"...การสั่งคดีของจำเลยที่ 8 เป็นข้อบ่งชี้ว่าไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และรากฐานของพยานหลักฐานที่มีเหตุผลอันสมควร มิได้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดอย่างที่พนักงาน อัยการพึงใช้ เป็นการวินิจฉัยมูลความผิดโดยใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจและด่วนวินิจฉัยคดีเสียเอง ทั้งมีเหตุ อันสมควรเพียงพอที่จะนำนาย ว เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาต่อศาลยุติธรรม เพื่อมิให้ กระทบกระเทือนระบบและกระบวนการยุติธรรม พิทักษ์รักษาประโยชน์ความสงบสุขของสังคมโดยรวม..."
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : จากกรณี เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ย่านตลิ่งชัน ได้อ่านคำพิพากษา จำคุก 3 ปี นายเนตร นาคสุข จำคุก 2 ปี นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม และยกฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมจำเลยรายอื่นๆอีก 5 ราย ในคดีร่วมกันกระทำผิดเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานในคดี คำให้การพยานความเร็วรถยนต์ฯ เพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ผู้ต้องหา เพื่อให้พ้นผิด หรือรับโทษน้อยลง กรณีนายวรยุทธหรือบอสกระทิงแดงขับรถหรูเฉี่ยวชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตขณะขี่รถจักรยานยนต์เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555
โดยรายชื่อจำเลยทั้ง 8 คน ประกอบด้วย
จำเลยที่ 1 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.
จำเลยที่ 2 พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบก.กองพิสูจน์หลักฐาน
จำเลยที่ 3 พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ
จำเลยที่ 4 นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส
จำเลยที่ 5 นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร
จำเลยที่ 6 นายธนิต บัวเขียว
จำเลยที่ 7 รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม นักฟิสิกส์ อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ ม.เทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ
จำเลยที่ 8 นายเนตร นาคสุข อดีตรอง อสส.
ในวันเดียวกัน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้เผยแพร่ข่าวสรุปผลคำพิพากษาตัดสินคดีนี้ เป็นทางการ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
วันนี้ เวลา 09.30 นาฬิกา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ อท 131/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 68/2568 ระหว่าง อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 โจทก์ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ที่ 1 กับพวกรวม 8 คน จำเลย
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งแปด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 157, 200 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมาตรา 192 จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 8 เป็นเจ้าพนักงานตาม ประมวลกฎหมายอาญา เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมายหรือไม่
เห็นว่า เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการการกฎหมาย ฯ ให้เป็นเจ้า พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับการ แต่งตั้งจากผู้มีอำนาจตามกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอันจะถือว่าเป็นเจ้าพนักงาน
จึงถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา แม้ไม่มีอำนาจหน้าที่เฉพาะบุคคลและไม่มีกฎหมาย ให้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางการปกครองที่จัดตั้งขึ้นในระบบราชการก็ตาม แต่สมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ และสมาชิกคณะกรรมาธิการการกฎหมาย ฯ ก็มีอำนาจและหน้าที่ตามที่สภานิติ บัญญัติแห่งชาติมอบหมาย มีอำนาจและหน้าที่ในการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงหรือกระทำกิจการหรือ ศึกษาเรื่องใด ๆ หรือตามที่สภามอบหมายให้แล้วเสร็จและรายงานให้สภาทราบตามระยะเวลาที่กำหนดตามข้อบังคับการประชุมสภา ข้อ 83 และ 103
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุถือว่าจำเลยที่ 1 เป็น ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ...หรือกิจการอื่นของรัฐ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 นอกจากนี้ยัง 2 ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเจ้าพนักงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 15 หรือไม่
เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องโดยระบุรายละเอียดถึงการกระทำต่าง ๆ ที่ กล่าวหาด้วยว่ามีการกระทำอย่างไรอันเข้าลักษณะเป็นความผิด และได้ชี้ช่องพยานหลักฐานเพื่อให้ศาล สามารถใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่จะพิจารณา คดีต่อไปได้ ทั้งมีการส่งเอกสารครบถ้วนถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้ มีการกล่าวอ้างว่าการกระทำ ของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วย พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ประกอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว
@กรณีอำนาจของ ป.ป.ช.กับการวินิจฉัยคดี
ปัญหาว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว จึงไม่มีอำนาจยกเรื่อง ขึ้นมาไต่สวนใหม่ ไม่มีอำนาจดำเนินการไต่สวน การลงมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบ โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องในคดีนี้
เห็นว่า คดีก่อนจำเลยที่ 3 ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันสอบสวนช่วยเหลือนาย ว ไม่ให้ถูก ดำเนินคดีในฐานความผิดขับรถขณะเมาสุรา ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและความผิด เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่ดำเนินการออกหมายจับ เพื่อจัดให้ได้ตัวมาส่งพนักงานอัยการฟ้องร้อง ดำเนินคดี เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาหลบหนีและไม่ได้ตัวมาฟ้องภายในอายุความ
@ นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส
ส่วนมูลเหตุในการยกเรื่องนี้ ขึ้นพิจารณาก็เนื่องจากปรากฏพยานวัตถุที่มีการบันทึกเทปการสนทนาการประชุมความเร็วรถยนต์ของ นาย ว. และบทสรุปรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง ฯ กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความ สนใจของประชาชนว่ามีการร่วมมือกันอย่างเป็นระบบแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แม้ พ.ต.อ. ธ เป็น พยานบุคคลที่เคยไต่สวนไว้ในสำนวนคดีเดิม มิใช่พยานหลักฐานใหม่ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มิได้ใช้ เหตุในการยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณา แต่ได้อาศัยพยานวัตถุที่มีการบันทึกเทปการสนทนาการประชุมแสดง ความเร็วรถยนต์ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่คดี ทั้งเป็นเรื่องที่มีข้อกล่าวหาใหม่ที่มี ผู้ร่วมกระทำการคนอื่นในการกระทำคราวอื่น ไม่เป็นประเด็นเดิมที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ในเรื่องที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้เคยวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีอำนาจ ไต่สวนคดีนี้ โดยรับหรือยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 54 (1) ประกอบมาตรา 28 (2) (4) และวรรค สอง และมาตรา 30 โจทก์มีอำนาจฟ้องในคดีนี้ ปัญหาว่าการที่นาย ว. ใช้สิทธิยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ 14 ครั้ง เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
@สิทธิของนายวรยุทธ ในการร้องขอความเป็นธรรม
เห็นว่า เมื่อพิจารณาช่วงเวลาขณะเกิดเหตุ ตามระเบียบสำนักงาน อัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ส่วนที่ 3 การร้องขอความเป็นธรรม ข้อ 48 โดยไม่ได้ระบุถึงผู้ที่มีสิทธิว่าต้องเป็นผู้ใด หลักเกณฑ์หรือวิธีการว่าด้วยเรื่องร้องขอความ เป็นธรรมอย่างไร กำหนดจำนวนการใช้สิทธิยื่นคำร้องได้เพียงใด ไม่ปรากฏว่าสำนักงานอัยการสูงสุด มีระเบียบ แบบแผน หรือกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องก่อนนี้ เพิ่งมาปรากฏหลังจากเกิดเหตุในคดีนี้ โดยมีการออกตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 3 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ในประเด็นที่เคยขอความเป็นธรรมและพนักงานอัยการได้เคย พิจารณาไว้แล้ว หรือมีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ทั้งช่วงเวลาที่นาย ว. ยื่นร้องขอความ เป็นธรรมอยู่ระหว่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ส่วนที่ 1 บททั่วไป ส่วนที่ 4 สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และต่อเนื่องมาจนถึงรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ก็ได้บัญญัติรับรองไว้ในมาตรา 25 ถึงมาตรา 27 บังคับใช้ ซึ่งบัญญัติในเรื่องสิทธิพื้นฐานในการร้องขอความเป็นธรรมของบุคคลไว้ ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา จึงอาจใช้สิทธิของตนยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการได้โดยตลอด
การที่จำเลยที่ 5 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของนาย ว. ดำเนินการยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการในคดีที่ นาย ว. ตกเป็นผู้ต้องหาทุกครั้ง รวมทั้งครั้งที่ 8 และที่ 9 ขอให้สอบพยาน พ.ต.อ. ธ ในประเด็นเกี่ยวกับ การคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่ขับขี่ จึงเป็นสิทธิตามกฎหมายขณะนั้นที่เปิดช่องให้ฝ่ายผู้ต้องหา โดยไม่จำกัดเหตุและจำนวนครั้ง ทั้งเปิดช่องให้พนักงานอัยการมีการกลับความเห็นหรือคำสั่งฟ้อง คดีอาญาซึ่งสั่งไปแล้วได้ด้วย ดังนั้น ช่วงเวลาเกิดเหตุในคดีนี้นาย ว. จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอความเป็น ธรรมได้โดยชอบ ปัญหาที่ว่าการที่พนักงานอัยการมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ ประเด็นเกี่ยวกับ การคำนวณความเร็วของรถยนต์คันที่นาย ว. ขับขี่ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และการประชุม เพื่อแสดงวิธีการคำนวณความเร็วสามารถกระทำได้โดยชอบ หรือไม่
เห็นว่า อำนาจสอบสวนของ พนักงานอัยการเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 141 และมาตรา 143 (1) ในกรณีที่มีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง หรือ (2) ในกรณีมีความเห็นควรสั่งฟ้องพนักงานอัยการมีอำนาจ สั่งตามที่เห็นควร ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมหรือส่งพยานคนใดมาให้ซักถาม พยานเพื่อสั่งต่อไป ทั้งมาตรา 131 ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหาเพื่อจะรู้ตัว ผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา
@ข้อถกเถียงเรื่องความเร็วรถยนต์ที่แตกต่างกัน
โดยคำสั่งของพนักงานอัยการให้ สอบสวน พ.ต.อ. ธ ให้คำนวณความเร็วรถเพิ่มเติมประกอบสภาพของความเสียหายรถยนต์ รถยนต์ควร แล่นด้วยความเร็วอย่างน้อยกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นการหาคำตอบในข้อสงสัยเพื่อคำนวณหาความเร็ว ที่ถูกต้อง ชัดเจน แม่นยำในหลักวิชาการ เหตุว่า พ.ต.ท. ส นามสกุล อ ผู้ชำนาญการตรวจสภาพรถยนต์ ให้ความเห็นว่าความเสียหายของรถยนต์และจักรยานยนต์มีความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ส่วน พ.ต.ท. ส นามสกุล ด ผู้เชี่ยวชาญของศาลและผู้ชำนาญการพิเศษ ในการตรวจพิสูจน์เครื่องกลและเครื่องอุปกรณ์ ส่วนควบของรถยนต์ที่เกี่ยวเนื่องกับอุบัติเหตุ มีความเห็นว่าสภาพความเสียหายของรถไม่รุนแรง อยู่ใน ระดับปานกลาง สันนิษฐานว่าขณะชนความเร็วสัมผัสหรือการกระแทกชนความเร็ว 70 ถึง 80 กม./ ชม. ผศ.ดร.ส อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คำนวณใน เบื้องต้นว่ารถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 108 กม./ชม. ต่างมีความขัดแย้งกับ พ.ต.อ. ธ กลุ่มงาน ตรวจสอบทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ที่มีความเห็นความเร็ว 177 กม./ชม.
