"...ที่ผ่านมาก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงหลักสูตรข้างต้นว่าเป็นการรวมตัวของชนชั้นนำ การเข้าร่วมอบรมหลักสูตรเหล่านั้นทำให้มีการสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายทางทางการเมืองที่กระจายไปในทุกแห่งทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่งผลต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองไทย สำนักข่าวอิศราจึงสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรข้างต้นว่า เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มีวัตถุประสงค์ใด มานำเสนอให้สาธารณชนทราบ..."
สืบเนื่องสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวกรณี นายบุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา กรรมการบริหารศาลยุติธรรม และ นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ ได้ทำบันทึกข้อความ ถึงประธานศาลฏีกาในฐานะประธานกรรมการบริหารศาลยุติธรรม และประธานกรรมการตุลาการ เพื่อขอให้ยกเลิกหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) และกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิบไตยสำหรับนักบริหาระดับดับสูง (ป.ป.ร.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) หรือหลักสูตรอื่นในลักษณะเดียวกัน
เนื่องจากเห็นว่า หลักสูตรอบรมต่าง ๆ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดแก่การปฏิบัติงานของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ทั้งยังอาจนำไปสู่การผิดศีล ผิดวินัย ของผู้พิพากษา ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ ซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม นอกจากนี้ การใช้งบประมาณเพื่อจัดให้มีหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ประเทศชาติ ที่สำคัญที่สุดหลักสูตรนี้ทำให้ความเชื่อถือที่สาธารณชนมีต่อศาลยุติธรรมลดลง
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่สำนักข่าวอิศรา นำเสนอข่าวดังกล่าว ปรากฏว่า มีนักกฎหมายหรือนักวิชาการแสดงความเห็นเชิงสนับสนุนในการยกเลิกหลักสูตรต่างๆ ด้วย เช่น ผศ.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า “กรณีผู้พิพากษาสองนายทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกาให้เลิกจัดอบรมหลักสูตรพิเศษนี่เป็นกรณีตัวอย่างเลย ว่าถ้าตุลาการจะรอด ต้องอาศัยแรงจากคนข้างในนั่นล่ะ ทักท้วงคัดค้านกันเอง แรงจากภายนอกนั้น หนึ่ง ไม่อาจกดดันศาลได้ อ่อนไป น้อยไป ห่างไกลกันเกินไป สอง เป็นการก้าวก่ายความเป็นอิสระของศาล ดังนั้น คนนอกช่วยกันส่งเสียงแล้ว ถ้ากลไกและวัฒนธรรมองค์กรข้างในเปิดโอกาสให้คนในพูดขึ้นมาได้บ้างก็จะหนุนเสริมกันช่วยปฏิรูปศาลให้เป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้นได้จริง คนในถ้าพูดแล้วเข้าท่ามีเหตุผล คนนอกมีแต่จะสรรเสริญเป็นกำลังใจยิ่งๆขึ้นไป”
นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กมีใจความสำคัญว่า "ในฐานะที่อยู่ในแวดวงนักกฎหมายจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับข้อเสนอของท่านผู้รักษาสาริกาทั้งสองท่าน โดยเห็นว่า นอกจากหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดแก่การปฏิบัติงานของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ทั้งยังอาจนำไปสู่การผิดศีล ผิดวินัย ของผู้พิพากษา ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ ซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม การใช้งบประมาณเพื่อจัดให้มีหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ประเทศชาติ ที่สำคัญที่สุดหลักสูตรนี้ทำให้ความเชื่อถือที่สาธารณชนมีต่อศาลยุติธรรมลดลง"
เพื่อให้สาธารณชนรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีนี้มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา ย้อนนำข้อมูลหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) , หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) , หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิบไตยสำหรับนักบริหาระดับดับสูง (ป.ป.ร.) และหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) ถึงที่มาที่ไป วัตถุประสงค์การจัดอบรม มานำเสนอให้สาธารณชนได้ทราบ ณ ดังนี้
@ หลักสูตร บ.ย.ส.
