเห็นชอบบุคคลดังกล่าว ก็จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าที่ผ่านมาหากบุคคลที่ได้รับการเลือกสรรมิได้อยู่ในอาณัติหรืออยู่ในอิทธิพลของ พรรคภูมิใจไทยก็จะไม่ได้รับความเห็นชอบ ดังกรณีของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
พฤติการณ์การปฏิบัติหน้าที่ของ สมาชิกวุฒิสภา ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อ บทบัญญัติรัฐธธรรมนูญ ไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองและไม่ชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อีกทั้งตาม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กรณีที่ สมาชิกวุฒิสภา ให้ความเห็นชอบไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบ
@ ยับยั้งความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อปชต.
ฉะนั้น เพื่อเป็นการป้องกันยับยั้งความเสียหายอย่างร้ายแรงมีผลกระทบต่อ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญของสมาชิกวุฒิสภา
ผู้ร้อง จึงยื่นคำร้องขอให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ใช้หน้าที่ตาม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคท้ายนำส่งสำนวนการสอบสวนที่สรุปว่า สมาชิกวุฒิสภา จำนวน 138 คน ฝ่าฝืน บทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 113 และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับพรรคภูมิใจไทย เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 ประกอบ มาตรา 111 (7) ต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการโดยด่วน
ทั้งหมดนี้ ยังเป็นเพียงคำร้องและข้อกล่าวหา ยังต้องรอกกต.แสวงหาข้อเท็จจริง พยานและหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สำคัญการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงแสดงความบริสุทธิ์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา