"...ผู้ตายพูดกับจําเลยว่า “ผมไม่ได้ท้าเฮีย กินกันเฉย ๆ” จําเลยตอบกลับว่า “กูเป็นกํานัน มึงไม่ต้องมาท้ากินหรอก ถึงกลับบ้านไปก่อนเถอะ มึงกับกูพี่น้องกัน กูไม่ อยากเสียความรู้สึก” เมื่อผู้ตายเดินกลับไปยังโต๊ะวีไอพี พยานยังคงนั่งยอง ๆ ใกล้จําเลย จําเลยพูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ปืนอยู่ไหนวะ” ซึ่งขณะนั้นมีนายสายัณต์นั่งอยู่ติด กับจําเลย..."
"การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมาย มาตรา 288 ,60 ,80, 84 ให้ลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำผิดร้ายแรงอย่างอุกอาจ
อย่างไรก็ตามระหว่างพิจารณา จำเลยได้บรรเทาผลร้ายในคดีด้วยการชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วมทั้งห้าจนเป็นที่พอใจยอมถอนคำร้องเรียกค่าเสียหาย
กรณีมีเหตุอันควรปรานีเห็นสมควรลงโทษจำเลยเป็นจำคุกตลอดชีวิต ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนของกลาง และนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท. 206/2566 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่สั่งจำคุกนายประวีณจำเลยรวม 2 ปี"
คือ บทสรุปคำพิพากษาศาลอาญา ที่พิพากษาตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในคดีที่นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก อายุ 37 ปี เป็นจำเลยถูกกว่าหาว่ามีส่วนในการสั่งการให้สังหาร พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว สว.กก.2 บก.ทล. หรือสารวัตรแบงค์ ที่โด่งดังในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
ต่อไปนี้ เป็นคำพิพากษาศาลอาญา ฉบับเต็มที่ตัดสินคดีนี้ ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้
คดีนี้ มีพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ นางทัศนัย สายบัว , นายศิลนา สายบัว , นางสาวเขมินทรา จิรสัจจานุกุล , เด็กหญิงพิชามญช์ุ สายบัว โดยนางสาวเขมินทรา จิรสัจจานุกูล ผู้แทนโดยชอบธรรม และ พันตํารวจโทวศิน พันปี เป็นโจทก์ร่วม
นายประวีณหรือกํานันนก จันทร์คล้าย เป็นจำเลย
@ คำฟ้องโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จําเลยจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขึ้นภายในบริเวณหน้าบ้านเลขที่ 55/1 หมู่ที่ 2 ตําบลตาก้องอําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ของจําเลย โดยมีเจ้าพนักงานตํารวจมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์หลายนาย ซึ่งมีพันตํารวจตรีศิวกร สายบัว ผู้ตาย และพันตํารวจโทวศิน พันปี ผู้บาดเจ็บ รวมถึงนายธนัญชัยหรือหน่อง หมั่นมาก คนสนิทใกล้ชิด กับจําเลย อยู่ร่วมงานเลี้ยงด้วย
ต่อมาจําเลยกับผู้ตายท้าทายแข่งขันดื่มสุรากัน โดยจําเลยเป็นฝ่ายแพ้ ทําให้จําเลยมีอารมณ์โมโห เสียหน้า รวมทั้งมีเหตุไม่พอใจด้วยสาเหตุอื่นมาก่อนแล้ว จําเลยจึงลุกเดินออกจากโต๊ะที่นั่งร่วมกับผู้ตาย ผู้บาดเจ็บ และเจ้าพนักงานตํารวจอื่น ต่อมาในวันเดียวกัน เวลากลางคืนหลังเที่ยง ภายหลังจากที่จําเลยมีสาเหตุไม่พอใจผู้ตาย จําเลยก็ให้นายธนัญชัยกระทําความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด โดยให้นายธนัญชัยฆ่าผู้ตาย
ต่อมา ในวันเวลาดังกล่าว นายธนัญชัยโดยมีเจตนาฆ่าตามการใช้ จ้างวานฆ่าของจําเลย ใช้อาวุธปืนออโตเมติก ยี่ห้อ GLOCK ขนาด 4 มม. หมายเลขทะเบียน กท 65008707 จํานวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนขนาด 9 มม. หลายนัด อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมายเล็งและยิงผู้ตายซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในงานเลี้ยงดังกล่าวหลายนัด
กระสุนปืนถูกอวัยวะสําคัญของผู้ตายหลายแห่ง และกระสุนปืนยังพลาดไปถูกผู้บาดเจ็บ ที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันที่บริเวณข้อศอกแขนขวา เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย สมดังเจตนาฆ่าของจําเลยและนายธนัญชัย ทั้งเป็นเหตุให้ผู้บาดเจ็บได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบ กรณีกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน
@ ประวีณ จันทร์คล้าย หรือ ‘กำนันนก’
เหตุเกิดที่ตําบลตาก้อง อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เจ้าพนักงานยึดปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. LUGER 4 ปลอก หัวกระสุนปืนขนาด 9 มม. 3 หัว ซึ่งได้จากการผ่าตัดออกจากศพของผู้ตาย 2 หัว และจากการผ่าตัดออกจากร่างกายของผู้บาดเจ็บ 1 หัว อาวุธปืนออโตเมติกยี่ห้อ GLOCK ขนาด 9 มม. 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน 10 นัด ดังกล่าว เครื่องบันทึกไฟล์ ภาพวีดีโอของกล้องวงจรปิด 2 เครื่อง ไว้เป็นของกลาง ซึ่งเครื่องกระสุนปืนหมดไปจากการทดลองยิงตรวจพิสูจน์
คดีนี้ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติมีคําสั่งให้โอนสํานวนการสอบสวนให้กองบังคับการปราบปรามรับผิดชอบทําการสอบสวน นายธนัญชัย ถูกเจ้าพนักงานตํารวจวิสามัญฆาตกรรม เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 สิทธิในการนําคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จําเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อท 206/2566 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 10, 10, 84, 288 ริบอาวุธปืนออโตเมติกยี่ห้อ GLOCK ขนาด 9 มม. 1 กระบอก ปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. LUGER 4 ปลอก หัวกระสุนปืนขนาด 9 มม.3 หัว ของกลาง และนับโทษของจําเลยต่อจากโทษของจําเลยในคดีอาญาหมายเลขดําที่อท 206/2566 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
ขอให้นับโทษต่อ
@ จําเลยให้การปฏิเสธ
จําเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีที่โจทก์
ระหว่างพิจารณา นางทัศนัย สายบัว นายศิลนา สายบัว นางสาวเขมินทรา จิรสัจจานุกูล เด็กหญิงพิชามญช์ุ สายบัว มารดา บิดา ภริยาและบุตรของพันตํารวจตรีศิวกร สายบัว ผู้ตาย ตามลําดับ และพันตํารวจโทวศิน พันปี ผู้บาดเจ็บ ยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลอนุญาต โดยให้เรียกเป็นโจทก์ร่วมที่ 1 ถึงที่ 5 ตามลําดับ โจทก์ร่วมที่ 1 ถึงที่ 4 ยื่นคําร้องขอให้บังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมเป็นเงิน 55,907,242 บาท ส่วนโจทก์รวมที่ 5 ยื่นคําร้องขอให้บังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 24,533,072 บาท
จําเลยให้การในคําขอส่วนแพ่งว่า จําเลยไม่ได้กระทําความผิดตามฟ้องไม่ได้กระทําละเมิดต่อโจทก์ร่วมทั้งห้า จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมทั้งห้า
ระหว่างสืบพยาน โจทก์ร่วมทั้งห้ายื่นคําร้องถอนคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และคําร้องขอให้บังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลอนุญาต และให้จําหน่ายคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมทั้งห้าออกจากสารบบความ
@ พิเคราะห์พยานหลักฐาน
พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจําเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่สํานักงาน ของจําเลย ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 55/1 หมู่ที่ 2 ตําบลตาก้อง อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ภายในสํานักงานมีอาคารจอดรถ ภายในอาคารจอดรถมีห้องสําหรับเก็บสุราและนั่งดื่ม สังสรรค์ มีอาคารบ้านพัก สระน้ำ ศาลาพระ ศาลาสําหรับนั่งพัก และลานกว้างหน้าอาคาร บ้านพักซึ่งเป็นสถานที่จัดวางโต๊ะงานเลี้ยง ตามแผนที่แสดงสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ระบุเลขหน้า 20/30 และ 20/29 มีแขกมาร่วมงานหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นเจ้าพนักงานตํารวจ
เมื่อหันหน้าเข้าที่เกิดเหตุ มีการจัดวางโต๊ะออกเป็นสองฝั่งโดยฝั่ง ซ้ายเป็นโต๊ะกลม 5 ตัว เรียงต่อกันเป็นโต๊ะยาว สําหรับรับรองแขกทั่วไป เรียกว่าโต๊ะยาว ส่วนฝั่งขวาเป็นโต๊ะกลมเดี่ยว สําหรับรับรองแขกที่เป็นนายตํารวจชั้นผู้ใหญ่ เรียกว่าโต๊ะวีไอพี ตรงกลางถัดจากโต๊ะยาวและโต๊ะวีไอพีมีเวทีจัดวางเครื่องเสียงสําหรับร้องเพลงคาราโอเกะวางอยู่ ถัดจากเวทีเครื่องเสียงเป็นอาคารบ้านพัก ทางซ้ายของโต๊ะยาวเป็น สระน้ำ มีศาลาพระ ศาลานั่งพัก
ปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ระบุเลขหน้า 20/28 และ 20/27 และภาพถ่ายประกอบคดี เอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ระบุเลขหน้า 20/5 หัวโต๊ะของโต๊ะยาวเป็นที่นั่งของจําเลย และคนที่ร่วมนั่งช่วงต้นของโต๊ะยาวได้แก่ พันตํารวจตรีเกียรติศักดิ์ สมสุข นายสายัณต์หรือกํานันหมู เส็งคานนท์ ร้อยตํารวจตรีสรรเสริญ ศรีสวัสดิ์ ร้อยตํารวจโทสมโชค บัวไชย ร้อยตํารวจโท ประสาร รอดผล ร้อยตํารวจโทมนัต จันทร์มีทรัพย์ ร้อยตํารวจโทนิมิตร สลิดกุล ร้อยตํารวจเอกศิริชัย รูปสวย ร้อยตํารวจเอกสมคิด นาคสุวรรณรัตน์
คนที่นั่งช่วงกลาง ถึงท้ายของโต๊ะยาว ได้แก่ ร้อยตํารวจโทณรงค์ศักดิ์ แตงอําไพ นายธนัญชัยหรือหน่อง หมั่นมาก ดาบตํารวจถนอมศักดิ์ มีศรี นายจักรกฤษณ์ เกิดศรีสุข ร้อยตํารวจเอกนุชิต บรรณชัย ดาบตํารวจสราวุฒิ เชียงทอง ร้อยตํารวจเอกจตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา จ่าสิบตํารวจทศพล แซ่อึ้ง จ่าสิบตํารวจอภิรักษ์ โรจน์พวง สิบตํารวจตรีสุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ สิบตํารวจตรีสรรเสริญ ศรีอุบล สิบตํารวจตรีธนทัต ท่าน้ำตื้น ร้อยตํารวจเอกประสมมาศ แสงสุขดี พันตํารวจโทภทร วรญาวิสุทธิ์