หลักสูตร บ.ย.ส.เริ่มเปิดหลักสูตรตั้งแต่ปี 2539 ยังไม่พบข้อมูลผู้ผ่านการอบรบตั้งแต่รุ่นที่ 1-รุ่นที่ 29 มีจำนวนเท่าใดและมีผู้ใดบ้าง แต่พบข้อมูลที่น่าสนใจ คือ เอกสารเกี่ยวกับโครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง รุ่นที่ 29 ที่ระบุตั้งแต่หลักการและเหตุผลในการจัดอบรบไปจนถึงกำหนดการพิธีเปิดการอบรบหลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 30 ในวันที่ 19 ก.ย. 2568 ซึ่งมีวิทยาลัยการยุติธรรม หน่วยงานในสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เป็นผู้จัดการอบรม โดยเอกสารดังกล่าวระบุข้อความที่น่าสนใจดังนี้
โครงการอบรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 29 ระหว่างเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนกรกฎาคม 2568 วิทยาลัยการยุติธรรม สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม
หลักการและเหตุผล
หลักการของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมีสาระสำคัญเพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการธำรงไว้ซึ่งเอกราชและความมั่นคงของชาติ การทำนุบำรุงศาสนา การเทิดทูนพระมหากษัตริย์ การยึดถือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นหลักการ ที่จะให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน เปิดโอกาสให้ประชาชนมีบทบาท มีส่วนร่วมในการปกครอง และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างกว้างขวาง รวมทั้งเสริมสร้างสถาบันศาล องค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามหลักนิติธรรมโดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยเน้นลักษณะคุณค่าและความสำคัญด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ทั้งปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมได้ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ ต่อสังคมไทย ทำให้การกระทำความผิดต่อบุคคลและสังคมมีความรุนแรงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ การค้ามนุษย์และการทุจริต คอร์รัปชันซึ่งก่อโดยองค์กรอาชญากรรมและบุคคลที่มีอิทธิพลด้านการเงิน เทคโนโลยี และการเมือง
กระบวนการยุติธรรมของไทยจึงต้องพัฒนาองค์ความรู้ให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงข้างต้น ตลอดจนใช้วิทยาการทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมาย การอำนวยความยุติธรรม การเสริมสร้างกลไกการป้องกันแก้ไขภัยดังกล่าวข้างต้นมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องด้วยการบริหารงานกระบวนการยุติธรรมของไทยมีลักษณะโครงสร้างเป็นการแบ่งแยกอำนาจและหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ทำให้แต่ละหน่วยงานมีหลักการ การใช้ดุลพินิจ และแนวปฏิบัติงานในการอำนวยความยุติธรรมที่แตกต่างกัน ภายใต้แนวคิดและปรัชญาที่แตกต่างกัน ทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่อาจบรรลุผลในการอำนวยความยุติธรรมได้ตามความคาดหวัง
ดังนั้น เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมของไทยสามารถขับเคลื่อนอย่างมีทิศทางและเป้าหมายร่วมกันในอันที่จะอำนวยความยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัตน์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสำนักงานศาลยุติธรรมจึงเห็นความจำเป็นที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่องค์กรต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม องค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ตลอดจนองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทในการเสริมสร้างสนับสนุนการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนตามกฎหมาย ทั้งให้องค์กรเหล่านี้มีโอกาสแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ความคิด ประสบการณ์ ตลอดจนสร้างเครือข่ายประสานการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประชาชนเสมอกันในกฎหมาย ได้รับความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรมตามกฎหมาย เท่าเทียมกัน สร้างฐานสังคมให้มีคุณธรรม เกิดความมั่นคง สันติสุข ปลอดจากภัยคุกคามของอาชญากรรม และการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของประเทศและความผาสุกของประชาชนสืบไป