แต่พนักงาน สอบสืบสวนคดีดังกล่าวกับยึดและนำเพียงเดียวความเห็นของ พ.ต.อ. ธ มาเป็นหลักในการพิจารณาเพื่อ สั่งฟ้องเพียงอย่างเดียว การไม่ได้นำความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอื่นมาพิจารณา ไม่ได้มีการสอบทวนผล ความเร็วว่าหากรถยนต์มี 177 กม./ชม. รถจักรยานยนต์จะความเร็วที่ 60 กม./ชม. แล้วจะมีการชนกันได้หรือไม่ ที่ระยะทางเท่าใด หากชนเมื่อลากเส้นจากจุดพบจะชนที่ตำแหน่งเลยจากกล้องวงจรปิดทำ มุมเท่าใด อันจะทำให้เกิดความแม่นยำน่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นว่าขณะที่มีการสอบสวนคดีนี้มีข้อสงสัย เกี่ยวกับความเร็วของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ว่ามีความเร็วเท่าใดกันแน่ แสดงให้เห็นความ ไม่แน่นอน แตกต่างเป็นอย่างมากและส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ
หากเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริงทางไต่ สวน ศ.ดร. ฮ ส (Univ. Prof. DI. Dr. H S) จบการศึกษาปริญญาเอกด้านวิศวกรรมเครื่องกล ได้รับ อนุญาตให้สอนในระดับมหาวิทยาลัยในสหภาพยุโรป ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทางวิทยาศาสตร์ของ ศูนย์ความสามารถในด้านยานพาหนะเสมือนจริง VIF เป็น CEO ขององค์กรแห่งสหภาพยุโรปของ ผู้เชี่ยวชาญอุบัติเหตุ (EVU) เป็นผู้เชี่ยวชาญการย้อนรอยอุบัติเหตุยานยนต์ที่ได้รับการรับรองจากศาล หลักของประเทศออสเตรียที่ให้ความเห็นทางวิชาการประมาณ 500 คดีต่อปี การเบิกความ 90% เกี่ยวกับอุบัติเหตุการจราจร เป็นผู้คิดและพัฒนาซอฟต์แวร์ PC-CRASH ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์จำลองการเกิด อุบัติเหตุมาประมาณ 30 ปี ขายใบอนุญาตกว่า 7,000 ใบ มีผู้ใช้มากกว่า 13,000 คน ซอฟต์แวร์นี้ เป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในโลก มีประเทศที่ใช้ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน สหภาพยุโรป สร้างแบบจำลองอุบัติเหตุทั่วโลก ซอฟต์แวร์มีความแม่นยำ 100% เป็นพยานนำสืบโต้แย้งในชั้นศาล
แสดงให้เห็นว่า การคิดหรือการวิเคราะห์ของรายงานการเกิดอุบัติเหตุมีหลายวิธีการ เช่น 1. คำนวณความเร็วจากหน้ากล้อง CCTV ใช้หลักพื้นฐานการคำนวณความเร็วใช้สูตรคำนวณของหลัก ฟิสิกส์ซึ่งเป็นสากลทั่วโลกสูตรเดียวคือระยะทางหารด้วยระยะเวลาเช่นเดียวกับที่ พ.ต.อ. ธ ใช้ 2. ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์การย้อนรอยอุบัติเหตุ (ขั้นสูงขึ้น) หรือประมวลในซอฟต์แวร์ PC-CRASH สามารถ ทวนสอบและตรวจสอบหลักฐานข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุ 3. ทดสอบเชิงประจักษ์ หรือการย้อนรอย อุบัติเหตุ ด้วยการทดสอบการชนจริงของรถยนต์กับรถจักรยานยนต์คันรุ่นเดียวกัน เพื่อเปรียบการยุบ และตำแหน่งการกระแทกของศีรษะบนกระจกรถเปรียบเทียบกับข้อมูลอุบัติเหตุจริง
พยานใช้ทั้งสามวิธีการในการทดสอบเพื่อหาความเร็วของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในคดีนี้ ส่วนคดีนี้ พ.ต.อ. ธ ใช้ เพียงวิธีการที่ 1. เท่านั้น หากใช้วิธีทดสอบเฉพาะจากกล้องวงจรปิดอย่างเดียวนั้นผลจะไม่น่าเชื่อถือ เพราะกล้องวงจรปิดมีคุณภาพและอัตราต่อเฟรมที่คุณภาพไม่ดี ตำแหน่งจุดที่ชนข้อมูลที่ได้จากกล้อง วงจรปิดก็ไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกันจะเกิดความผิดพลาดมาก พยานคำนวณความเร็วจากการนับเฟรมภาพ แบบวิธีแรกแล้วคำนวณได้ความเร็วประมาณ 78 กม./ชม. เมื่อใช้ซอฟต์แวร์ PC-CRASH ในการ ประมวลผลหลายครั้ง การชนที่จะทำให้เกิดความเสียหายตามสภาพ ก็ได้ความเร็วรถยนต์ประมาณ 80 กม./ชม. ความเร็วของจักรยานยนต์ประมาณ 27 กม./ชม. หลังจากนั้นได้มีการทดลองทดสอบการชน จริง ครั้งแรกนำรถยนต์ Toyota Celica ที่มีขนาดใกล้เคียงกับรถยนต์ Ferrari รุ่น FF มาลองทดสอบชน กับรถจักรยานยนต์รุ่นเดียวกันกับที่เกิดเหตุเพื่อเทียบเคียงข้อมูลก่อน ส่วนครั้งที่สองใช้รถยนต์ Ferrari รุ่น FF รถยนต์รุ่นและขนาดเดียวกันกับรถยนต์ของนาย ว.ขณะเกิดเหตุ และนำรถจักรยานยนต์รุ่น เดียวกันกับวันเกิดเหตุมาทดลองชนซ้ำจริงอีกครั้ง โดยติดตั้งระบบอัตโนมัติให้ความเร็วของรถยนต์เฟอร์รารี่ที่ 80 กม./ชม. ความเร็วของจักรยานยนต์ 27 กม./ชม.
ผลการทดสอบปรากฏว่าความเสียหายที่ เกิดกับรถยนต์ที่ทดสอบใกล้เคียงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุจริง เปรียบเทียบ ความลึกรถยนต์คันที่ทดสอบเสียรูปทรงมากกว่ารถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุจริงเล็กน้อย คำนวณย้อนกลับ และหักทอนเปรียบเทียบความเสียหายของรถยนต์ Ferrari ได้ความเร็วที่ 76 กม./ชม. ส่วน 5 รถจักรยานยนต์ 30 กม./ชม. ค่าความคลาดเคลื่อนในการเกิดอุบัติเหตุในการทดสอบที่มีประสบการณ์ที่ สามารถยอมรับได้ เพิ่มขึ้นหรือลดลง 5 % พยานยืนยันว่าการทดลองและทดสอบครั้งนี้ได้ผลดีมาก เหตุ เพราะความเสียหายและการเสียรูปทรงของรถยนต์ที่ทำการทดลอง จุดตำแหน่งและความเสียหายของ รูปทรงของรถยนต์คันที่ทำการทดลองใกล้เคียงกับรถยนต์คันที่เกิดอุบัติเหตุจริงมาก การทดลองย้อนรอย อุบัติเหตุในครั้งนี้มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง เหตุเพราะการเลือกสภาพแวดล้อมใกล้เคียง กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริงมาก รวมทั้งความเร็วด้วย ถ้าหากมีการทดสอบซ้ำก็คงไม่มีการเปลี่ยนวิธีการ รายละเอียดหรือผลที่ได้ได้รับ ผลการทดสอบก็จะเป็นแบบเดิม 100 %
ดังนั้น โดยอาศัยคำสั่งของ พนักงานอัยการฉบับดังกล่าว ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องย่อมมีอำนาจและหน้าที่สอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ ใน ประเด็นให้พิจารณาสภาพรถกับสภาพความเสียหายแล้วคำนวณความเร็วของรถยนต์ ว่าเหตุใดเมื่อ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานเคยออกรายงานการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ตามหลักเหตุผลและหลักสากล แล้วอาจจะมีความคลาดเคลื่อนหรือบกพร่องในข้อมูล หรือวิธีการตรวจพิสูจน์ หรือวิธีการคำนวณหรือไม่ อย่างไร จึงมีค่าที่แตกต่างกันมากเพียงนั้น เมื่อการแสดงหรือการอธิบายเรื่องการคำนวณความเร็วของ รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เป็นอีกวิธีหนึ่งในเรื่องหลักทางวิชาการ โดยนำข้อเท็จจริง หลักทางวิชาการ การถกเถียงโต้แย้งเกี่ยวกับจำนวนเฟรม ความเร็วของรถ ระดับแสงสว่าง สภาพถนน สภาพการจราจร และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ประกอบข้อสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ การคิดคำนวณความเร็วของรถที่เกิดเหตุ ว่าทฤษฎีใดที่จะเชื่อถือหรือรับฟังได้ของนักวิทยาศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนเป็นเรื่องความเห็น เฉพาะตัว
หากมีการประชุมนำเสนอแนวทางวิธีการ หรือทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ โดยใช้ความรอบคอบ ในการพิสูจน์ดังกล่าวย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ความโปร่งใส ความถูกต้อง และ ก่อให้เกิดความเป็นธรรม เมื่อนำความเห็นที่แตกต่างหลากหลายและวิธีการที่คำนวณได้ถูกต้องตรงตาม หลักมาตรฐานวิชาการ แล้วนำเสนอสู่พนักงานอัยการผู้มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมเพื่อนำเข้าสู่สำนวนคดี
ย่อมเป็นประโยชน์ในการสั่งคดีของพนักงานอัยการมากกว่า ส่วนการที่พนักงานอัยการจะมี ความเห็นหรือดุลพินิจสั่งคดีอย่างไรนั้นเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ต้องว่ากล่าวกันต่างหาก จำเลยที่ 7 จบ การศึกษาปริญญาเอก จากประเทศอังกฤษ ในสาขาวิชาวิศวกรรม ทำงานวิชาการในเรื่องนี้เกี่ยวกับ วิศวกรรมยานยนต์ อุบัติเหตุ และความปลอดภัย จึงถือว่าผู้เชี่ยวชาญ การพิสูจน์ดังกล่าวย่อมควรต้อง รับฟังประกอบความเห็น จำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวนมีอำนาจและหน้าที่ต้องทำการสอบสวน ด้วยการนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ทุกสาขามาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ในทางด้านกฎหมาย การ คลี่คลายปัญหาและการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ในคดีความเพื่อผลในการบังคับใช้กฎหมาย และการลงโทษ ผู้กระทำผิดหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ที่ถูกกล่าวหา เพื่อให้ทราบถึงความจริงหรือข้อสงสัยต่าง ๆ ใน การดำเนินการสอบสวน และการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อทำให้การรวบรวม พยานหลักฐานในกระบวนการสอบสวนคดีอาญาเกิดความน่าเชื่อถือ ดังนั้น พนักงานอัยการจึงมีอำนาจ สั่งให้พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ทำการสอบสวนเพิ่มเติมในสำนวนการสอบสวนนี้เพื่อให้ได้ ข้อเท็จจริงแห่งคดี
ปัญหาว่าจำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวน มีอำนาจและหน้าที่ที่จะนัดหมาย และ นัดแนะเพื่อจะสอบปากคำ พ.ต.อ. ธ เพิ่มเติม มีอำนาจที่จะจัดให้มีการประชุมแสดงวิธีการคำนวณ ความเร็วของรถยนต์ได้โดยชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ 6 อาญา ลักษณะ 2 ว่าด้วยการสอบสวนสามัญ เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการ ตามที่เห็นสมควรภายในขอบเขตบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ในการสอบสวนหากไม่ปรากฏว่าพนักงาน สอบสวนกระทำผิดกฎหมายหรือผิดหน้าที่อย่างใด ย่อมกระทำได้ ทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญาก็มิได้บัญญัติห้ามมิให้บุคคลอื่นเข้าฟังการสอบสวน