ส่วนโต๊ะวีไอพี เมื่อเปรียบเทียบกับรูปนาฬิกาวงกลม จุดตําแหน่ง 12 นาฬิกา หรือหัวโต๊ะ เป็นที่นั่งของจําเลย
โดยจําเลยจะนั่งสลับกันระหว่างโต๊ะยาวกับโต๊ะวีไอพี นายนริศร วุฒาพาณิชย์ อยู่เยื้องด้านหลังจําเลยเพื่อคอยบริการเครื่องดื่ม ตําแหน่ง 1 นาฬิกา เป็นที่นั่งของร้อยตํารวจเอกณัฏพลหรือกั้ง นาคกร
เมื่อลุกออกไป พันตํารวจโทวศิน พันปี ผู้บาดเจ็บมานั่งแทนที่ ถัดไปตามเข็มนาฬิกาเป็นที่นั่งของพันตํารวจเอกวชิรา ยาวไทยสงค์ พันตํารวจเอกภาณุทัต เหลืองสัจจกุล พันตํารวจเอกกฤษฎาพร จงอักษร ระหว่างบุคคลทั้งสองมีจ่าสิบตํารวจเมทิศกร พันศรีจันทร์ และจ่าสิบตํารวจพิสิฐหรืออาร์ต ชิวปรีชา อยู่ด้านหลังเพื่อคอยบริการเครื่องดื่ม ถัดไปมีดาบตํารวจชนาณัฐ วุฑฒยากร พันตํารวจตรี ศิวกร สายบัว ผู้ตาย และพันตํารวจตรีณรงค์ พิทักษ์ฉนวน นั่งอยู่ตามลําดับ
ต่อมาเวลา ประมาณ 21 นาฬิกา นายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัด กระสุนปืนถูกอวัยวะ สําคัญของผู้ตายหลายแห่ง และกระสุนปืนถูกบริเวณข้อศอกขวาของผู้บาดเจ็บ ซึ่งขณะนั้น ผู้ตายนั่งอยู่โต๊ะวีไอพีแต่เปลี่ยนที่นั่งมาอยู่ใกล้กับผู้บาดเจ็บ เจ้าพนักงานตํารวจที่ไปร่วมงาน บางส่วนร่วมกันพาผู้ตายและผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลศูนย์นครปฐม แต่ผู้ตายถึงแก่ความ ตายในเวลาต่อมา ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพและรายงานการตรวจศพ เอกสารหมาย จ.13 ส่วนผู้บาดเจ็บได้รับอันตรายสาหัส ตามรายงานการชันสูตรผู้ป่วยคดีและใบนําส่ง ผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตร เอกสารหมาย จ.14 และ จ.15
@ ปัญหาต้องวินิจฉัย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จําเลยกระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่
โจทก์มี ผู้บาดเจ็บ พันตํารวจเอกภาณุทัต พ้นตําารวจเอกกฤษฏาพร ดาบตํารวจขนาณัฐ พันตํารวจตรีณรงค์ พยานที่นั่งโต๊ะวีไอพี จ่าสิบตํารวจเมทิศกร จ่าสิบตํารวจพิสิฐ นายนริศร ผู้ทําหน้าที่บริการเครื่องดื่มติดกับโต๊ะวีไอพี และจ่าสิบตํารวจทศพลผู้ติดตามผู้ตายแต่นั่ง อยู่โต๊ะยาว เบิกความทํานองเดียวกันว่า ภายในงานมีแสงสว่างจากหลอดไฟที่ติดตั้งไว้บริเวณต้นไม้และอาคารสามารถมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน
ขณะที่จําเลยนั่งอยู่ที่โต๊ะวีไอพีซึ่งมีบุคคลตามที่กล่าวถึงข้างต้นนั่งอยู่และเป็นเวลาก่อนที่นายธนัญชัยจะยิงผู้ตายนั้น จําเลยขอให้พันตํารวจเอกวชิราย้ายจ่าสิบตํารวจพิสิฐจากสายตรวจรถยนต์มาดํารงตําแหน่งสายตรวจรถจักรยานยนต์ พันตํารวจเอกวชิราบอกให้ขอกับผู้ตายซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ของจ่าสิบตํารวจพิสิฐโดยตรง แต่ผู้ตายแจ้งว่ารอเดือนตุลาคมก่อน เนื่องจากจะมีเจ้าหน้าที่ เกษียณ
จําเลยมีท่าทีไม่พอใจและพูดว่าขอจ่าสิบตํารวจพิสิฐคนเดียว เนื่องจากเป็นหลานเขย ทําไมทําให้ไม่ได้ ผู้ตายจึงชวนจําเลยดื่มสุรา จําเลยรินในสุราไม่ผสมสิ่งใดใส่แก้วให้ทุกคนดื่ม
จําเลยพูดว่าใครดื่มสุราไม่หมดเป็นหมา ผู้ตายตอบกลับว่าอย่าหนีไปนอนก่อนแล้วกัน
โดยผู้ตายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหากุญแจมือมาใส่ข้อมือของจําเลยและผู้ตายติดกันเพื่อไม่ให้ ลุกหนี เมื่อหาไม่ได้ผู้ตายจึงได้นําผ้าที่ผูกเก้าอี้ไว้มาผูกแขนจําเลยและผู้ตายเข้าไว้ด้วยกัน แล้วทั้งคู่ก็แข่งขันดื่มสุราไปเรื่อย ๆ ส่วนมากผู้ตายจะดื่มสุราหมดก่อน เมื่อดื่มหมดแล้ว จะบอกจําเลยว่าหมดแล้วนะ พร้อมกับวางแก้วบนโต๊ะต่อหน้าจําเลย ซึ่งเป็นอยู่หลายครั้ง
จําเลยนั่งนิ่งเหมือนไม่พอใจมากขึ้น ผู้ตายจึงแกะผ้าที่ผูกข้อมือออก
จําเลยพูดว่ามึงไม่ต้อง มาท้ากู มึงรุ่นน้อง กูกินมาก่อนเยอะกว่ามึง หรือมึงจะเอากับกู
ผู้ตายจับมือจําเลยแล้วพูดว่า กินกันสนุก ๆ ครับ
จําเลยนิ่งไปมากกว่าเดิมและพูดว่ากูไม่ชอบให้ใครมาบีบมือ
จ่าสิบตํารวจพิสิฐที่อยู่ด้านหลังของทั้งคู่ พูดขอโทษ เนื่องจากรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุให้ทั้งคู่ไม่พอใจกัน แล้วทำท่าศีรษะปักพื้นเพื่อเป็นการทําโทษตัวเอง
จําเลยนั่งนิ่งไปและพูดว่านั่งไม่ได้แล้ว โต๊ะนี้มันหักหน้ากัน ไม่ให้เกียรติกันเลย
พูดจบจําเลยตบโต๊ะ 1 ครั้ง แล้วลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หัวโต๊ะของโต๊ะยาว โดยไม่มีผู้ใดเข้าไปพยุง
จ่าสิบตํารวจพิสิฐและผู้ตายเดินตามไป ซึ่งพยานปากผู้บาดเจ็บ พันตํารวจเอกภาณุทัต จ่าสิบตํารวจพิสิฐ นายนริศร และจ่าสิบ ตํารวจทศพล ยังเบิกความเพิ่มเติมทํานองเดียวกันอีกว่า จ่าสิบตํารวจพิสิฐเดินตามไปหา จําเลยที่โต๊ะยาวโดยนั่งยอง ๆ กอดเอวจําเลย เมื่อได้ยินจําเลยด่าทอจ่าสิบตํารวจพิสิฐ ผู้ตายจึงไปหาจําเลยด้วย