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรทุกภาคส่วนได้เสริมสร้างความรู้และวิทยาการ ด้านกระบวนการยุติธรรม การเมืองการปกครอง สภาพสังคม และสภาพเศรษฐกิจ อันจะนำความรู้ ไปพัฒนาประเทศให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด
2. เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรได้ร่วมกันสร้างแผนยุทธศาสตร์กระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ อันจะเป็นแนวทางให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนำไปศึกษาหรือ นำแนวทางไปดำเนินการให้กระบวนการยุติธรรมไปในทิศทางเดียวกัน
3. เพื่อกระชับความร่วมมือทางการศาลยุติธรรม และความร่วมมือทางวิชาการ อันจะนำไปสู่ การเสริมสร้างสถานะและบทบาทศาลยุติธรรมในเวทีระหว่างประเทศ
4. เพื่อสร้างความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการบริหารงานพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบ และสามารถนำองค์กรไปสู่ผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์ของ สังคมและประเทศชาติ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรทุกภาคส่วนมีความรู้และวิทยาการในกระบวนการยุติธรรม การเมือง การปกครอง สภาพสังคมและสภาพเศรษฐกิจ และนำความรู้ไปพัฒนาประเทศ ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่จะกำหนดต่อไป
2. มีแผนยุทธศาสตร์กระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานใน กระบวนการยุติธรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนำไปศึกษาหรือนำแนวทางไปดำเนินการให้ กระบวนการยุติธรรมไปในทิศทางเดียวกัน
3. มีการสร้างเครือข่ายสนับสนุนงานด้านกระบวนการยุติธรรม เพื่อกระชับความร่วมมือทางการ ศาลยุติธรรมและความร่วมมือทางวิชาการ อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างสถานะและบทบาทศาลยุติธรรม ในเวทีระหว่างประเทศ
4. ผู้เข้ารับการอบรมเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการบริหารงาน พร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบ และสามารถนำองค์กรไปสู่ผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์ของ สังคมและประเทศชาติ
(ดูเอกสารเพิ่มเติม etrainingadmc.admincourt.go.th/assets/files_upload/)
@ หลักสูตร วปอ.
เว็บไซต์ www.silpa-mag.com เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2567 โดยวิภา จิรภาไพศาล เคยรายงานข้อมูลที่มาของหลักสูตร วปอ. ระบุว่า ปี 2498 เปิดรับนักศึกษาหลักสูตร วปอ. รุ่นที่ 1 โดยรับเฉพาะข้าราชการทหารตำรวจที่มียศตั้งแต่พลจัตวาขึ้นไปจากทั้ง 3 เหล่าทัพ กับข้าราชการพลเรือนชั้นพิเศษ และนายตำรวจที่มียศตั้งแต่นายพลตำรวจจัตวาขึ้นไป โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ นักศึกษาทุกคนจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้เข้ารับการศึกษา เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นระหว่างทหารและข้าราชพลเรือน หรือระบบราชการ ซึ่งเป็นกลไกในการพัฒนาประเทศในขณะนั้น
ปี 2510 หลักสูตรเปิดกว้างมากขึ้น โดยขยายให้ผู้บริหารระดับสูงจากรัฐวิสาหกิจต่างๆ เข้าร่วมอบรมในหลักสูตร
ปี 2532 วปอ. เห็นความจำเป็นของการส่งเสริมให้ภาคเอกชน เข้ามาร่วมสร้างความมั่นคงของชาติด้านเศรษฐกิจร่วมกันกับภาครัฐบาล จึงเปิด “หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมกับภาคเอกชน (ปรอ.)” จึงผู้บริหารระดับสูงจากธุรกิจเอกชนหลายแห่งมาเป็นศิษย์เก่าของ วปอ.
ปี 2546 พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีความเห็นว่าภาคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติและนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ จึงเสนอแนะให้ วปอ. เปิดหลักสูตรการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้นักการเมืองได้มีส่วนร่วมเข้ารับการศึกษา จึงได้เปิดการศึกษา “หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐเอกชนและการเมือง (วปม.)”
ปี 2550 สภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร มีมติให้ปิดการศึกษาหลักสูตร วปม. ลง แต่ยังคงให้นักการเมืองสามารถเข้ามาศึกษาร่วมในหลักสูตร ปรอ. ได้ โดยเข้ามาศึกษาในคุณสมบัติของบุคคลทั่วไป เพื่อให้ทุกๆ ฝ่ายได้เสริมสร้างความมั่นคงร่วมกัน
ปี 2555 สภา วปอ. มีมติให้เปิดการศึกษาหลักสูตร วปม. อีกครั้ง และมีการศึกษาต่อเนื่องมาจนถึง วปม.รุ่นที่ 7 ในปีการศึกษา 2556
ปี 2557 สภา วปอ. ได้มีมติเห็นชอบให้เหลือเพียงหลักสูตรเดียว คือ วปอ. โดยมีการปรับหัวข้อวิชาการหลักสูตรต่างๆ หลักสูตรเดียว เพื่อให้การจัดการศึกษามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและไม่เกิดความแตกต่างกันในแต่ละหลักสูตร
นอกจากนี้เว็บไซต์วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (www.thaindc.org) ระบุข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) มีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
ความมุ่งหมาย: เพื่อให้นักศึกษาทราบถึงกระบวนการศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในบทบาทของกองทัพ ภาครัฐ เอกชน และภาคการเมืองในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักศึกษาและคณาจารย์
ผลลัพธ์ที่ต้องการ: นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการศึกษาของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ รวมทั้งบทบาทของกองทัพ ภาครัฐ เอกชน และภาคการเมือง ต่อการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ตลอดจนมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน สามารถประสานงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความพร้อมต่อการศึกษาในภาคการศึกษาหลัก
ขอบเขตการศึกษา: เพื่อที่จะให้บรรลุความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษา จึงจัดให้นักศึกษาได้รับความรู้เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. กระบวนการศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ
2. บทบาทและภารกิจของกองทัพในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ
3. บทบาทของภาครัฐและเอกชนในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ
4. พื้นฐานเบื้องต้นการทำเอกสารวิจัยส่วนบุคคล
5. กิจกรรมลูกเสือ และการเสริมสร้างภาวะ ตลอดจนประสบการณ์ผู้นำ
นอกจากนี้ยังคุณสมบัติผู้สมัครเข้ารับการศีกษาหลักสูตร วปอ. ที่ระบุคุณสมบัติทั่วไป ได้แก่
1.1 เป็นบุคคลมีสัญชาติไทย
1.2 สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่าขึ้นไป (ยกเว้นปริญญากิตติมศักดิ์)
1.3 เป็นผู้มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง และสามารถเข้ารับการศึกษาได้ตลอดหลักสูตร
1.4 เป็นผู้ได้รับความยินยอมให้เข้ารับการศึกษาตามสายการบังคับบัญชา
1.5 ไม่เป็นพระภิกษุ นักพรต นักบวช
1.6 ไม่เคยต้องโทษจําคุก หรือต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่โทษสําหรับความผิดอันได้กระทํา โดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
1.7 ไม่เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก
1.8 ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี
1.9 มีคุณสมบัติอื่น ๆ ตามที่สภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ กําหนด
คุณสมบัติเฉพาะ โดยในคุณสมบัติเฉพาะ มีข้อหนึ่งระบุว่า เป็นผู้ได้รับความไว้วางใจเข้าถึงชั้นความลับของทางราชการระดับ “ลับที่สุด” ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ และว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ
(ดูข้อมูลคุณสมบัติผู้สมัครหลักสูตร วปอ.ที่ www.thaindc.org/attachments/view/?attach_id=350084)
@ ‘คนดัง’ คนไหนบ้างร่วมอบรบหลักสูตร วปอ.?