การที่จำเลยที่ 3 สอบปากคำเพิ่มเติมกับ มีบุคคลอื่นเข้าร่วมฟังอยู่ด้วยการสอบสวน จึงไม่ทำให้การสอบสวนดังกล่าวเสียไป ประกอบกับตาม ประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี พ.ศ. 2544 ลักษณะ 8 การสอบสวน บทที่ 5 การถามปากคำ ค. หลักการถามปากคำพยาน ระบุไว้ในข้อ 251 ถึงข้อ 254 โดยระบุถึงหลักการถามปากคำพยานตาม หลักการวิธีการ อำนวยความสะดวกแก่พยาน การทำความจริงให้ปรากฏอันเป็นการทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้ระบุถึงขอบเขตถึงการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้บุคคลใดเข้าร่วมรับฟังการสอบสวนหรือไม่ อย่างไร พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสำนวนคดีย่อมมีดุลยพินิจตามสมควรว่าพยานที่จะมาให้การ หรือ ผู้ที่จะร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีความชำนาญเป็นพิเศษ มีความรู้ ประสบการณ์คุณวุฒิเพียงพอที่จะแสดงความเห็นในเรื่องนั้น ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีไม่ว่าทางใด ทางหนึ่ง ดังนั้น การประชุมเพื่อแสดงวิธีการคำนวณความเร็วสามารถกระทำได้โดยชอบ เมื่อจำเลยที่ 3 รับทราบตามคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานอัยการ ติดต่อขอสอบปากคำ พ.ต.อ. ธ วันเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 เดินทางไปสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พ.ต.อ. ธ แจ้งถึงสาเหตุที่ประชุมด้วยวาจาต่อ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ในการบริหารควบคุม กำกับ ดูแล ราชการของกองพิสูจน์หลักฐานกลางให้เป็นไปตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 แจ้งต่อ พล.ต.อ. ม ในฐานะบัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ อันเนื่องจากเป็นคดีสำคัญและอยู่ในความสนใจของ ประชาชน พล.ต.อ. ม ให้ใช้ห้องประชุมของสำนักงาน จำเลยที่ 2 และ พล.ต.อ. ม ย่อมมีสิทธิโดยชอบ ในการเข้าร่วมประชุมแสดงความวิธีคำนวณเร็ว หาจำต้องได้รับการอนุญาตจากจำเลยที่ 3 แต่อย่างใด
ทางไต่สวนไม่มีได้มีการนัดแนะหรือนัดหมายหรือมีพฤติการณ์อื่นนอกจากนี้ที่จะให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมสมคบหรือร่วมกันวางแผนให้มีการประชุมตามฟ้อง ทั้ง พ.ต.อ. ธ ให้การไต่สวนว่า เป็นผู้ที่แจ้งด้วยวาจาให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวนจะมาขอสอบปากคำ เพิ่มเติมตามคำสั่งของพนักงานอัยการ และมีผู้มาอธิบายวิธีการคำนวณความเร็วที่ไม่ตรงกันความเร็วกับ ที่ตนเคยทำรายงานไว้ พล.ต.อ. ม ยืนยันว่าในวันเกิดเหตุเป็นผู้อนุญาตให้ใช้ห้องประชุมซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงานตนเพื่อประชุมระดมความคิดเห็น โดยสั่งให้นัดหมายพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการตรวจ พิสูจน์กับพนักงานสอบสวนมาร่วมปรึกษาพูดคุย โดยไม่ได้สั่งการหรือนัดหมายบุคคลอื่นนอกเหนือจากนี้ ไม่ได้ชักชวนหรือนัดแนะให้จำเลยที่ 1 มาร่วมประชุมมาก่อน เป็นแต่เพียงการนัดหมายกันตามปกติ ทั่วไป เพิ่งมีการพูดคุยเรื่องคดีของนาย ว ในช่วงเช้าวันนั้น ตามพฤติการณ์จำเลยที่ 1 ที่รู้จักคุ้นเคยสนิท สนมกับ พล.ต.อ. ม เป็นการส่วนตัวมานานกว่า 10 ปี ร่วมทำงานรับราชการตำรวจ การนำของฝาก หรือของที่ระลึกไปมอบให้ภายหลังกลับจากต่างประเทศมีอยู่ตามลักษณะวิสัยของสังคมไทยทั่วไป
@พล.ต.อ.สมยศ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แค่ขอเข้าฟังเป็นความรู้
พิเคราะห์ประกอบบริบทข้อความสนทนาของจำเลยที่ 1 กับจำเลยและบุคคลอื่นกับตามวัตถุพยานคลิป บันทึกเสียงที่จำเลยที่ 1 สอบถาม พล.ต.อ. ม ว่า “มีอะไรกัน” พล.ต.อ. ม ตอบว่า “มีการนัด สอบปากคำเรื่องความเร็วรถยนต์คดีของนาย ว ตามคำสั่งของอัยการ “ จำเลยที่ 1 ถามว่า “เป็นความลับไหม ไปฟังได้ไหม” พล.ต.อ. ม ตอบว่า “ไม่เป็นความลับ เป็นเรื่องวิชาการ” จำเลยที่ 1 พูดว่า“ห้องว่างหรือเปล่า เออ ไปกันเยอะ ๆ เดี่ยวไปฟังด้วย ประดับความรู้ ไอ้ห่า จะได้มีอะไร comment (แสดงความคิดเห็น)” น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 น่าจะไม่ทราบว่ามีการประชุมในวันนี้มาก่อน พล.ต.อ. ม ให้การยืนยันว่าจำเลย 1 แสดงความสนใจ ขออนุญาตตนเพื่อเข้าร่วมรับฟัง พล.ต.อ. ม เห็นว่าไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย เป็นเรื่องพูดคุยทางวิชาการ จึงอนุญาตให้จำเลยที่ 1 เข้าร่วมรับฟัง เห็นว่า จำเลยที่ 1 พูดชักชวนให้คนอื่นเข้าไปร่วมประชุมทำนองไปร่วมแสดงความคิดเห็นกันให้มาก ๆ นั้น ถ้อยคำนี้แสดงถึงการเปิดเผยไม่ได้มีลักษณะจะปิดบังข้อมูลเฉพาะ ขณะที่จำเลยที่ 1 อยู่ที่สำนักงาน พิสูจน์หลักฐานตำรวจ มีการแสดงตัวไม่มีการปกปิดในสถานที่ราชการและวันเวลาราชการที่ผู้คนอยู่ จำนวนมาก เมื่อเข้าไปในห้องประชุมมีการแนะนำให้รู้จักจำเลยที่ 7 มีการทักทายและพูดถึงการทำคดีที่ เคยร่วมงานกันมาก่อน จำเลยอื่นรู้จักจำเลยที่ 1 เพราะเป็นอดีตผู้บัญชา และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงใน วงสังคม แต่ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อน ข้อเท็จจริงยุติว่าตามไฟล์คลิปที่ 1 จำเลยที่ 1 อยู่ใน ที่ประชุมโดยใช้เวลา 25.56 นาที ก็เดินลุกออกไปพบอุปทูตไทยประจำบราซิลที่ห้องทำงานของ พล.ต.อ. ม ประมาณ 5 ถึง 10 นาที แล้วเดินทาง
@ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เป็นประธานในประชุมคณะกรรมการ ผู้ตัดสินอาวุโส ฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลาประมาณ 10 นาฬิกา ที่โรงแรม ด. บริเวณถนนรัชดาภิเษก และจนเวลาประมาณ 14 นาฬิกา ก็เป็นประธานในการประชุม คณะกรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอล ฯ ยาวต่อเนื่องไปจนถึงเวลาประมาณ 17 นาฬิกา
หากจำเลยที่ 1 ประสงค์ต่อผลในการนัดแนะหรือนัดหมายในลักษณะสมคบคิดวางแผนประชุมเพื่อเปลี่ยนแปลง ความเร็ว โดยนัดหมายให้กับตรงกับวันที่ตนไม่มีภารกิจอื่นทับซ้อน น่าจะใช้เวลาที่นานหลายชั่วโมงกว่า นี้ในการที่จะอยู่ในห้องประชุมเพื่อจะแสดงความคิดเห็นของตนในลักษณะต่าง ๆ ที่จะเป็นการโน้มน้าว หรือจะชักจูงให้ พ.ต.อ. ธ ให้เป็น ข้อเท็จจริงยุติว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ออกไปจากห้องประชุมแล้วก็มิได้กลับ เข้ามาร่วมประชุมอีกเลย
พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับบริบทคำพูดต่าง ๆ ข้างต้นยังไม่อาจแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบว่าอาจารย์ที่จะเชิญมาอธิบายวิธีการแสดงความเร็วเป็นจำเลยที่ 7 พยานหลักฐานตามทางไต่สวนไม่เพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 สมคบกันวางแผนหรือคบคิดกับบุคคลอื่นในการนัดแนะหรือนัดหมายให้มีการประชุมตามฟ้อง ส่วน จำเลยที่ 4 จำเลยอื่นและพยานบุคคลที่มาเบิกความต่างไม่รู้จักกับจำเลยที่ 4 มาก่อน ไม่มีผู้ใดให้การว่า เป็นผู้อนุญาตหรือเชิญให้เข้าร่วมรับฟังการประชุม ส่วนจำเลยที่ 5 ในฐานะทนายความและผู้รับมอบ อำนาจเป็นผู้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมแทนนาย ว เป็นผู้ประสานงานให้จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นผู้มีความ เชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมยานยนต์ มีชื่อเสียงและผลงาน โดยมีนาย ม ผู้ช่วยอาจารย์เข้าร่วมเข้าประชุม พล.ต.อ. ม จำเลยที่ 2 และที่ 3 เชิญชวนให้จำเลยที่ 1 เข้าอยู่ในห้องประชุม ส่วนจำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 และนาย ม นั่งอยู่ในห้องประชุมก่อนแล้ว พ.ต.อ. ว เข้ามาร่วมในภายหลัง
เมื่อพิเคราะห์ตามคำสั่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการทำสำนวนสอบสวน ที่ 419/2556 เรื่อง การอำนวยความ ยุติธรรมในคดีอาญา ตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 8 บทที่ 5 ฯลฯ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มิได้บัญญัติให้สิทธิหรือข้อห้ามไว้ ทั้งไม่ได้ห้ามสิทธิของ บุคคลในการเข้าร่วมฟังการสอบสวน แต่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนตามที่เห็นสมควร แต่การให้หรือไม่ให้เข้าร่วมสอบสวนเพิ่มเติม เป็นแต่เพียงมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน ในเรื่องนั้น ๆ เฉพาะส่วน การที่ พล.ต.อ. ม ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ. ธ ชักชวนและอนุญาตให้ 8 จำเลยที่ 1 เข้าร่วมรับฟังวิธีการคำนวณความเร็ว แสดงวิธีคิด หรือผู้บุคคลที่คิดว่าจะให้ความรู้ หรือให้ การตามที่มีความเชี่ยวชาญ ย่อมสามารถกระทำได้ แม้ พ.ต.อ. ธ เองก็ชักชวน พ.ต.อ. ว มาร่วมรับฟัง อภิปรายและเสนอความคิดเห็นอยู่ในการประชุมเป็นการส่วนตัวและในฐานะเพื่อนร่วมงานที่จบ การศึกษาระดับปริญญาเอกด้านฟิสิกส์โดยตรง
ดังนั้น จำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวนชอบที่จะ ดำเนินการตามที่เห็นสมควรภายในขอบเขตบทบัญญัติของกฎหมาย ทั้งเมื่อตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา และประมวลระเบียบตำรวจเกี่ยวกับคดีก็มิได้บัญญัติห้ามมิให้บุคคลอื่น หรือพยาน ปากอื่นเข้าฟังการสอบสวน กรณีถือได้พนักงานสอบสวนนั้น ๆ อนุญาตโดยปริยาย เมื่อจำเลยที่ 3 เป็น พนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจกระทำการสอบสวนในอำนาจหน้าที่ของตนโดยชอบ โดยการสอบสวนหรือ สอบปากคำเพิ่มเติมดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดกฎหมาย แม้มีบุคคลอื่นซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้อง โดยตรงมาร่วมรับฟังอยู่ด้วย ก็ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไปทั้งหมด เป็นแต่เพียงจะน่าเชื่อถือหรือรับฟัง พยานหลักฐานนั้น ๆ ได้มากหรือน้อยเพียงใดเท่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 พนักงานสอบสวน สอบสวนเพิ่มเติมพยานโจทก์ปาก พ.ต.อ. ธ การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 และบุคคลอื่นร่วมอยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 และมีบุคคลอื่นมาประชุมเพื่อแสดงวิธีการคำนวณความเร็ว มิใช่การ สมคบกันกระทำผิดกฎหมาย ปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ใช้อิทธิพล บังคับ กดดัน และ โน้มน้าว พ.ต.อ. ธ ให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่ 7 นำเสนอ โดยสมคบกันกระทำผิดด้วย การวางแผนร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์ หรือไม่ โดยต้องวินิจฉัยก่อนว่า มีการร่วมประชุม แสดงวิธีการคำนวณความเร็วเมื่อวันใด และไฟล์คลิปบันทึกเสียงตามวัตถุพยาน วจ.5 และรายงาน สรุปผลการตรวจสอบพยานหลักฐานดิจิทัล ตามเอกสารหมาย จ.73 และ จ.75 รับฟังเป็น พยานหลักฐานได้หรือไม่ เพียงใด