จ่าสิบตํารวจพิสิฐยกมือไหว้ขอโทษตลอด จําเลยด่าทอผู้ตาย ด้วยค่าหยาบพร้อมกับขี้หน้า และไล่ให้ผู้ตายกลับไป
ผู้ตายกลับมานั่งโต๊ะวีไอพีทางด้านขวา ของผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นตําแหน่งที่จําเลยเคยนั่ง หลังจากนั้นไม่นาน จ่าสิบตํารวจพิสิฐ เดินตามมาและขอตัวกลับออกจากงานเลี้ยง
ช่วงที่จ่าสิบตําจรวจพิสิฐและผู้ตายเข้าไปขอโทษจําเลยนั้น พยานปากจ่าสิบตํารวจพิสิฐเบิกความเพิ่มเติมว่า พยานนั่งยอง ๆ กอดเอวจําเลยไว้
ผู้ตายพูดกับจําเลยว่า “ผมไม่ได้ท้าเฮีย กินกันเฉย ๆ”
จําเลยตอบกลับว่า “กูเป็นกํานัน มึงไม่ต้องมาท้ากินหรอก ถึงกลับบ้านไปก่อนเถอะ มึงกับกูพี่น้องกัน กูไม่ อยากเสียความรู้สึก”
เมื่อผู้ตายเดินกลับไปยังโต๊ะวีไอพี พยานยังคงนั่งยอง ๆ ใกล้จําเลย
จําเลยพูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ปืนอยู่ไหนวะ” ซึ่งขณะนั้นมีนายสายัณต์นั่งอยู่ติด กับจําเลย
นายสายัณต์พูดกับจําเลยว่า “ไม่เอา เมาแล้ว กลับบ้านไปนอนเดี่ยวให้ลูกน้องไปส่ง
จากนั้นจําเลยพูดกับพยานว่า “ไอ้อาร์ต ไอ้เด็กเหี้ย กลับบ้านไปก่อนเลย ก่อนที่เลือดถึง จะออกหน้า”
พยานจึงพูดขอโทษจําเลยและขอตัวกลับ
นอกจากนั้นโจทก์ยังมีพยานที่นั่ง โต๊ะยาว ได้แก่ พันตํารวจตรีเกียรติศักดิ์ นายสายัณต์ ร้อยตํารวจตรีสรรเสริญ ร้อยตํารวจ เอกสมคิด ร้อยตํารวจโทนิมิตร ร้อยตํารวจเอกนุชิต ร้อยตํารวจเอกจตุรวิทย์ นายจักรกฤษณ์ ร้อยตํารวจเอกประสมมาศ ดาบตํารวจถนอมศักดิ์ ร้อยตํารวจโทณรงค์ศักดิ์ ร้อยตํารวจโท ประสาร มาเบิกความ
โดยพยานปากพันตํารวจตรีเกียรติศักดิ์และนายจักรกฤษณ์ เบิกความถึงเหตุการณ์ขณะที่จําเลยนั่งอยู่ที่โต๊ะวีไอพีทํานองเดียวกันว่า จําเลยพูดว่า มันเป็นหลานกู ไอ้คิว กูขอมันไม่ได้เหรอ เอามาทําไม ขอไม่ได้
หลังจากนั้นช่วงที่จําเลย เดินจากโต๊ะวีไอพีมานั่งยังโต๊ะยาว พยานปากนายสายัณต์ ร้อยตํารวจเอกสมคิด ร้อยตํารวจเอกจตุรวิทย์ จ่าสิบตํารวจอภิรักษ์ และสิบตํารวจตรีธนทัต เบิกความทํานอง เดียวกันว่า จําเลยเดินออกจากโต๊ะวีไอพีลักษณะไม่พอใจ มานั่งโต๊ะยาว นายสายัณต์และร้อยตํารวจเอกสมคิดบอกกับจําเลยให้ใจเย็น ๆ ซึ่งเหตุการณ์ต่อมาพยานปากพันตํารวจตรี เกียรติศักดิ์ นายสายัณต์ ร้อยตํารวจตรีสรรเสริญ ร้อยตํารวจเอกสมคิด ร้อยตํารวจเอกนุชิต นายจักรกฤษณ์ จ่าสิบตํารวจอภิรักษ์ ร้อยตํารวจเอกประสมมาศ สิบตํารวจตรีสรรเสริญ สิบตํารวจตรีสุทธิกานต์เบิกความทํานองเดียวกันและสอดคล้องกับคําเบิกความของจ่าสิบตํารวจพิสิฐว่า หลังจากจําเลยย้ายมานั่งหัวโต๊ะของโต๊ะยาว จ่าสิบตํารวจพิสิฐ มาขอโทษจําเลยพร้อมกับผู้ตาย
จ่าสิบตํารวจพิสิ นั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ขอโทษ ผู้ตายยืน ขอโทษจําเลย
จําเลยบอกให้จ่าสิบตํารวจพิสิฐและผู้ตายกลับไป โดยพยานปากนายสายัณต์ ร้อยตํารวจเอกสมคิด ร้อยตํารวจเอกนุชิต นายจักรกฤษณ์ จ่าสิบตํารวจอภิรักษ์ เบิกความ เพิ่มเติมทํานองเดียวกันว่า ขณะที่มีการเข้ามาขอโทษ จําเลยพูดว่า กลับไป เดี๋ยวเลือด เปื้อนหน้า หลังจากจ่าสิบตํารวจพิสิฐและผู้ตายออกไป พยานปากนายสายัณต์ ร้อยตํารวจเอกสมคิด และร้อยตํารวจโทสมโชค เบิกความทํานองเดียวกันว่า จําเลยบอก ให้นายธนัญชัยนําเงินไปจ่ายแก่เจ้าของเครื่องเสียงคาราโอเกะ
โดยร้อยตํารวจเอกสมคิด เบิกความเพิ่มเติมว่า จําเลยยังสั่งให้ลูกน้องไปเปิดเครื่องปรับอากาศด้วย สอดคล้องกับ ที่พยานปากนายนิวัฒน์ชัย เบิกความว่า หลังจ่าสิบตํารวจพิสิฐและผู้ตายกลับไป
ระหว่างนั้นนายอาทิตย์เดินมาที่จุดที่พยานอยู่ เอากุญแจห้องเก็บสุรามาให้ พร้อมกับบอกว่า จําเลยให้ไปเปิดเครื่องปรับอากาศ เจือสมกับคําเบิกความของจําเลย แล้วพยานปาก พันตํารวจตรีเกียรติศักดิ์ นายสายัณต์ ร้อยตํารวจโทนิมิตร ร้อยตํารวจเอกศิริชัย
นายจักรกฤษณ์ เบิกความทํานองเดียวกันว่า หลังจากจ่าสิบตํารวจพิสิฐและผู้ตายออกไป จำเลยพูดว่า มันหยามกู อยู่ด้วยกันไม่ได้ เอาไว้ไม่ได้
ซึ่งขณะนั้นนายธนัญชัยอยู่ใกล้กับ จําเลย พยานปากนายจักรกฤษณ์ เบิกความเพิ่มเติมว่า หลังจากจําเลยพูดว่าเอาไว้ไม่ได้
นายธนัญชัยพูดว่าคนไหน
ต่อมานายธนัญชัยเดินไปทางสระน้ำ พยานปากพันตํารวจตรี เกียรติศักดิ์ เบิกความเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที นายธนัญชัยเดินกลับมา หาจําเลย และสะกิดจําเลย แล้วเดินไปทางโต๊ะวีไอพี ได้ยินคําว่าลูกพี่ เห็นจําเลยพยักหน้า แล้วได้ยินเสียงปืนดังขึ้น
เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้พยานปากร้อยตํารวจตรีสรรเสริญ เบิกความ เพิ่มเติมว่า หลังจากจ่าสิบตํารวจพิสิฐและผู้ตายออกไป นายธนัญชัยเดินมาหาจ่าเลย แล้วถามจําเลยว่าเอาเลยดีไหม จําเลยพยักหน้า