สำนักข่าวอิศราสืบค้นและรวบข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต พบบุคคลที่น่าสนใจที่เข้าร่วมอบรมหลักสูตร วปอ. เช่น วปอ.รุ่น 50 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์, วปอ.รุ่น 55 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ, วปอ.รุ่น 61 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, วปอ.รุ่น 65 พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล นายศุภชัย เจียรวนนท์, วปอ. รุ่น 67 พล.ต.วินธัย สุวารี น.ส.ปณิชา ชินวัตร เป็นต้น
@ หลักสูตร ป.ป.ร.
หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) เริ่มเปิดหลักสูตรตั้งแต่ปี 2539 และพบข้อมูลจากเอกสารคู่มือการสมัครเข้ารับการศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 28 ปีการศึกษา พ.ศ.2567-2568 โดยวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า ระบุข้อมูลน่าสนใจ ดังนี้
วัตถุประสงค์
- วัตถุประสงค์ทั่วไป
เพื่อพัฒนาการเมืองการปกครองไทย โดยการพัฒนาบุคลากรและสร้างเครือข่ายในการร่วมสร้างสรรค์ ประชาธิปไตยให้เกิดสันติสุขสถาพรแก่ประชาชนชาวไทยทั้งปวง
- วัตถุประสงค์เฉพาะ
1. เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยและ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อสังคมไทย ทำงด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิทาศาสตร์ และเทคโนโลยี
2. เสริมสร้างเจตคติ ค่านิยม ความคิดและวิถีชีวิตประชาธิปไตย
3. เพิ่มพูนทักษะการวิเครำะห์และพฤติกรรมประชาธิปไตย ที่เอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละบุคคลในปัจจุบันและอนาคต
4. ร่วมกันแสวงหาแนวทาง และวิธีการในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย
5. เสริมสร้างบทบำทและเครือข่ายในการสร้างสรรค์และเผยแพร่ประชาธิปไตยให้เกิดสันติสุขสถาพร
จำนวนและกลุ่มเป้าหมาย: สถาบันฯ พิจารณารับนักศึกษาจำนวน 160 คน ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนรำษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้บริหารองค์กรอิสระ ผู้บริหารพรรคการเมือง ข้าราชการการเมือง นักบริหารจากภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ ทหาร ตำรวจ องค์กรพัฒนาเอกชน ศิลปิน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ โดยผู้เข้ารับการศึกษา ต้องมีคุณสมบัติตามประกาศสถาบันพระปกเกล้าเรื่องคุณสมบัติหลักเกณฑ์ และการคัดเลือกผู้เข้ารับการศึกษา หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 28 ตามที่ประกาศ
@ หลักสูตร วตท.
หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) เริ่มเปิดหลักสูตรตั้งแต่ปี 2548 โดยข้อมูลจากเว็บไซต์สถาบันวิทยาการตลาดทุน (www.cma.in.th/th/cma/detail/) ระบุว่า วัตถุประสงค์ของหลักสูตรสอดคล้องโดยตรงกับ วัตถุประสงค์ของสถาบัน เพื่อสร้างผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถทางธุรกิจตลาดทุน โดยมีวิสัยทัศน์อันเป็นพลวัตและประกอบด้วยภาวะผู้นำที่มีคุณธรรม สามารถทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมายทั้งด้านภารกิจขององค์กรและบทบาทในสังคม และนักศึกษาจะต้องชําระค่ากิจกรรมในหลักสูตร จํานวน 200,000 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัครเข้าเป็นนักศึกษา
- มีอายุครบ 40 ปีบริบูรณ์แล้ว ณ วันเปิดการศึกษา
- เป็นผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงิน องค์กร หน่วยงานของรัฐ และเอกชน ที่รวมถึงผู้บริหารระดับสูงด้านการศึกษา ด้านสื่อมวลชน องค์กรสาธารณกุศล หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ การเงิน และตลาดทุน ที่ดำเนินกิจการด้วยหลักธรรมาภิบาล ไม่มีชื่อเสียงในทางเสียหาย และทำคุณประโยชน์ต่อสังคมเป็นที่ประจักษ์
- มีความพร้อมจัดสรรเวลาเข้าร่วมกิจกรรมในฐานะนักศึกษาของสถาบันฯ ร่วมกับนักศึกษาอื่นๆ ได้อย่างครบถ้วน ตามที่สถาบันกำหนด กรณีที่ไม่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กร ต้องเป็นผู้บริหารระดับสูงในระดับกำหนดนโยบายที่ได้รับความยินยอมจากผู้บังคับบัญชาให้เข้าร่วมหลักสูตร
- ไม่อยู่ระหว่างศึกษาในหลักสูตรอื่นใด และจะไม่สมัครหลักสูตรอื่น ๆ ระหว่างการศึกษาในหลักสูตร วตท.