เห็นว่า ทั้งสามไฟล์คลิปไม่ใช่ต้นฉบับข้อมูลบันทึกเสียง จำเลยนำ พยานเข้าไต่สวนหักล้างได้ว่าโปรแกรม M ซึ่งเป็นโปรแกรมการใช้งานทั่วไป มีการดัดแปลงข้อมูล เช่น วันที่บันทึก ชื่อไฟล์ หรือข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องได้โดยง่าย โดยไม่มีการแสดงต้นฉบับ (Date/Time Original) ซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะ ไม่อาจหาข้อมูลบางอย่างของ Metadata ได้ถูกต้องและครบถ้วน ทั้งไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Iphone 5 ( IOS 9.2.1 ) ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการ บันทึกข้อมูลโดยตรง น่าเชื่อว่ามีการดัดแปลงแก้ไขเกี่ยวกับวันเวลาที่บันทึกข้อมูล ประกอบมีการโอน ถ่ายข้อมูลคัดลอกไฟล์กันมาเป็นลำดับเพื่อส่งตรวจพิสูจน์ ทำให้วันเวลาที่บันทึกคลาดเคลื่อนจาก ข้อเท็จจริง รายงานสรุปผลการตรวจสอบพยานหลักฐานดิจิทัลตามเอกสารหมาย จ.73 และ จ.74 ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานยืนยันวันเวลาที่เกิดเหตุได้ กับบันทึกถ้อยคำพยานปาก พ.ต.อ. ธ ต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. 6 ครั้ง ก็ไม่ได้ให้การว่ามีการประชุมในวันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 อันเป็นวันเกิดเหตุแต่อย่างใด เพิ่งปรากฏเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 เท่านั้น พฤติการณ์ในส่วนนี้แสดง ให้เห็นถึงความไม่แน่ชัดว่าจะให้การตรงไปตรงมาในแง่ของวันเวลาที่มีการประชุม อันลักษณะปกปิด ข้อเท็จจริงบางส่วนเพื่อไม่ให้ขัดต่อข้อเท็จจริงหรือพยานวัตถุที่ตนมีไว้ในครอบครองในเรื่องเวลา พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ และน่าเชื่อถือมากกว่า รับว่าได้มีการ ร่วมประชุมวิธีการแสดงความเร็วและสอบปากคำเพิ่มเติมเพียงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 วันเดียว เท่านั้น
แต่แม้พยานวัตถุหมาย วจ.5 ไฟล์บันทึกเสียงทั้งสามไฟล์ล้วนเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ใช่ต้นฉบับ 9 ข้อมูลที่เก็บบันทึกในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลายชนิดและในระยะเวลาที่ยาวนาน แม้เป็นเพียงสำเนาที่ บันทึกคัดลอกต่อ ๆ มา ก็มีความไม่น่าเชื่อถือเฉพาะเกี่ยวกับวันเวลาที่มีการประชุมเท่านั้น แต่ไม่กระทบ ถึงเนื้อหาของคำพูดของจำเลยแต่ละคนและบุคคลที่เข้าร่วมการประชุม ไฟล์เสียงเป็นข้อมูลจากระบบ อิเล็กทรอนิกส์ น.ส. อ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ให้ความเห็นว่า “ไม่พบร่องรอยการ แก้ไขหรือดัดแปลงข้อมูลไฟล์” กรณีไม่มีเหตุที่ผู้ใดจะตัดต่อปรับเปลี่ยนแก้ไขไฟล์ในส่วนถ้อยคำสนทนา หรือเนื้อหาให้เป็นผลร้ายแก่ฝ่ายใด การบันทึกเสียงจะเป็นบางส่วน มีการกดพักหรือหยุดพักหรือไม่ ก็ตาม ก็คงพิจารณาเฉพาะเพียงเท่าที่ปรากฏเพื่อวินิจฉัย เมื่อพิเคราะห์น้ำเสียงของจำเลยแต่ละคนที่มา เบิกความต่อศาลเปรียบเทียบ แต่ละคนก็มีเส้นน้ำเสียงที่แตกต่าง สามารถจำแนกเสียงระบุเฉพาะ บุคคลได้ แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ต้องการสื่อสารในบริบทหรือสถานการณ์นั้นของแต่ละคน โดยถ้อยคำของจำเลยแต่ละคนตามช่วงเวลาเป็นลำดับ การถอดข้อความเป็นลายลักษณ์อักษร ศาลได้ให้ จำเลยแต่ละคนได้มีโอกาสตรวจสอบความถูกต้องของไฟล์เสียงทั้งหมดแล้ว หากไม่ถูกต้องให้โต้แย้งต่อ ศาลภายในกำหนดจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 7 ไม่ปฏิเสธว่าไม่ใช่เสียงของตน โต้แย้งเพียงว่าคลิป เสียงที่ใช้เป็นพยานหลักฐานนั้นไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอ เช่น เสียงขาดหายไปบางช่วง ศาลจึงรับฟังข้อมูลไฟล์เสียงประกอบการพิจารณา โดยรับฟังได้เฉกเช่นพยานคนกลาง เช่นเดียวกับพยานที่รู้เห็น เหตุการณ์โดยตรงและไม่มีส่วนได้เสีย การแอบบันทึกเสียงมิได้มีจุดประสงค์จะใช้เป็นพยานหลักฐาน แต่แรก แต่พยานหลักฐานดังกล่าวมิได้เกิดจากการก่อให้จำเลยกระทำผิด และเป็นเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นจริง จึงไม่ได้เป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ การรับฟัง พยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรม มากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบ ต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา หรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน
@ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม จำเลยที่ 7
ศาลจึงใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้ โดยพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี ทั้งต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ คือ คุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญ และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน พฤติการณ์และความร้ายแรง ของความผิดมาประกอบด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 โดยรับฟัง ไฟล์บันทึกเสียงตามวัตถุพยาน วจ.5 เป็นพยานหลักฐานได้ แต่ในส่วนพยานปาก พ.ต.อ. ธ จำเลยทุกคน ต่างให้การโต้แย้งและนำสืบถึงความไม่น่าเชื่อถือ จึงเห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า คำให้การในชั้นต่าง ๆ ของ พ.ต.อ. ธ รับฟังได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า พ.ต.อ.ธ เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิด เมื่อได้ให้ถ้อยคำหรือแจ้งเบาะแส หรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญในการที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัย ชี้มูลการกระทำผิดของเจ้าพนักงานของรัฐรายอื่นหรือผู้ถูกกล่าวหารายอื่น
เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควรกัน พ.ต.อ. ธ ไว้เป็นพยาน ได้รับสิทธิตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 135 และตามประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีและเงื่อนไขการกันตัวบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดี พ.ศ. 2561 ข้อ 6 และ ข้อ 14 ก่อนที่ พ.ต.อ.ธ จะถูกกันเป็นพยาน พ.ต.อ. ธ เชื่อในหลักการคำนวณของจำเลยที่ 7 เนื่องจาก คุณวุฒิ ความรู้และประสบการณ์ที่เคยมาช่วยงานของกองพิสูจน์หลักฐานกลางมามาก ขณะดูวิธีการ คำนวณของจำเลยที่ 7 ไม่พบความบกพร่อง น่าจะมีความคลาดเคลื่อนน้อยกว่าวิธีการคำนวณของตน คำให้การในชั้นต่าง ๆ ของ พ.ต.อ.ธ ก่อนนี้มีลักษณะอธิบายสื่อความหมาย หรือขยายความให้กระจ่าง มากขึ้นว่ารู้สึกกดดันไปเองของตนในเวลานั้น อันเนื่องมาจากเป็นวิธีการคำนวณแบบใหม่ ทำนองไม่ 10 มั่นใจในวิธีคิดเดิมของตน หรือวิธีการคำนวณความเร็วแบบใหม่ที่จำเลยที่ 7 คิดได้และนำเสนอ จนต้อง นำไปครุ่นคิดจนต่อมาปรึกษากับเพื่อนร่วมงานหลายคน สามารถหักล้างวิธีคิดเดิมของตนได้ วิธีการใหม่ ที่ตนไม่เคยทราบและรับรู้มาก่อน ระยะเวลาประชุมที่ยาวนาน ความเข้มเข้นเนื้อหาทางวิชาการทำให้ เกิดรู้สึกเคร่งเครียดเองตามธรรมชาติ ต้องรีบให้ปากคำให้แล้วเสร็จในเวลาจำกัด ต้องรีบส่งบันทึก คำให้การแก่พนักงานอัยการ รู้สึกกดดัน โดย พ.ต.อ. ธ ไม่เคยกล่าวหรือแสดงให้เห็นว่าตนถูกจำเลยคน ใดหรือบุคคลใดใช้อิทธิพล บังคับ กดดัน และโน้มน้าว ให้ตนยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่ 7 นำเสนอมาก่อน
@กระแสสังคมทำ พ.ต.อ.ธ เปิดเผยคลิปเสียง เป็นข้อบ่งชี้ถูกจำเลยกดดัน
แต่หลังจากที่ พ.ต.อ. ธ ให้การในชั้นกรรมาธิการการกฎหมายฯ แล้วได้เกิดกระแส สื่อมวลชนและสังคมในทางลบกับตนทำนองว่าที่ให้ความเห็นกลับไปกลับมา เกรงความรับผิด พ.ต.อ. ธ จึงนำเอาคลิปเสียงที่บันทึกขณะประชุมแสดงวิธีคำนวณความเร็วออกมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเหตุที่ตน เปลี่ยนแปลงความเห็นเดิมเป็นเพราะพวกจำเลยกดดันตน และไปให้การยืนยันในชั้นของคณะกรรมการ สืบหาข้อเท็จจริงและกฎหมายที่นาย ว. เป็นประธานคณะกรรมการ และให้การในชั้นไต่สวนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่ารู้สึกเกรงกลัวหรือกดดันจากการเข้าร่วมสนทนากับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ พล.ต.อ. ม เห็นว่า ในชั้นศาล หาก พ.ต.อ. ธ เบิกความไม่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาหรือเป็นปฏิปักษ์ ย่อมสุ่มเสี่ยงไม่ได้รับการกันไว้เป็นพยานและการกันบุคคลเป็นพยานอาจสิ้นสุดลง และอาจถูกดำเนินคดีต่อไปได้ ความแตกต่างอย่างชัดแจ้งเช่นนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือและน้ำหนักให้รับฟังน้อย ศาลต้องรับฟัง พยานปากนี้ด้วยความระมัดระวังยิ่ง
ส่วนที่จำเลยที่ 1 พูดในขณะร่วมประชุมสนทนาว่า “สิ่งหนึ่งที่ผม พูดกับคุยน้องมันไว้ ก็คือน้องเนี่ยคำนวณจากระยะ แล้วก็ออกมาเป็นความเร็ว ความเร็วที่คิดมันคิดจาก ทฤษฎีที่เป็นทฤษฎีที่คิดในห้องทดลอง ห้องทดลองก็จะอากาศเบาบาง คือมันพยายามให้คิดความเร็ว เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อการทำ Marketing (การตลาด) ความเร็วเท่าไหร่ เร่งเท่าไหร่ แต่ว่าในความ เป็นจริง ในทัศนวิสัย เช่นว่า ยามเช้าอากาศหนักอะไรอย่างนี้ ความเร็วไม่เป็นไปตามทฤษฎี นี่คือสิ่งที่ผม คิดนะ อย่างที่สองคือ ระยะทางที่ใช้คำนวณหน้ากล้องหลังกล้อง ความเร็วอาจจะเปลี่ยน อาจจะเร็วขึ้น ก็ได้ อาจจะลดลงก็ได้ลดลง เพราะว่าทัศนวิสัยการจราจรอะไรก็แล้วแต่ที่มันอยู่ข้างหน้า ซึ่งในกล้องมัน ไม่ปรากฏ นี่ผมคิดในมุมมองผมแบบนี้” นั้น
ศาลพิเคราะห์ตามวัตถุพยาน วจ.5 บันทึกการถอดข้อความ เสียงไฟล์ที่ 1 เห็นว่า เมื่อศาลไต่สวน นาย ม. วิศวกรคณะบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ สิรินธร ไทย - เยอรมัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ยืนยันว่าบรรยากาศในห้อง ประชุมในวันดังกล่าวเป็นแบบผ่อนคลายสบาย ทุกคนต่างเดินไปมา มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ขณะที่พยานเปิดไฟล์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กดูคลิปวิดีโอก็มีคนเดินผ่านไปมาดูถึงวิธีการแยกเฟรมวิดีโอ ในการพูดคุยเป็นการถกเถียงทั่วไปเกี่ยวกับความเร็ว ลักษณะคุยกันปกติ พยานยืนยันว่าคนที่อยู่ในห้อง ประชุมตามไฟล์เสียงที่ 1 ไม่มีผู้ใดที่พูดจาโน้มน้าว บังคับ ขู่เข็ญให้คำนวณความเร็วให้ต่ำกว่า 80 กม./ชม.