จากนั้นประมาณ 4 นาที ได้ยินเสียงปืน แล้วพยานเกือบทุกปากดังกล่าวข้างต้นเบิกความทํานองเดียวกันว่า เมื่อนายธนัญชัย เดินไปยังโต๊ะวีไอพี ก็ได้ยินเสียงปืนดัง โดยพยานปากพันตํารวจตรีเกียรติศักดิ์ นายสายัณต์ และร้อยตํารวจเอกนุชิต เบิกความเพิ่มเติมว่าก่อนนายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ใต้พูดว่า ลูกพี่เอาไง
แล้วพันตํารวจตรีเกียรติศักดิ์และร้อยตํารวจเอกนุชิต ยังเบิกความเพิ่มเติมอีกว่า เห็นจําเลยพยักหน้า และมีพยานปากนายบุญพา แปลพิมมา เจ้าของเครื่องเสียงคาราโอเกะ ที่มาเบิกความในภาพรวมของเหตุการณ์ว่า ช่วงที่มีคนร้องเพลงคาราโอเกะ หากพูดคุยกันเสียงดังก็พอรู้เรื่องบ้าง ช่วงที่ไม่มีคนร้องเพลงคาราโอเกะก็จะเปิดเสียงดนตรีไว้ไม่ดังมาก สามารถพูดคุยกันรู้เรื่อง
ต่อมาเวลาประมาณ 21 นาฬิกา มีคนเดินมาบอกพยานว่าให้หยุด เสียงดนตรี เนื่องจากผู้ใหญ่จะคุยกัน พยานจึงปิดเสียงดนตรี หลังจากนั้นเห็นคนที่นั่งโต๊ะ วีไอพีประมาณ 3 ถึง 4 คน ย้ายมานั่งที่หัวโต๊ะของโต๊ะยาว ซึ่งคนที่นั่งหัวโต๊ะคือจําเลย มีคนหนึ่งเดินมานั่งที่เก้าอี้ อีกคนหนึ่งมานั่งที่พื้น จากนั้นได้ยินจำเลยพูดว่า มึงเอาหลาน แล้วพูดคุยกันต่อไป แต่ไม่ได้ยินว่าจะพูดกันอย่างไรบ้าง
หลังจากนั้นประมาณ 20 นาที มีคนเดินมาบอกพยานให้เก็บของได้เลย อีกสักพักนายธนัญชัยเดินมาจ่ายค่าเครื่องเสียงให้ 3,000 บาท บอกว่าไม่ต้องทอน พยานจึงพูดขอบคุณ นายธนัญชัยบอกให้ไปขอบคุณ จำเลย แล้วพาพยานไปขอบคุณจำเลย โต๊ะยาว หลังจากพยานขอบคุณจ่าเลยแล้ว ก็ไปเก็บของที่ด้านหลังลําโพง
ต่อมาประมาณ 1 ถึง 2 นาที ได้ยินเสียงอาวุธปืน ซึ่งเจือสม กับคําเบิกความของจําเลย และมีพยานปากพันตํารวจโทสุรจิต ชะระ พนักงานสอบสวน เบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 พยานทําการสอบปากคํานายกฤษดาหรือซ่า เหล่งดอนไพร เพิ่มเติม
โดยนายกฤษดายังคงยืนยันให้การตามเดิมตามบันทึกคําให้การ ฉบับลงวันที่ 7 และ 10 กันยายน 2566 ซึ่งตามบันทึกคําให้การฉบับลงวันที่ 10 กันยายน 2566 นายกฤษดาให้การว่า หลังจากนายธนัญชัยยิงแล้ว ได้พูดขึ้นมาว่ากํานันสั่งพยานจึงทําการสอบปากคําเพิ่มเติมโดยให้อธิบายคําว่ากํานันนั้นหมายถึงใคร นายกฤษดาตอบว่าหมายถึงจําเลย และนายธนัญชัยพูดประโยคดังกล่าวหลังจากที่ใช้อาวุธปืนยิง ผู้ตายแล้ว ปรากฏตามบันทึกคําให้การของนายกฤษดาฉบับลงวันที่ 7 และ 10 กันยายน 18 ตุลาคม 2566 เอกสารหมาย จ.106 และมีพยานปากพันตํารวจโทศรัณย์ ศรีพักษ์ เบิกความว่า พยานทําการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ร้านอู่อ่า หม้อน้ำ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ สํานักงานที่เกิดเหตุ เป็นกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพและเสียงได้ พบว่าเวลาที่ปรากฏ ในกล้องวงจรปิดนี้ตรงกับเวลาจริง ซึ่งเสียงดนตรีหยุดลง เวลา 21.08 นาฬิกา และมีเสียง คล้ายอาวุธปืนดังขึ้น 4 นัด ในเวลา 21.26.11 นาฬิกา จึงทําให้ทราบเวลาเกิดเหตุ ที่แท้จริง เมื่อมีการตรวจยึดเครื่องบันทึกภาพกล้องวงจรปิดจากจุดที่นายฐิตินันท์นําไปทิ้ง
พยานทําการตรวจสอบนําภาพมาจัดทําประกอบรายงานการสืบสวนเอกสารหมาย จ.36 ซึ่งรายละเอียดจะตรงกับภาพถ่ายหมาย จ.108 นอกจากนี้พยานยังนําภาพที่ได้จาก กล้องวงจรปิดมาทําการปรับแสงเพื่อให้ทราบรายละเอียดยิ่งขึ้น แล้วนํามาจัดทําเป็นรายงานผล การตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุเพิ่มเติมฉบับลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เอกสารหมาย จ.38 และนําภาพจากกล้องวงจรปิดมาเรียบเรียงเหตุการณ์แล้วให้พยาน แต่ละคนยืนยันภาพถ่ายที่ปรากฏภาพของตน ตามเอกสารหมาย จ.37 และ จ.39 และมีพันตํารวจโทวาทิต จิตรจันทึก เบิกความว่า พยานทําการสืบสวนพิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ ระหว่างจําเลยกับนายธนัญชัย จากการตรวจสอบพบบัญชีผู้ใช้ในแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อว่า ธนัญชัย หมั่นมาก เป็นภาษาอังกฤษ รูปโปรไฟล์เป็นรูปของนายชนัญชัย และ ภาพหน้าปกเป็นรูปครอบครัวของนายธนัญชัย นอกจากนี้ยังพบโพสต์ที่เป็นรูปภาพและ ข้อความสุขสันต์วันเกิดจําเลย โดยมีการกล่าวถึงจําเลยว่าลูกพี่ทุกโพสต์ และในวันที่ 2 มกราคม 2566 โพสต์ภาพและข้อความว่า รู้ใจกันอยู่แล้ว เป็นภาพนายธนัญชัยกับจําเลย ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2566 โพสต์ภาพและข้อความว่า รักที่สุด เป็นภาพนายธนัญชัย กับจําเลยคู่กัน ในวันที่ 19 สิงหาคม 2506 โพสต์ภาพและข้อความว่า รักลูกพี่ครับ ประกอบกับมีเครื่องหมายหัวใจ เป็นภาพนายธนัญชัยกับจําเลยร่วมรับประทานอาหารกัน
พยานทําการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจําเลยและนายธนัญชัยตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 5 กันยายน 2566 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 68 วัน พบการติดต่อกัน ระหว่างจําเลยกับนายธนัญชัยทั้งสิ้น 206 ครั้ง โดยจําเลยโทรหานายธนัญชัย 164 ครั้ง ซึ่งเฉลี่ยแล้วเกินเดือนละ 60 ครั้ง
ส่วนนายธนัญชัยโทรหาจําเลย 42 ครั้ง นอกจากนี้จากการสืบสวนของพยานพบว่านางสาววัฒนิกา กัณหา ภรรยาของนายธนัญชัยให้สัมภาษณ์ต่อนักข่าวว่าช่วงหลังนายธนัญชัยไปหากํานันซึ่งหมายถึงจําเลยเกือบทุกวัน และไปไหนมาไหนกับจําเลยตลอด จากการสืบสวนเพิ่มเติม ภรรยาของนายธนัญชัยยังให้ข้อมูลว่านายธนัญชัยจะไม่ได้ทํางานให้แก่จําเลยโดยตรงและจะได้รับเงินจากจําเลยเป็นครั้งคราว จากการช่วยเรื่องการประมูลงานก่อสร้าง และพบว่าในวันที่ 15 มกราคม 2564 บัญชี ผู้ใช้แอปพลิเคชันเฟซบุ๊กของนายธนัญชัยโพสต์รูปภาพโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อแอปเปิลรุ่นไอโฟน ระบุข้อความว่ามีวันนี้เพราะลูกพี่ให้ ขอบคุณครับข้อ ขอบคุณครับลูกพี่ (กํานันนก) ที่ซื้อของขวัญให้ผม จากใจจริง ๆ ชาตินี้หาลูกพี่แบบนี้ไม่มีอีกแล้ว
ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 โพสต์ภาพที่นายธนัญชัยสวมใส่สร้อยข้อมือทองคําพร้อมข้อความว่า ช่วงนี้เหลือเยอะ ลูกพี่จัดให้ นอกจากนี้พยานยังจัดทําข้อพิจารณาไว้ด้วย ตามรายงานการสืบสวนความสัมพันธ์ ฉบับลงวันที่ กันยายน 2566 และฉบับลงวันที่ 31 ตุลาคม 2566 เอกสารหมาย จ.30 เห็นว่า พยานโจทก์หลายปากเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง ต่างเบิก ความทํานองเดียวกันเป็นลําดับขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยงจนถึงเวลาที่เกิดเหตุ ไม่มีสาเหตุ โกรธเคืองกับฝ่ายใดมาก่อน พยานบางปากเคยไปร่วมรับประทานอาหารและดื่มสุราที่บ้านของจําเลยเป็นประจําซึ่งถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับจําเลยมาโดยตลอด พยานเบิกความ สอดคล้องต้องกัน ร้อยเรียงเป็นลําดับเหตุการณ์ แม้หากจะแตกต่างกันบ้างก็เป็นแต่เพียง ถ้อยคําพลความ มิใช่สาระสําคัญ น่าเชื่อว่าได้เบิกความไปตามความเป็นจริงที่ตนประสบพบเจอมา และพยานโจทก์ที่เป็นเจ้าพนักงานดําเนินการสืบสวนสอบสวนตามอํานาจหน้าที่ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับฝ่ายใดมาก่อน นอกจากนั้นคําเบิกความของพยานโจทก์ยังเจือสมกับคําเบิกความของจําเลยที่อ้างตนเองเป็นพยาน
โดยที่จําเลยไม่นําพยานหลักฐานมานําสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานโจทก์มีน้ำหนัก ให้น่ารับฟัง น่าเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามความจริง แม้โจทก์ไม่มีพยานปากใดมาเบิกความยืนยันโดยตรงว่า จําเลยเป็นผู้ก่อให้นายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่พยานโจทก์ ที่นํามาสืบได้เบิกความถึงลําดับเหตุการณ์ในรายละเอียดตรงกันเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นชนวนเหตุให้จําเลยโกรธเคืองผู้ตาย โดยเฉพาะพยานที่นั่งอยู่โต๊ะวีไอพีซึ่งใกล้ชิดกับเหตุการณ์ ได้ยินเสียงในขณะที่จําเลยนั่งอยู่กับผู้ตาย เบิกความถึงเรื่องที่จําเลยและผู้ตายพูดกัน อันเป็นสาระสําคัญสอดคล้องต้องกันว่า จําเลยขอให้ผู้ตายช่วยย้ายจ่าสิบตํารวจพิสิฐ มาเป็นสายตรวจรถจักรยานยนต์ ผู้ตายกลับตอบว่าให้รอถึงเดือนตุลาคมก่อน เนื่องจาก มีคนเกษียณ
การที่ผู้ตายพูดในทํานองปฏิเสธคําร้องขอจากจําเลย ทั้งยังท้าทายให้จําเลยแข่งขันดื่มสุราบริสุทธิ์โดยไม่ใส่ส่วนผสมอื่นใด และให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหากุญแจมือมาใส่ ข้อมือของจําเลยและผู้ตายติดกันเพื่อไม่ให้ลุกหนี เมื่อหาไม่ได้ผู้ตายจึงได้นําผ้าที่ผูกเก้าอี้ ไว้มาผูกแขนจําเลยและผู้ตายเข้าไว้ด้วยกัน พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมก่อให้จําเลยรู้สึกอับอายเสียหน้าต่อเจ้าพนักงานตํารวจชั้นผู้ใหญ่ เสื่อมเสียเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ถึงขนาดที่จำเลยลุกขึ้นยืนตบโต๊ะอย่างแรงแล้วเดินไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ขุ่นมัว เป็นอย่างมาก และพูดออกมาว่า อย่างนี้เอาไว้ไม่ได้ แต่ผู้ตายและจ่าสิบตํารวจพิสิฐ กลับตามมาขอโทษ ยิ่งทําให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวเริ่มคุกรุ่นไปใหญ่ จนจําเลยไล่คนทั้งสองไป และพูดออกมาว่า เดี๋ยวเลือดเปื้อนหน้า ทั้งยังถามหาอาวุธปืน แสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงอารมณ์ โกรธเคืองถึงขนาดประสงค์จะเอาชีวิตผู้ตาย จนนายสายัณต์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้จําเลยต้องกล่าวเตือนสติห้ามปรามและชี้แนะให้ไปนอนเพื่อสงบสติอารมณ์