- เป็นผู้ที่ให้การสนับสนุน และพร้อมสนับสนุนกิจกรรมในการพัฒนาตลาดทุนไทยในด้านต่าง ๆ รวมถึงการทำงานร่วมกับ กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Group) หรือพร้อมสนับสนุนการดำเนินนโยบายหรือกลยุทธ์ในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ฯ
- เป็นผู้บริหารขององค์กรสำคัญที่สถาบันฯ เห็นควรเสนอชื่อเพื่อพิจารณาอนุมัติเข้ารับการศึกษา
- เป็นผู้ไม่เคยเรียนหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงอื่น ๆ มาก่อน จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
- เป็นผู้บริหารภาคเอกชนที่ผ่านหลักสูตรสำหรับกรรมการบริษัท Director Certification Program (DCP) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) หรือผู้บริหารที่ผ่านหลักสูตรการกำกับดูแลสำหรับกรรมการและผู้บริหารระดับสูงขององค์กรกำกับดูแล (Regulators) รัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน (PDI) สถาบันพระปกเกล้า จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
เหล่านี้ คือ ข้อมูลหลักสูตรอบรบผู้บริหารระดับสูง ที่ถูกกล่าวถึงในบันทึกข้อความของ 2 ผู้พิพากษา ที่ทำถึงประธานศาลฏีกาในฐานะประธานกรรมการบริหารศาลยุติธรรม และประธานกรรมการตุลาการ เพื่อขอให้ยกเลิกและกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรม ของ 2 ผู้พิพากษาที่เห็นว่า หลักสูตรอบรมต่าง ๆ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดแก่การปฏิบัติงานของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ทั้งยังอาจนำไปสู่การผิดศีล ผิดวินัย ของผู้พิพากษา ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ ซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม
ขณะที่ผู้พิพากษาทั้ง 2 ราย ยังระบุด้วยว่า แม้หลักสูตรเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความรู้ให้แก่ผู้เข้ารับการศึกษา แต่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า อีกวัตถุประสงค์หนึ่งคือเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างผู้เข้ารับการศึกษาซึ่งมีทั้งผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและเอกชน วัตถุประสงค์ดังกล่าวเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้มีผู้ต้องการสมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งการที่ศาลยุติธรรมและผู้พิพากษาสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกจำนวนมากในลักษณะเป็นเครือข่ายผ่านหลักสูตรต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมา โดยที่บุคคลเหล่านี้อาจเข้ามาเป็นคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมได้ในอนาคต ย่อมทำให้สาธาธารณชนเคลือบแคลงสงสัยในความบริสุทธิ์ยุติธรรม ความเป็นกลางที่ปราศจากอคติ ความเป็นอิสระ และความซื่อสัตย์สุจริตของผู้พิพากษาได้
ผลการพิจารณาของประธานศาลฏีกาต่อเรื่องนี้ จะออกมาเป็นอย่างไร คอยติดตามดูกันต่อไป