เมื่อศาลฟังเสียงไฟล์คลิปเสียงดังกล่าวประกอบบริบทข้อความสนทนาของจำเลยที่ 1 ตามที่ ปรากฏมีลักษณะเป็นเชิงวิชาการทั่วไป มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอความคิดเห็นที่แตกต่างเชิง โต้ตอบกันไปมา ถ้อยคำพูดที่ปรากฎไม่มีข้อความโน้มน้าว กดดัน บังคับ ไม่มีการใช้คำพูดต้องการให้ กำหนดให้มีความเร็วโดยเฉพาะเจาะจง ลักษณะน้ำเสียงเป็นของจำเลยที่ 1 พูดเสียงดังฟังชัดเจน โทน เสียงและอารมณ์ก็เป็นการพูดทั่วไป ไม่มีความเข้มดุดันหรือวางอำนาจ จำเลยที่ 1 แม้เคยดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ก็มิได้มีอำนาจบังคับบัญชา พ.ต.อ. ธ ส่วนการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มิได้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวพันใด ๆ กับการบังคับบัญชา การเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นแต่บุคคลสาธารณะที่รู้จักในวงสังคม ทั่วไป
ส่วนที่ พล.ต.อ. ม พูดว่า “ทางพี่อ๊อด (หมายถึงชื่อเล่นของจำเลยที่ 1) เค้าอยากให้จบในชั้น อัยการเค้าจะได้จบเลยจะได้ไม่ต้องสืบ” ทางไต่สวน พล.ต.อ. ม ให้การว่าจำเลยที่ 1 เคยพูดความ คิดเห็นส่วนตัวไปตามประสบการณ์เกี่ยวกับความเร็วรถยนต์ของนาย ว. ไม่น่าเชื่อว่าจะขับได้เร็วขนาด นั้น อยากให้เป็นเรื่องการพิจารณาของชั้นพนักงานอัยการ แต่ไม่ได้พูดหรือสั่งการให้ พล.ต.อ. ม ใช้อำนาจหรือหน้าที่ไปดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นว่า พล.ต.อ. ม รับว่าตนเองโดย การเอ่ยถึงชื่อเล่นของจำเลยที่ 1 โดยลำพัง เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำดังกล่าวเป็นคำกลาง ๆ ยังไม่ ตีความหมายให้เป็นไปทางอคติแต่ฝ่ายเดียว หรือตีความถึงการใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ชอบธรรม การที่จะนำถ้อยคำในการสนทนากล่าวอ้างอิงพาดพิงถึงบุคคลที่สามในทางที่เป็นผลร้ายเพียง ลอย ๆ มารับฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 โดยไม่มีพยานหลักฐานสำคัญอื่นเป็นหลักประกอบย่อมเป็น การไม่ชอบ
คำให้การของ พล.ต.อ. ม มีลักษณะเป็นการอธิบายสื่อความหมายขยายความ แม้มีลักษณะ จะเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 แต่มิได้หมายความเลยไปถึงขนาดจะเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ไปเสียเลย ทีเดียว พล.ต.อ. ม ได้ให้ถ้อยคำในการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และชั้นศาลเช่นเดิมตลอดมา สามารถนำไปรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ พล.ต.อ. ม เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิด และถูกกันเป็นพยาน ได้รับสิทธิตามกฎหมายและหากผิดเงื่อนอาจรับความเสี่ยงถูกดำเนินการ เช่นเดียวกับ พ.ต.อ. ธ ตามที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว พล.ต.อ. ม เคยเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีความรู้ ความเข้าใจในด้านกฎหมายเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทางไต่สวนและทางนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน อื่นสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ สั่งการ หรือสมคบคิดวางแผนให้ พล.ต.อ. ม เป็นผู้พูดถ้อยคำ ดังกล่าวแทนตน
ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 อ้างข้อมูลในเหตุการณ์สอบปากคำเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธ ที่มิชอบดังกล่าวที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย เพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้แก่นาย ว กรณีพิจารณารายงานของคณะทำงานตามคำร้องของนาย ว เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2559 ในฐานะ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการการกฎหมาย ฯ นั้น เห็นว่า ทางไต่สวนปรากฏว่า เมื่อมีการประชุมคณะกรรมาธิการ ฯ ครั้งที่18/2559 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2559 พิจารณารับ เรื่องร้องเรียนของนาย ว ร้องขอความเป็นธรรม การประชุมครั้งนี้จำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าร่วมประชุม การ ประชุมคณะกรรมาธิการ ฯ ครั้งที่ 22/2559 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2559 มีการแต่งตั้งคณะทำงาน โดยไม่ปรากฏรายชื่อของจำเลยที่ 1 รวมอยู่ด้วย และจำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าร่วมประชุม จำเลยที่ 1 เข้า ร่วมประชุมคณะกรรมาธิการ ฯ ครั้งที่ 47/2559 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2559 แต่ตามรายงานการ ประชุม ถ้อยคำการแสดงความเห็นของจำเลยที่ 1 เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานผลการพิจารณา ตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงานโดยอ้างถึงประสบการณ์ส่วนตัว ทั้งการให้ความเห็นของสมาชิก คณะกรรมาธิการก็เป็นเพียงรับทราบรายงานผลการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงาน มี อำนาจและหน้าที่เพียงการศึกษาข้อเท็จจริงตามคำร้องของนาย ว เท่านั้น เมื่อคณะทำงานพิจารณา ศึกษาและตรวจสอบแล้วเสร็จก็ต้องส่งรายงานต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย ฯ เพียงเพื่อให้มีมติ รับทราบข้อเท็จจริงเท่านั้น โดยที่คณะกรรมาธิการการกฎหมาย ฯ ไม่อาจมีความเห็นต่อผลการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อแล้วเสร็จก็ดำเนินการส่งรายงานต่อไปยังอัยการสูงสุด และอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอัยการกรุงเทพใต้ ตามลำดับ เพื่อพิจารณาตามอำนาจและหน้าที่ต่อไปของพนักงานอัยการ เท่านั้น ผลการศึกษาและตรวจสอบเป็นขั้นตอนนอกกระบวนการยุติธรรม ข้อเท็จจริงใด ๆ ไม่มีผลผูกมัด ให้ต้องนำมาประกอบในการพิจารณาคดีของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาลยุติธรรม แต่ อย่างใด และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 8 ได้ใช้รายงานของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย ฯ และความเห็น ของจำเลยที่ 1 ในการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องในส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด พยานหลักฐานทาง ไต่สวนและทางนำสืบไม่เพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยที่ 1 โน้มน้าว กดดัน บังคับและใช้อิทธิพลให้พ.ต.อ. ธ ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่ 7 นำเสนอ อันจะเป็นความผิดแต่อย่างใด
ส่วนของจำเลยที่ 2 เห็นว่า ได้มีการสอบถามถึงไฟล์คลิปวิดีโอที่ชื่อไฟล์ว่า Picture 476.mov จากพ.ต.อ. ธ พ.ต.อ. ธ ก็ออกไปนำไฟล์ภาพที่ตนมีไว้ในครอบครองซึ่งได้มาจากจำเลยที่ 3 มาตั้งแต่ช่วงเวลาเกิดเหตุมามอบให้ บริบทถ้อยคำที่เกี่ยวข้องจำเลยที่ 2 แสดงความคิดเห็นในทาง วิชาการของตนตามประสบการณ์ มีการแลกเปลี่ยนโต้แย้งว่า Original File (ไฟล์ต้นฉบับ) หรือไม่ เป็น ข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ มีการท้วงติงวิธีการคำนวณของจำเลยที่ 7 ทางวิชาการ แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ แล้ว จำเลยที่ 2 พูดแสดงให้เห็นเจตนาของว่าจำเลยที่ 2 ยังมิได้เห็นด้วยหรือยอมรับในผลการคำนวณ ของจำเลยที่ 7 แต่ให้ พ.ต.อ. ว ช่วยเหลือ พ.ต.อ. ธ โดยกลับไปคิดคำนวณความเร็วในวิธีของจำเลยที่ 7 ลองทบทวนคิดเสียก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ก่อน แสดงให้เห็นว่าให้ความเป็นอิสระและเวลาแก่ พ.ต.อ. ธ เพื่อไปดำเนินการตรวจสอบให้ถูกต้อง ภายหลังล่วงเลยไปถึง 1 เดือน พ.ต.อ. ธ จึงมาทักท้วงต่อจำเลยที่ 2 ตามบทสนทนาในไฟล์คลิปที่ 2 และที่ 3 ไม่มีข้อความใดที่ชี้ชัดให้ พ.ต.อ. ธ เปลี่ยนปลงความเร็วลง เฉพาะ จำเลยที่ 2 ได้สอบถามและทักท้วง ถือว่าเป็นการตรวจสอบถึงความบกพร่องของรายงานตรวจ พิสูจน์และการคิดคำนวณตามวิธีของจำเลยที่ 7 ตามอำนาจและหน้าที่แล้ว การสนทนาของจำเลยที่ 3 ไม่ได้พูดหรือสนทนาใดมาก
ต่อเมื่อมีผู้สอบถามจึงตอบ ข้อความที่พูดตามข้อเท็จจริงทั่ว ๆ ไป ไม่เป็น การกำหนดเจาะจงความเร็ว ส่วนใหญ่เป็นการซักถาม เป็นการกล่าวถึงหลักวิชาการวิธีการคิดคำนวณ ไม่มีข้อความใดที่เป็นการโน้มน้าวชักจูง กดดัน บังคับ และใช้อิทธิพลบังคับ พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ ว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดในส่วนนี้ ส่วนการที่จำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน พ.ต.อ. ธ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 แต่ได้ทำบันทึกคำให้การพยานไว้เป็น 2 ฉบับ คือ ฉบับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 และวันที่ 2 มีนาคม 2559 เห็นว่า เมื่อ พ.ต.อ. ธ แจ้งว่าสามารถคำนวณความเร็วได้แล้ว จำเลยที่ 3 ก็พิมพ์ลงไปในคำให้การเท่านั้น การแก้ไขความเห็นด้านความเร็วของจากเดิม 177 กม./ชม. เป็น 79.23 177 กม./ชม. เป็นไปตามความประสงค์ของ พ.ต.อ. ธ ขณะนั้นจำเลยที่ 3 กับ พ.ต.อ. ธ ดำรงยศพันตำรวจโทเท่ากัน พ.ต.อ. ธ พื้นฐานเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีจรรยาบรรณและ ความอิสระในวิชาชีพ การถูกกดดันหรือโดยใช้อิทธิพลบังคับจากสถานะตำแหน่งหน้าที่เท่ากัน ย่อมเป็นไปได้ยาก แม้การจัดทำบันทึกคำให้การพยานนั้นจะมีการแยกเป็น 2 ฉบับ และระบุวันเดือนปีที่ สอบปากคำไม่ตรงวันเวลาที่แท้จริง แต่เมื่อเนื้อหาตรงตามความประสงค์แท้จริงของพยาน ก็ไม่ทำให้ บันทึกคำให้การฉบับนั้น ๆ เสียไปทั้งหมด ส่วนจะรับฟังได้เพียงใดเป็นกรณีที่ต้องพิจารณาตามเนื้อหา และข้อเท็จจริงต่อไป พยานหลักฐานยังรับฟังไม่ได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการโน้มน้าว กดดัน บังคับ และใช้อิทธิพลในการสอบปากคำเพิ่มเติมเพื่อให้เปลี่ยนแปลงความเร็วต่อ พ.ต.อ. ธ อันจะเป็น 13 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หรือเป็นการกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็น การมิชอบ เพื่อช่วยเหลือนาย ว มิให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลงแต่อย่างใด จำเลยที่ 7 มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการทดสอบความปลอดภัยยานยนต์ ส่งเสริมมาตรฐานยานพาหนะปลอดภัย ตลอดจนเป็นคณะกรรมการด้านเทคนิควิชาการสถาบัน ASEAN NCAP การตรวจสอบย้อนรอยอุบัติเหตุด้วยเครื่องมือทางวิศวกรรมและเป็นพยานต่อศาลเคยวิเคราะห์ คดีพันตำรวจโทบรรยิน ตั้งภากรณ์ ร่วมกันฆ่านายชูวงษ์ แซ่ตั้ง และหลายกรณี ทำให้เป็นที่รู้จักในวงการ นิติวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่ของกองพิสูจน์หลักฐาน