คํากล่าวด้วยอารมณ์โกรธเคืองในขณะที่นายธนัญชัยคอยฟังอยู่ใกล้ๆ และได้เห็นเหตุการณ์ที่ทําให้จําเลยไม่พอใจผู้ตายมาโดยตลอด แม้จําเลยจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาให้นายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย อย่างชัดเจน แต่ด้วยเหตุที่นายธนัญชัยเป็นลูกน้องคนสนิทคอยติดตามจําเลยมาเป็น เวลานาน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่นายธนัญชัยโพสต์ในเฟซบุ๊กอยู่เป็นประจําตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 ถึงสิงหาคม 2566 ตามรายงานสืบสวน เอกสารหมาย จ. 30 ที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพรักและสํานึกในบุญคุณที่นายธนัญชัยมีต่อจําเลย ไม่ว่าจะเป็น ข้อความที่นายธนัญชัยโพสต์ถึงจําเลยว่า "รักที่สุด” “รู้ใจกันอยู่แล้ว” “รักครับลูกพี่” "รักลูกพี่มากที่สุดครับ" "รักและเคารพเสมอ” “มาทําบุญกับลูกพี่”
@ "รักลูกพี่มากที่สุดครับ"
น่าจะเป็นเหตุให้นายธนัญชัยแสดงตนเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ที่ใกล้ชิดรู้ใจยิ่งกว่าผู้ใด
ด้วยเหตุดังกล่าวทําให้ นายธนัญชัยตัดสินใจกระทําการลงไปเพื่อเอาใจจําเลย ไม่ว่าจะด้วยการที่จําเลยถาม อาวุธปืน ทั้งยังพูดว่า อย่างนี้เอาไว้ไม่ได้ ซึ่งเป็นคําพูดที่วิญญูชนโดยทั่วไปย่อมเข้าใจถึง ความประสงค์จะฆ่าเสียให้ตาย เป็นการกระทําที่จําเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าอาจก่อให้นายธนัญชัยกระทําตามความประสงค์ของตนเองได้ ซึ่งนายธนัญชัยก็ได้ลงมือกระทําการดังกล่าวจริง มิเช่นนั้นนายธนัญชัยโดยลําพังคงมีบังอาจคิดการใหญ่ยิงผู้ตายเป็นแน่แท้
ด้วยเหตุที่นายธนัญชัยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน ไม่มีเหตุสมควรอันใดที่นายธนัญชัยจะยิงผู้ตาย หากจําเลยไม่ได้ส่งสัญญาณด้วยการแสดงอากัปกิริยาและคําพูดที่ส่อให้เห็นถึงเจตนาที่ประสงค์จะเอาชีวิตของผู้ตาย จนทําให้นายธนัญชัยไม่ทันได้คิดให้รอบคอบยับยั้งชั่งใจว่าจะเป็นการกระทําต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจหรืออาจจะชะล่าใจ คิดว่าตนเองมีจําเลยคอยปกป้องและผู้คนที่อยู่ในงานก็เป็นพวกพ้องตนเอง โดยก่อนลงมือ
หลังจากจําเลยพูดว่าเอาไว้ไม่ได้ นายธนัญชัยยังถามจําเลยว่าคนไหน จากนั้นนายธนัญชัย เดินไปทางสระน้ำ และเดินกลับมาหาจําเลยถามว่าเอาเลยดีไหม จําเลยพยักหน้า นายธนัญชัย เดินไปทางโต๊ะวีไอพี ชักอาวุธปืนออกมาเล็งใส่ผู้ตาย พร้อมกับหันหน้าไปทางจําเลยแล้ว กล่าวคําว่าลูกพี่ จากนั้นนายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะวีไอพีหลายนัด ซึ่งเป็นเรื่องที่มิได้คาดคิดและวางแผนกันมาก่อน การกระทําของจําเลยเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วยการใช้ เมื่อกระสุนปืนถูกอวัยวะสําคัญของผู้ตายหลายแห่ง และกระสุนปืนยังพลาดไปถูกผู้บาดเจ็บที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันที่บริเวณข้อศอกแขนขวา เป็นเหตุให้ ผู้ตายถึงแก่ความตายสมดังเจตนาฆ่าของจําเลยและนายธนัญชัย ทั้งเป็นเหตุให้ผู้บาดเจ็บได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณีกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน
จําเลยจึงเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 เป็นการ กระทําความผิดตามฟ้อง ส่วนอาวุธปืน ออโตเมติกยี่ห้อ GLOCK ขนาด 9 มม. 1 กระบอก ปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. LUGER 4 ปลอก หัวกระสุนปืนขนาด 9 มม. 3 หัว ของกลาง เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ ในการกระทําความผิด จึงให้ริบเสีย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1)
พิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 60, 80, 14 อันเป็นการกระทํากรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทําผิดร้ายแรงอย่างอุกอาจ แต่ระหว่างพิจารณาจําเลยบรรเทาผลร้ายชดใช้ค่าเสียหายจนโจทก์ร่วมทั้งห้าถอนคําร้องขอให้จําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีมีเหตุอันควรปรานี่เห็นสมควร
ลงโทษจําเลยเป็นจําคุกตลอดชีวิต และนับโทษจําเลยต่อจากโทษจําคุกของจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดําที่ อท 206/2566 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางริบของกลาง
***********
อย่างไรก็ดี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลยยังมีสิทธิ์ต่อสู้คดีในชั้นศาลที่สูงกว่านี้ได้อีก
เรื่องเกี่ยวข้อง
- เปิดฐานธุรกิจ'กำนันนก' คนดังนครปฐม 2 บริษัทรับเหมา รายได้ 4 ล.