การคำนวณของจำเลยที่ 7 ระบุลำดับเฟรมไว้ที่ ด้านล่างและเวลาที่อยู่ด้านขวามือของจอภาพไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยใช้เส้นทแยงมุมของรถยนต์ แยกแยะความแตกต่างระหว่างมิติภาพฉายของรถเปรียบเทียบกับฉากหลังหรือทิวทัศน์ ชัดเจนกว่าแบบ ของ พ.ต.อ. ธ ที่ใช้มุมหน้าซ้ายของรถไปถึงมุมหลังซ้ายของรถยนต์ เพราะสังเกตได้ยากด้วยปัจจัยของ แสงที่จ้าในกล้องเวลากลางคืน การแยกแยะจึงมีโอกาสผิดพลาด จำเลยที่ 7 ใช้เวลาเริ่มต้นที่ภาพฉายมิติ รถยนต์หน้าขวาเริ่มแตะแกนอ้างอิงคือต้นไม้ จนรถยนต์สิ้นสุดหลังซ้ายเคลื่อนที่ผ่านแกนอ้างอิงคือต้นไม้ จะนับเป็นเวลาสุดท้ายช่วงเวลาที่รถยนต์เข้าและออกจากแกนอ้างอิง การใช้เส้นทแยงมุมเป็นระยะทาง หารด้วยเวลาที่ตั้งแต่แตะแกนอ้างอิงจนออกจากแกนอ้างอิง วิธีการแสดงการคำนวณความเร็วของจำเลย ที่ 7 เป็นวิธีการที่มีความละเอียดด้วยเหตุผลหลักวิชาการมากกว่าวิธีการของ พ.ต.อ. ธ ที่ใช้วิธีตรวจสอบ รถยนต์คันที่นาย ว. ขับขี่จากภาพของกล้องวงจรปิดและจากการวัดระยะจริงในสถานที่เดียวกับ ที่ปรากฏในภาพ คำนวณอัตราเร็วเฉลี่ยในช่วงที่รถยนต์ในภาพเคลื่อนที่เข้ามาทางของภาพด้านขวา จนถึงจุดที่เคลื่อนที่ออกจากภาพทางด้านซ้ายนำมาใช้ในการคำนวณ
พิเคราะห์ประกอบความเห็นของ ศ.ดร. ฮ นามสกุล ส หากใช้วิธีทดสอบเฉพาะจากกล้องวงจรปิดอย่างเดียวนั้น ผลจะไม่น่าเชื่อถือ เพราะ หากกล้องวงจรปิดมีคุณภาพหรืออัตราต่อเฟรมก็ไม่ดี ตำแหน่งจุดที่ชนข้อมูลที่ได้จากกล้องวงจรปิด ก็ไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกัน คลิปวิดีโอจากภาพกล้องวงจรปิดที่พยานตรวจสอบนี้คุณภาพแย่มาก หากมีคุณภาพดีจะต้องมีความเร็วของรถยนต์ปรากฏอยู่ในข้อมูลของกล้องด้วย และปรากฏเวลาเป็น เสี้ยววินาทีจึงจะสามารถใช้ได้ดี นอกจากนี้ข้อมูลเวลาที่อยู่จะมีหน่วยเป็นวินาทีไม่ใช่เป็นเสี้ยวของวินาที ซึ่งมีความละเอียดมากกว่า คลิปที่ได้รับมาจะไม่มีข้อมูลละเอียดในส่วนของรูปทรงเรขาคณิต จึงไม่สามารถใช้เครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่จะคำนวณความเร็วได้ ซึ่งเครื่องมือชนิดนั้นมีคุณภาพสูงกว่า ตัวกล้องวงจรปิดจะทำการเปลี่ยนอัตราการบันทึกเฟรมต่อวินาทีด้วยตนเองหรืออัตโนมัติ เนื่องจาก ต้องการประหยัดพื้นที่ในการเก็บข้อมูลของตัวกล้อง กล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพโดยตรงจะมีความ แตกต่างของอัตราเฟรมต่อวินาทีของเครื่องบันทึกและกล้องที่ทำการบันทึก
หากพิจารณาคลิปจากกล้อง วงจรปิดเพียงอย่างเดียวจะไม่น่าเชื่อถือหรือถือเป็นอันตราย หากจะใช้การวิเคราะห์จากกล้องวงจรปิด จะต้องเป็นกล้องวงจรปิดที่มีคุณภาพที่ดีมาก และควรใช้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ดังนี้ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 7 มีหลักวิชาการสนับสนุนน่าเชื่อถือมากกว่าสามารถหักล้างพยานหลักฐาน ของโจทก์ได้ กับพิเคราะห์ถึงบริบทการสนทนาในส่วนการพูดคุยหารือระหว่างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 7 แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 7 พูดสนทนาโต้ตอบกับ พ.ต.อ. ธ เป็นไปในเชิงวิชาการทั้งหมด มีการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ซึ่งก็ใช้สูตรในการคำนวณเดียวกัน ต่างกันที่ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้วิธีการได้มา ที่ต่างกัน พ.ต.อ. ธ อธิบายถึงวิธีการคำนวณของตน มีการโต้แย้งเชิงวิชาการไปมาอย่างอิสระเปิดกว้างไม่มีส่วนใดที่จะเป็นการโน้มน้าว กดดัน บังคับในการคำนวณความเร็วของ พ.ต.อ ธ แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 7 ไม่เป็นผิดตามฟ้องแต่อย่างใด เมื่อศาลได้วินิจฉัยไว้ในข้างต้นแล้วว่า การดำเนินการยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมของต่อ พนักงานอัยการขอให้สอบพยาน พ.ต.อ. ธ ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์ หรือการ คำนวณความเร็วด้วยวิธีอื่นนอกจากวิธีเดิม และการประชุมเพื่อแสดงวิธีการคำนวณความเร็วสามารถ กระทำได้โดยชอบ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 5 และที่ 6 ย่อมมีสิทธิติดต่อขอเข้าพบ ศ.ดร. ธ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ขณะนั้น เพื่อขออนุญาตเข้ามาปรึกษาสอบถามขอ ความรู้จากจำเลยที่ 7 โดยนำรายงานการวิเคราะห์ความเร็วของผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรม ด้าน ยานยนต์และอุบัติเหตุมาให้ช่วยทำการตรวจสอบความเห็นว่าถูกต้องหรือไม่ และขอให้จำเลยที่ 7 ไปช่วยอธิบายความเห็นตามเป็นเอกสารที่กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ จำเลยที่ 5 ในฐานะผู้รับมอบ อำนาจมีสิทธิที่จะเข้าร่วมประชุม หรือนัดหมายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในขอบเขตของตนเพื่อประชุมได้
การกระทำดังกล่าวมิได้เป็นการร่วมกันสมคบคิดหรือวางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์คันที่ นาย ว ขับขี่ ทั้งเมื่อได้พิเคราะห์ตามถ้อยคำสนทนาและบริบทของจำเลยที่ 5 พูดถ้อยคำทั่วไป ไม่แสดงความเห็นใดเกี่ยวกับความเร็ว จะตอบหรือพูดต่อเมื่อมีผู้ถาม ไม่ปรากฏว่าได้โน้มน้าว กดดัน และใช้อิทธิพล บังคับพ.ต.อ. ธ ให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่ 7 นำเสนอแต่อย่างใด ส่วนจำเลยที่ 6 ข้อเท็จจริงและพยานในการไต่สวนเป็นที่ยุติว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้ติดต่อประสานงาน ดังกล่าวข้างต้น ไม่เคยเข้าหรืออยู่ร่วมการประชุมในการคำนวนความเร็วในวันเกิดเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 6 มีส่วนร่วม สั่งการ ใช้ หรือการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องอันจะเป็นความผิดอีก พยานหลักฐานไม่พอฟังว่าการกระทำของจำเลยที่ 5 และที่ 6 ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง การกระทำของ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความ เสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด การกระทำของจำเลยที่ 3 ไม่ยังถือเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หรือจัดการให้ เป็นไปตามหมายอาญากระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการไม่ชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งคนใดมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง
@อัยการชัยณรงค์ขอความกรุณา ความเร็วต้องไม่เกิน 80
ทั้งเมื่อศาลฟังว่าการกระทำของจำเลย ที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายแล้ว การสนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 86 นั้นจะต้องมีผู้อื่นเป็นตัวการในการกระทำผิด หากเป็นกรณีที่ไม่มีตัวการกระทำผิดใน ความผิดดังกล่าว ผู้ช่วยเหลือให้ความสะดวกในความผิดนั้นก็ย่อมไม่เป็นความผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุน การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ถึงที่ 7 มิได้เป็นผู้กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐาน ดังกล่าว ปัญหาว่าจำเลยที่ 4 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ดำรง ตำแหน่งอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 โดยสำนักงานดังกล่าวนี้ไม่ได้ รับผิดชอบคดีที่เกิดพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ อันเป็นสถานที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 4 ไม่ได้รับ มอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เป็นพนักงานอัยการผู้รับชอบสำนวนคดีนี้ และไม่ได้หน้าที่พิเศษตามที่ 15 ทางราชการมอบหมายในคดีนี้แต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 4 ไม่ได้เป็นตัวแทนโดยปริยาย ไม่ได้เป็นพยาน หรือพยานผู้เชี่ยวชาญ จำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าไปร่วมประชุมเพื่ออธิบายข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายให้แก่พนักงานสอบสวน พ.ต.อ. ธ หรือบุคคลอื่น แสดงถึงมูลเหตุจูงใจของจำเลยที่ 4 ที่จะเข้าไปกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ตามพฤติการณ์
@ ชัยณรงค์ แสงทองอร่าม จำเลยที่ 4
เมื่อ พล.ต.อ. ม สอบถาม จำเลยที่ 4 ก็แจ้งว่า ตนมีสถานะเป็นอัยการคดีอาญา กอง 6 พื้นที่รับผิดชอบคือวังทองหลาง กองปราบปราม อยู่คดีพิเศษ เป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว เป็นพนักงานอัยการว่าความอยู่ที่ศาลอาญา รู้จักกับบุคคลต่าง ๆ ทั้งฝ่ายตำรวจ และพนักงานอัยการชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น พ.ต.อ. ธ และผู้ที่เข้าร่วมประชุมแสดงวิธีความเร็ว ในวันดังกล่าวก็ต่างได้ยินและรับทราบถึง การพูดของจำเลยที่ 4 เป็นการกล่าวอ้างสถานะและตำแหน่ง เพื่อให้ พ.ต.อ. ธ และผู้ที่อยู่ในที่ประชุมรู้ถึงสถานะ อำนาจ บทบาท และหน้าที่ของตน เพื่อให้เกิดความ น่าเชื่อถืออีกทางหนึ่ง เป็นการอาศัยวิชาชีพและตำแหน่งนั้นให้เกิดอิทธิพลในทางใดทางหนึ่ง จำเลยที่ 4 ได้แสดงบทบาทอ่านคำสั่งของพนักงานอัยการทั้งหมดให้ พ.ต.อ. ธ และผู้อื่นฟัง โดยได้อธิบาย ขยายความ ตีความคำสั่งให้กระจ่าง และใช้ถ้อยคำเป็นอันมากในลักษณะการร้องขอ โดยให้ข้อมูล ในส่วนที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้โน้มน้าวชักจูงให้ พ.ต.อ. ธ คล้อยตามความเห็นของตน ทั้งกล่าวถึง รายละเอียดและข้อเท็จจริงแห่งคดีได้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง มากเกินกว่าบุคคลภายนอกที่มิได้ศึกษา ข้อมูลมาก่อนอย่างถ่องแท้จะเข้าใจ เสมือนตนเป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีของนาย ว ในชั้นอัยการ โดยตรง แสดงให้เห็นแรงจูงใจพิเศษของตนในการที่จะช่วยเหลือให้นาย ว ไม่ให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษ น้อยลง ยิ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงถ้อยคำของจำเลยที่ 4 ที่ว่า “อยากให้ขอให้เป็น 79.22 ตามที่อาจารย์สาย ประสิทธิคำนวณ” “คือตามกฎหมายห้ามขับเกิน 80 อยากจะขอความกรุณาให้มันอยู่ range ตรงนั้น” “อันนี้ขอความกรุณาท่านผู้การ ทางอัยการเขาสั่งมาอย่างนี้ คือเขาก็มองว่าเขาจะช่วยนะ คือก็อยากให้ เขาสบายใจนิดนึงใช่ไหมฮะ เวลาเขาจะสั่ง คือเขาสั่งมาเนี่ย เขาตั้งใจจะช่วยเต็มที่ แล้วก็อยากจะขอ ความกรุณานะฮะ เรียนตรง ๆ เลยฮะ” “ไม่เกิน 80”
แม้ พ.ต.อ. ว ถามจำเลยที่ 4 ว่า “เอ้อ ท่าน อัยการกองคดีอาญา 6 ครับ ความเร็วมันกำหนดไว้เท่าไหร่ 80” และจำเลยที่ 4 ตอบว่า “ไม่เกิน 80” จำเลยที่ 3 พูดว่า“ในกรุงเทพ ในเขตเทศบาล ไม่เกิน 80 นอกเขตเทศบาล 90” เมื่อ พ.ต.อ.ว ทักท้วงว่า “ผมพยายามคิดตัวเลขในใจของผมได้ประมาณ 88 ผมยังไม่ได้คำนวณแต่ใช้ความทรงจำ อย่างเดียว ผมได้ประมาณ 88” แต่จำเลยที่ 4 พูดขอร้องโน้มน้าวแสดงความต้องการว่า “เรียนตรง ๆ เลยครับ ขอความกรุณานะฮะ” ข้อความทั้งหมดดังกล่าวเป็นบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 4 ประสงค์จะให้ความเร็ว กำหนดเฉพาะเจาะจงต้องไม่เกิน 80 กม./ชม. เท่านั้น เพื่อจะให้อยู่ในขอบของกฎหมายกำหนดความเร็วของรถที่ใช้ขับขี่ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 10 ( พ.ศ.2524) ซึ่งออกตามความใน พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดไว้ว่า ข้อ 1 (3) “ในกรณีปกติให้กำหนดความเร็ว สำหรับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ให้ขับในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ได้ไม่ เกินชั่วโมงละ 80 กิโลเมตร หรือนอกเขตดังกล่าวให้ขับไม่เกินชั่วโมงละ 90 กิโลเมตร” ซึ่งเป็นกฎหมาย ที่ใช้บังคับในขณะนั้น
ถ้อยคำพูดและบริบทต่าง ๆ ของจำเลยที่ 4 มีลักษณะเฉพาะเจาะจงคำนวณ ความเร็วออกมาให้ต่ำกว่า 80 กม./ชม. ไม่ให้อิสระแก่ พ.ต.ท. ธ ในการคำนวณความเร็ว จุดประสงค์ เพื่อให้เจือสมกับการกำหนดความเร็วสำหรับรถยนต์ในเขตกรุงเทพมหานครอันเป็นที่เกิดเหตุ โดยมีลักษณะจูงใจโน้มน้าว พ.ต.อ. ธ ให้คิดคำนวณความเร็วออกมาให้ต่ำตามที่ตนเจตนาพิเศษภายใน ของตนที่ตั้งไว้ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งซึ่งโดยสถานะของวิชาชีพและตำแหน่งย่อมมี อิทธิพลในทางใดทางหนึ่ง อาจได้รับความเชื่อถือและเกรงใจต่อเจ้าพนักงานตำรวจ พนักงานสอบสวน พยาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอยู่ขั้นตอนการสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งของพนักงานอัยการเช่น คดีนี้
การกระทำของจำเลยที่ 4 มีลักษณะการแทรกแซง โน้มน้าว กดดัน โดยใช้สถานะอิทธิพลของตน ให้การคำนวณความเร็วของ พ.ต.อ. ธ ไม่เป็นอิสระ เพื่อให้ พ.ต.อ. ธ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ และมีเจตนาเพื่อในชั้นต่อไปให้พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีที่จะมีความเห็นหรือสั่งคดี สำนวนของนาย ว. ที่ตกเป็นผู้ต้องหา นำผลการคำนวณความเร็วไปใช้ประกอบดุลยพินิจในทางเฉพาะที่ เป็นคุณแก่นาย ว. เท่านั้น เพื่อประสงค์ต่อผลจะช่วยนาย ว. ผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษ น้อยลง
การกระทำของจำเลยที่ 4 จึงเป็นความผิดตามฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 4 กระทำผิดส่วนตัว ไม่ได้ กระทำในอำนาจและหน้าที่ จึงเป็นเพียงฐานผู้สนับสนุนการกระทำผิด แม้การกระทำของจำเลยที่ 4 อัน เป็นการช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด และผู้ที่กระทำผิดจะมิได้รู้ถึงการ ช่วยเหลือหรือไม่นั้นก็ตาม
ปัญหาว่าจำเลยที่ 8 มีอำนาจสั่งคดีนี้ หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติองค์กร อัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 27 กำหนดให้อัยการสูงสุดมีอำนาจหน้าที่ในการ กำหนดนโยบายและรับผิดชอบการปฏิบัติราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอาจมอบหมายให้รอง อัยการสูงสุดหรือข้าราชการฝ่ายอัยการปฏิบัติแทนก็ได้ ซึ่งการที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้รองอัยการ สูงสุดแต่ละท่านปฏิบัติราชการแทนดังกล่าวเป็นไปตามกรอบและบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว เมื่อการร้องขอความเป็นธรรม ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 โดยจำเลยที่ 5 ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจากนาย ว. ขณะนั้นเป็นไปตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนิน คดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 48 ที่ให้ผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้องในคดีสามารถร้องขอ ความเป็นธรรมได้โดยไม่จำกัดจำนวน ไม่ว่าจะมีลักษณะประวิงคดีหรือไม่ก็ตาม และไม่จำต้องมาแสดงตนในขณะยื่นคำร้องขอความธรรม แม้การที่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด เสนอ ความเห็นเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2563 เห็นควรยุติเรื่อง
@อัยการเนตร อ้างพยานหลังเกิดเหตุนานถึง 7 ปี
แต่จำเลยที่ 8 ในฐานะผู้บังคับบัญชาที่ เหนือกว่าและมีอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายในงานคดีสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด เฉพาะงานคดีร้องขอความเป็นธรรมจากอัยการสูงสุด จำเลยที่ 8 ย่อมมีอำนาจมีพิจารณาคำร้องขอ ความเป็นธรรมและสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม พล.อ.ท. จ และนาย จ ตามที่ร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 14 แล้วมีความเห็นและคำสั่งในสำนวน ส.1 เลขรับที่ 107/2556 ดังกล่าวได้
และปัญหาสุดท้ายว่า การที่จำเลยที่ 8 ใช้อำนาจวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องนาย ว. เป็นไป โดยชอบหรือไม่ เห็นว่า คำสั่งไม่ฟ้องนาย ว. ที่จำเลยที่ 8 ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมุ่งเน้นประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์ และใช้ดุลพินิจรับฟัง ข้อเท็จจริงความเร็วของรถยนต์ที่นาย ว. ขับขี่ โดยนำความเห็นของจำเลยที่ 7 ที่ให้การต่อ คณะกรรมมาธิการการกฎหมาย ฯ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2560 ว่าคำนวณได้ 76.175 กม./ชม. นำความเห็นของ พ.ต.อ. ธ ที่ให้การเพิ่มเติมคำนวณหาความเร็วประมาณ 79.23 กม./ชม. นำคำให้การ ที่มีการสอบสวนเพิ่มเติมพยานปาก พ.ต.ท. ส นามสกุล อ และพ.ต.ท. ส นามสกุล ด ที่ต่างให้การ ประเมินความเร็วของรถยนต์ขณะเกิดเหตุชนรถจักรยานยนต์ว่าไม่ใช่ความเร็วประมาณ 177 กม./ชม. พยานดังกล่าวไม่ได้ยืนยันถึงความเร็วของรถยนต์ของนาย ว. ในขณะเกิดเหตุที่มีการชนรถจักรยานยนต์ ที่แน่นอน เพียงให้ความเห็นว่าความเร็วไม่เกิน 80 สันนิษฐานว่ารถยนต์และรถจักรยานยนต์น่าจะแล่น ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
ความเห็นทั้งหมดของพยานก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยังมีข้อสงสัยอยู่ ว่าความเร็วที่แท้จริง ต่างมีหลักการ วิธีการแสดงให้เห็นหลายอย่างเพื่อให้เห็นว่าถูกต้อง และยังหาข้อยุติ ไม่ได้ว่าความเห็นของนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญคนใดถูกต้อง แน่นอน ชัดเจน ไม่มีข้อผิดพลาด แม้ความเห็นของนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญสามารถนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นที่มีใน สำนวนได้ แต่จำเลยที่ 8 ต้องพิเคราะห์ถึงพยานหลักฐานที่สำคัญอื่นด้วย
จำเลยที่ 8 กลับนำคำให้การ และให้การเพิ่มเติมพยานปาก พล.อ.ท. จ และนำคำให้การเพิ่มเติมนาย จ. ในประเด็นความเร็วมารับฟัง ให้น้ำหนักมาก หากจำเลยที่ 8 ได้พิเคราะห์ถึงความน่าเชื่อถือของพยานปาก พล.อ.ท. จ และนาย จ. จะพบว่ามีการร้องขอความเป็นธรรมให้สอบคำให้การเพิ่มเติมกล่าวอ้างถึงพยานทั้งสองปากเพิ่งปรากฏมี กล่าวอ้างขึ้นในครั้งที่ 8 และครั้งที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2558 หลังเกิดเหตุกว่า 2 ปี 9 เดือน และสุดท้ายครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 หลังเกิดเหตุกว่า 7 ปี
@ เนตร นาคสุข จำเลยที่ 8
พล.อ.ท. จ เป็นถึงอดีต ข้าราชการทหารชั้นผู้ใหญ่ ย่อมทราบเหตุการณ์เรื่องราวจากสื่อมวลชนและประชาชนทั่วประเทศที่ต่าง ให้ความสนใจเป็นอันมาก โดยวิสัยจิตสำนึกและมีความสุจริตใจ หากรู้เห็นเหตุการณ์จริงอย่างน้อยใน ฐานะพลเมืองดี เมื่อต้องการที่จะให้การไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็ไม่ยุ่งยากที่จะติดต่อไปให้การต่อ พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ในระยะเวลาหลังเกิดเหตุที่ใกล้ชิดมากกว่านี้ เปรียบเทียบกับพยานปาก นาย จ ที่เป็นเพียงคนขับรถกระบะรับจ้างขนส่งสินค้าก็ยังสามารถติดต่อไปให้ไปให้การเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2555 ภายหลังจากที่เกิดเหตุเพียง 5 วัน จำเลยที่ 8 ควรพิเคราะห์ถึงคำให้การครั้งแรกของ พยานทั้งสองปากนี้ว่าไม่ได้ระบุถึงความเร็วของตน และรถยนต์ที่นาย ว มาด้วยความเร็วประมาณเท่าใด
แต่เมื่อพยานทั้งสองให้การเมื่อสอบสวนเพิ่มเติมพร้อมกันเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ภายหลังจะเกิด เหตุเป็นเวลาประมาณ 7 ปี 3 เดือน พยานทั้งสองปากกลับระบุความเร็วของรถยนต์ที่พยานทั้งสองขับ และความเร็วของรถยนต์ที่นาย ว ขับได้อย่างชัดเจน ว่าขับมาด้วยความเร็วประมาณ 50 ถึง 60 กม./ ชม. ผิดวิสัยของบุคคลในเรื่องความทรงจำตามธรรมชาติ ซึ่งบุคคลควรต้องให้การถึงรายละเอียดที่ ชัดเจนในตอนต้นขณะใกล้ช่วงเวลาเกิดเหตุและลืมเลือนไปตามช่วงเวลา แต่พยานทั้งสองปากกลับความทรงจำได้ดีมากกว่าเดิมในเรื่องความเร็วของรถยนต์ที่ตนขับและบุคคลอื่นที่ร่วมสัญจร แม้ระยะเวลาจะผ่านไปยาวนาน ระหว่างนั้นอาจจะมีเหตุปัจจัยแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในเข้าแทรกซ้อนเติมแต่ง ปนเปื้อน จนมีการบิดเบือนหรือเปลี่ยนแปลงคำให้การเดิม การสอบสวนเพิ่มเติมพยานทั้งสองปากที่ทำ ขึ้นภายหลังในประเด็นความเร็วเพื่อให้ความทรงจำที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเป็นไปได้ยาก มีลักษณะที่จะ ช่วยเหลือหรือให้การเป็นประโยชน์กับผู้ต้องหา พยานทั้งสองปากไม่น่าเชื่อถือและไม่มีคุณค่าแก่การรับฟังในประเด็นนี้ จำเลยที่ 8 ควรชั่งน้ำหนักพยานเช่นพนักงานอัยการทั่วไปในลักษณะเช่นนี้
การที่จำเลย ที่ 8 ให้เหตุผลว่าไม่มีข้อพิรุธสงสัยใด ๆ แม้พยานทั้งสองเคยถูกสอบสวนไปแล้ว แม้ไม่เคยให้การถึง ข้อเท็จจริงดังกล่าวมาก่อนก็ไม่มีข้อพิรุธสงสัย โดยอ้างว่าเป็นประเด็นสำคัญแก่คดีและมีน้ำหนักมากมาเป็นข้อสนับสนุนนการหยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างประกอบการพิจารณา โดยจำเลยที่ 8 เป็นพนักงาน อัยการระดับสูง ขณะเกิดเหตุที่สั่งสำนวนคดีนี้มีตำแหน่งเป็นรองอัยการสูงสุด อาวุโสลำดับที่ 1 ย่อม จะต้องมีประสบการณ์สั่งสมในการพิจารณาสั่งสำนวนคดีอาญาที่มีฐานความผิดและมีพฤติการณ์แห่งคดียุ่งยากสลับซับซ้อนมาเป็นจำนวนมาก จึงย่อมจะต้องมีมาตรฐานในการปฏิบัติงานที่สูงมากกว่าพนักงาน อัยการทั่ว ๆ ไป โดยควรที่จะต้องใช้ความระมัดระวังละเอียดรอบคอบอย่างยิ่งในการพิจารณาสั่งสำนวน ซึ่งปรากฏแพร่หลายในสื่อสารมวลชนทั่วประเทศและนอกประเทศ
ทั้งจำเลยที่ 8 ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า องค์ประกอบความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 291 นั้น ความเร็วของรถยนต์ขณะที่เกิดการชนนั้นแม้อัตราจะต่ำมากกว่า 80 กม./ชม. เพียงไรก็ตาม หากแต่ผู้ขับขี่กระทำที่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง ทั้ง ๆ ที่สามารถใช้ความระมัดระวังเช่นนั้น ได้ ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่ไม่ได้ใช้ ผู้นั้นก็มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทได้ แต่จำเลยที่ 8 เลือกหยิบยกชุด พยานหลักฐานเฉพาะเพื่อสนับสนุนเพื่อการสั่งคดีโดยมุ่งเน้นความเร็วของรถยนต์นาย ว มาเป็นหลัก ให้ ความสำคัญในส่วนนี้เพื่อให้เจือสมว่าความประมาทเกิดขึ้นจาก ด.ต. ว ผู้ตายแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยมิได้ เกิดจากนาย ว เพื่อที่จะสนับสนุนความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาตามความเชื่อของตนฝ่ายเดียวว่านาย ว ไม่ได้กระทำโดยประมาท เป็นการใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานไม่อยู่บนรากฐานความสมเหตุผล