- 2 บ.รับเหมา ‘กำนันนก’ กวาดงานรัฐ 884 สัญญา 1 พันล.! อบจ.-อบต.อื้อ 2,120 ล.
- เจาะโครงการกรมทางหลวง บ.‘กำนันนก’ คว้างาน 240 ล. -บ.ลูกรองนายกฯ ซื้อซองไม่ยื่น
- DSI สั่งสอบ 2 ธุรกิจกำนันนก ได้สัญญา 1,300 โครงการรัฐ มูลค่า 7 พัน ล. ส่อผิด กม.เสนอราคา
- จนท.รัฐเอี่ยวหรือไม่! ป.ป.ช.ส่งสายสืบเก็บข้อมูล2 ธุรกิจ 'กำนันนก' คว้างานรัฐ 7 พันล.
- สร้างทางหลวง2 สัญญา 600 ล.! DSI ล็อกเป้าสอบฮั้ว 20 โครงการ 2 รับเหมา 'กำนันนก' คว้างาน
- ไส้ในรับเหมาอีกโครงการ! บ.กำนันนก ฟัน3 ล. ต่ำกว่าราคากลาง 5 ล.
- คราวนี้ต่ำกว่าราคากลาง50,000 บ.! โครงการ 6 ล้าน บ.กำนันนก -‘คู่เทียบ’เจ้าเดิม
- เสนอเป็นคดีพิเศษ! ชง2 โครงการพิรุธ บ.กำนันนก คว้างานสร้างถนนทางหลวง งบเกิน 300 ล.
- DSI เผยคืบหน้าสอบคดีกำนันนกฮั้วประมูล ให้ปากคำพยานแล้ว 35 จากทั้งหมด 58 บริษัท
- ชื่อ‘กำนันนก’ โผล่ประชุมผู้ถือหุ้น-จดเปลี่ยน กก.บริษัทฯ หลัง ตร. ฝากขังในเรือนจำ
- ทนายเอาเอกสารให้เซ็นในเรือนจำ! ราชทัณฑ์ โชว์ลายมือ'กำนันนก' แจงชื่อโผล่ประชุมผู้ถือหุ้น
- เสนอเท่ากันเป๊ะ3 ราย! ถนน 45 ล้าน ทช. - บ.กำนันนกฟัน -ต่ำกว่าราคากลาง 111,634 บ.
- DSI รับเป็นคดีพิเศษ สอบ 2 บ.กำนันนกฮั้วประมูล 19 โครงการก่อสร้างถนนพันกว่าล้าน
- ต่ำกว่าคู่เทียบ89,900 บ.! เจาะไส้ใน ถ.‘พระประโทน-สระกระเทียม’45 ล. คดี บ.กำนันนก
- 4 ใน 5 รายเสนอราคาเท่ากัน! รับเหมาถนน อบจ.นครปฐม บ.กำนันนก ฟันอีก 1 ล
- อบจ.นครปฐมอีกแล้ว!‘คู่เทียบ’ 3 ใน 4 รายเสนอราคาเท่ากัน บ.กำนันนก คว้า 9 ล.
- 'อิศรา' ตะลุย 3 จว.! ตามไปดู 4 เอกชนคู่เทียบ ประกวดราคาแข่งรับเหมา บ.กำนันนก
- พบแล้ว!‘บ.กำนันนก - คู่เทียบ’ อบต.สามพราน ‘ผู้รับมอบอำนาจ’ คนเดียวกัน
- ลุยค้นเครือข่าย5 จุด! DSI สั่งยึดหลักฐานบ้านพ่อ มัดปมฮั้วงาน บ.'กำนันนก'
- ประมวลภาพชุด!DSI ลุยค้น 5 จุด มัดปมฮั้วงาน บ.'กำนันนก'ยึดหลักฐานบ้านพ่อ-เมียหน่องด้วย
- ตามคุ้ย บ.เวฬาฯ ถูกดีเอสไอบุกค้น น้องชาย‘กำนันนก’ถือหุ้นใหญ่
- ไส้ในเคสที่3 อบจ.นครปฐม! 3 ใน 4 รายเสนอราคาเท่ากัน บ.กำนันนกชนะ 6 ล.
- ‘ผู้รับมอบอำนาจ’ บ.กำนันนก-คู่เทียบ อยู่ สนง.บัญชี จ.นครปฐม – ยังไม่สะดวกตอบคำถาม
- 2 ใน 3 รายเสนอราคาเท่ากันอีก! รับเหมาถนน อบจ.นครปฐม เสร็จ บ.กำนันนก 9 ล.
- 'สจ.เอ' ปัดร่วมขบวนการ! DSI ลุยค้น 6 จุด นครปฐม ขยายผลคดีฮั้วรับเหมา 'กำนันนก'
- ข้อมูลใหม่‘ผู้รับมอบอำนาจ’บ.คู่เทียบรับเหมา 2 โครงการ‘กำนันนก’ เป็น กก.ในสนง.บัญชีฯ
- เพิกถอนคำขอจดทะเบียนเพิ่ม กก. บ.กำนันนก หลังอ้างนั่งประชุมผู้ถือหุ้นที่บ้าน