และการที่จำเลยที่ 8 หยิบยกพยานหลักฐานแล้วประเด็นระบุว่า ด.ต. ว ขับขี่รถจักรยานยนต์ตัดหน้าอย่าง รวดเร็วและในระยะกระชั้นชิด โดยอ้างว่าพยานปากนาย จ เป็นประจักษ์พยาน แต่เมื่อพิเคราะห์ตาม คำให้การครั้งแรก เดิมนาย จ ให้การถึงข้อเท็จจริงเพียงว่า ด.ต. ว ขับขี่รถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องทาง จราจรเข้าช่องที่ 2 ด้านหน้ารถยนต์ที่พยานขับอยู่เท่านั้น นาย จ จึงชะลอความเร็วของรถลงและหัก พวงมาลัยหลบไปทางซ้ายมือเพื่อไม่ให้ชนกับรถจักรยานยนต์ที่ ด.ต. ว ขับขี่มา ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็น พฤติการณ์ทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่า ด.ต. ว ขับขี่รถจักรยานยนต์ในลักษณะตัดหน้ารถกระบะของนาย จ อย่างรวดเร็ว และในระยะกระชั้นชิดเพียงใด รถกระบะอยู่ห่างรถยนต์คันที่นาย ว ระยะเท่าใด รถ กระบะขวางบังการมองเห็นด้านหน้าทำให้มองไม่เห็นรถจักรยานยนต์ที่เปลี่ยนช่องทางจราจรหรือไม่ เพียงใด ถ้อยคำดังกล่าวเพิ่งปรากฏมีเมื่อมีการต่อสู้คดีโดยร้องขอความเป็นธรรมของนาย ว มีการสอบ พยานเพิ่มเติมในครั้งที่ 14 ที่จำเลยที่ 8 เป็นผู้มีคำสั่ง และการที่จำเลยที่ 8 หยิบยกในคำสั่งไม่ฟ้องคดี อ้างว่ารถจักรยานยนต์ที่ ด.ต. ว ขับขี่มาได้แล่นเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ 3 แล่นมาในระยะกระชั้นชิด ทำให้รถยนต์คันที่นาย ว ขับมาชนท้ายรถจักรยานยนต์ เป็นการหยิบยกพยานทั้งสองปากการสอบสวน เพิ่มเติมที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนัก มารับฟัง และไม่ควรให้ความสำคัญ
แต่จำเลยที่ 8 นำไป อ้างอิงสนับสนุนพยานปาก พล.อ.ท. จ ให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้นไปมากเกินข้อเท็จจริงที่มี การที่จำเลยที่ 8 อ้าง ว่าการร้องขอความเป็นธรรมอีกก็ต้องพิจารณาใหม่เป็นครั้ง ๆ ไปเพื่อความเป็นธรรม เพราะข้อเท็จจริง ข้อมูลแต่ละครั้งอาจไม่เหมือนกันไม่เท่ากัน และทุกครั้งที่มีคำสั่งยุติร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว ไม่มีผลผูกพันให้จำเลยที่ 8 จำต้องถือและปฏิบัติตามความเห็นและดุลพินิจดังกล่าว เพราะไม่มีกฎหมายและ ระเบียบในเรื่องนี้ที่กำหนดหรือบัญญัติให้ต้องถือและปฏิบัติตาม ความเห็นดุลยพินิจของพนักงานอัยการ เป็นความนึกคิด ความเชื่อตามธรรมชาติของแต่ละบุคคล เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เห็นว่า พยาน พล.อ.ท. จ และนาย จ พยานทั้งสองเคยให้การไว้แล้วแต่มา เพิ่มเติมคำให้การภายหลัง จึงเป็นพยานบุคคลที่มีอยู่เดิม มิใช่พยานหลักฐานที่ไม่เคยค้นพบหรือเพิ่ง ปรากฏมีใหม่ในภายหลัง
ทั้งพิเคราะห์ประกอบพฤติการณ์แห่งคดี โดยจำเลยที่ 8 มีคำสั่งในสำนวนให้สอบสวนเพิ่มเติมและลงนามในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด จำเลยที่ 8 ย่อมเห็นได้ว่าสำนวนคดีหลักและสำนวนคดีร้องขอความเป็นธรรม เป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งในการพิจารณา ของรองอัยการสูงสุดในการพิจารณาสั่งคดีสำนวนหลักก็ต้องนำสำนวนคดีร้องขอความเป็นธรรมผูก รวมกันมาด้วยกัน และในการพิจารณาสำนวนคดีร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาดังกล่าว ก็เป็นการ พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดจากสำนวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 107/2556 ของสำนักงานอัยการ พิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพได้ 1 และสำนวนคดีร้องขอความเป็นธรรมทุกครั้งด้วย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 8 จะวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน ส.1 เลขรับที่ 107/2556 ดังกล่าว ก็ต้องพิจารณาถึงความเห็น เหตุผลต่าง ๆ ของพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนผู้รับผิดชอบและพนักงานอัยการที่รับผิดชอบสำนวน ร้องขอความเป็นธรรม ตลอดจนถึงความเห็นของรองอัยการสูงสุดและอัยการสูงสุดตามลำดับ ที่ได้เคยมี คำวินิจฉัยและคำสั่งไว้แล้วมาประกอบการพิจารณาด้วยทั้งหมด มิใช่จะสั่งหรือมีความเห็นไปโดยอิสระ โดยมิคำนึงถึงรากฐานและเหตุผลเดิม
หากเป็นเช่นนั้นดังที่จำเลยที่ 8 ยกขึ้นต่อสู้ เสมือนไม่มีกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งมาตรฐานหรือวิธีการที่ให้ต้องยึดถือปฏิบัติตาม จนหาคำสั่งเป็นที่ยุติไม่ได้ แม้จะเป็นคำสั่งทางคดีของอัยการสูงสุดก็ตาม ทั้งเป็นการสนับสนุนให้ใช้วิธีการร้องขอความเป็นธรรมอย่างไม่ มีที่สิ้นสุด เพื่อให้มีการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมใหม่ไปมาหลายครั้งหลายประเด็นโดยไม่จำเป็น ส่งเสริมให้ สอบปากคำพยานคนเดิมซ้ำ แล้วให้กลับหรือเปลี่ยนแปลงคำให้การอย่างใหม่ โดยอ้างข้อมูลใหม่หรือ พยานหลักฐานใหม่ หรือความทรงจำใหม่ของพยาน โดยพนักงานอัยการก็จะอ้างเหตุผลดังกล่าวนำมา ประกอบดุลพินิจเพื่อมีคำสั่งอย่างใด ๆ ตามที่อยากให้เป็น ในลักษณะสมคบคิดเป็นขั้นตอนกับผู้ที่ไม่ สุจริต เพื่อให้เอื้อสมประโยชน์ในทิศทางที่จะสั่งคดีในทางใดได้โดยง่าย ย่อมส่งผลกระทบกระเทือนต่อ กระบวนการยุติธรรมโดยรวม แม้ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของ พนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 51 และ 52 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการแต่ละชั้นให้ มีอำนาจหน้าที่สั่งคดีไว้ พนักงานอัยการมีความเป็นอิสระในการสั่งคดีภายใต้ระเบียบซึ่งกำหนดให้เป็น อำนาจหน้าที่ โดยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 248 ให้พนักงาน อัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและปฏิบัติหน้าที่โดยเที่ยงธรรมและ ปราศจากอคติทั้งปวง ที่บัญญัติ รับรองไว้ก็ตาม แต่ทั้งนี้ดุลยพินิจในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการต้องอยู่ อำนาจขอบเขตดังกล่าวข้างต้น
การสั่งคดีของจำเลยที่ 8 เป็นข้อบ่งชี้ว่าไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และรากฐานของพยานหลักฐานที่มีเหตุผลอันสมควร มิได้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดอย่างที่พนักงาน อัยการพึงใช้ เป็นการวินิจฉัยมูลความผิดโดยใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจและด่วนวินิจฉัยคดีเสียเอง ทั้งมีเหตุ อันสมควรเพียงพอที่จะนำนาย ว เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาต่อศาลยุติธรรม เพื่อมิให้ กระทบกระเทือนระบบและกระบวนการยุติธรรม พิทักษ์รักษาประโยชน์ความสงบสุขของสังคมโดยรวม
การกระทำจำเลยที่ 8 จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ข้อต่อสู้นี้ฟังไม่ขึ้น การใช้ ดุลพินิจโดยมิชอบย่อมก่อเกิดความเสียหายแก่องค์กรอัยการที่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (2) ทั้งเป็นการ ช่วยเหลือให้แก่นาย ว ไม่ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยที่ 8 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิ ชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความ 20 เสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการไม่ชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งคนใดมิให้ ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง
โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวด้วย
ปัญหาข้ออื่นไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษาว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 200 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำเลยที่ 8 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 การกระทำของ จำเลยที่ 4 และที่ 8 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ซึ่งเป็นบทบัญญัติ แห่งกฎหมายมีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จำเลยที่ 8 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิ ชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จำคุกจำเลยที่ 4 กำหนด2 ปี จำคุกจำเลยที่ 8 กำหนด3 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7
แต่ให้หมายขังจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไว้ระหว่างอุทธรณ์ เว้นแต่จะมีประกัน
คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
-
ป.ป.ช. ตั้งองค์คณะใหญ่สอบคดี 'บอส' มีชื่อ 'เนตร-พวก' 15 ราย ข้อกล่าวหาดำเนินการมีพิรุธ
-
'อัยการ ช.' คือใคร ? ทำไม ก.อ.ตั้งกรรมการสอบพร้อม 'เนตร นาคสุข' กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีบอส
-
มติ ก.อ. เอกฉันท์ เห็นควรสอบวินัยร้ายแรง 'เนตร นาคสุข' คดีไม่สั่งฟ้อง 'บอส'
-
แง้มห้องประชุม ก.อ. ใครเป็นใคร? ลงคะแนน-งดออกเสียง สอบวินัยร้ายแรง 'เนตร' คดี 'บอส'
-
ก.อ.ประชุมลงโทษ ‘เนตร นาคสุข’ สั่งไม่ฟ้องคดี ‘บอส’ ลุ้นลงคะแนนเปิดเผย
-
สรุปผลสอบ 'เนตร นาคสุข' คดี 'บอส' ก.อ.พิจารณา 10 ก.ย. แค่ผิดวินัยไม่ร้ายแรง!
-
จับตา ก.อ.อาจลงมติสวนให้ ‘เนตร นาคสุข’ ผิดวินัยร้ายแรง คดี 'บอส'
-
‘วงศ์สกุล’ ยื่นหนังสือลาออก ไม่ขอเป็นอัยการอาวุโส มีผล 1 ต.ค.นี้
-
ACT ออกแถลงการณ์ 'โกงตาชั่ง' ค้าน อสส. ยืนยันมติ ก.อ. เสนอโปรดเกล้าฯ 'ปรเมศวร์'
-
'วงศ์สกุล' ลาพักร้อน รอง อสส. ลงนามแทนยืนยันมติ ก.อ. เสนอโปรดเกล้าฯ 'ปรเมศวร์'
-
อสส.โยนให้ ก.อ.ยืนยันความเหมาะสมตั้ง‘ปรเมศวร์’เป็นผู้ตรวจอัยการอีกรอบ
-
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน :การแต่งตั้งอัยการระดับสูง ฤ จะเป็นเสาหลักปักขี้เลน
-
ก.อ.ขีด 31 ก.ค.ต้องสรุปสอบ‘เนตร’-‘ปรเมศวร์’โดนแค่เตือน เตรียมเสนอโปรดเกล้าฯต่อ
-
ก่อนไร้ชื่อแต่งตั้ง? คำพิพากษาฉบับเต็มคุก 6 เดือน รอลงโทษ‘ปรเมศวร์’คดีเมา ขับชน
-
ไร้ชื่อ‘เนตร-ปรเมศวร์’! ราชกิจจานุเบกษาแพร่แล้วโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง 973 อัยการ
-
เป็นชั้นความลับ!ปมทูลเกล้าฯ'เนตร-ปรเมศวร์'อสส.ขอแจงเอง-ไม่เกี่ยว ก.อ.
-
เป็นเรื่องของผู้ใหญ่! ‘ปรเมศวร์’ปัดแจงปมถูกตีกลับชื่อทูลเกล้าฯตั้งผู้ตรวจการอัยการ
-
นัดแล้ว!ก.อ.จัดประชุมวาระพิเศษ 11 ม.ค.หารือกรณีไม่ทูลเกล้าฯ'เนตร-ปรเมศวร์'
-
ไม่นำชื่อ 'เนตร-ปรเมศวร์' ขึ้นทูลเกล้าฯ ตีกลับบัญชีแต่งตั้งอัยการให้ ก.อ.ทบทวน
-
'อรรถพล'นัด ก.อ.ถกด่วนปมไม่ทูลเกล้าฯ'เนตร-ปรเมศวร์'โวยไม่มีคนรายงาน
-
สนง.องมนตรีส่งกลับ!เบื้องหลังไม่ทูลเกล้าฯ'เนตร-ปรเมศวร์'ก.อ.ถกวาระพิเศษ 11-14 ม.ค.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับคดีบอส :
-
ทุจริต-เหลื่อมล้ำ-ล่าช้า! 6 ข้อบกพร่องกระบวนการยุติธรรมที่ 'วิชา' พบใน 'คดีบอส'
-
ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะใหญ่! ไต่สวนคดีบอส ผู้ถูกกล่าวหา 15 ราย 2 พล.ต.อ.-อัยการด้วย
-
‘เนตร นาคสุข’ขอไม่เป็น‘อัยการอาวุโส’ถูกเบรกเหตุต้องรอผลสอบสวนคดี‘บอส’
-
ชง ป.ป.ช.ตั้งไต่สวนคดี'บอส'เอาผิด ตร.-อัยการนับ 10 ราย มี 2 'พล.ต.อ.'โดนด้วย
-
มติ ก.อ.ตั้ง 'กายสิทธิ์ พิศวงปราการ' ประธานสอบ 'เนตร' สั่งไม่ฟ้องคดีบอส
-
(คลิป) ฟังเทปลับห้องเปลี่ยนความเร็วคดีบอส (1) เปิดตัว'บิ๊กสีกากี'
-
(คลิป) ฟังเทปลับห้องเปลี่ยนความเร็วคดีบอส (2) ไขที่มา'อัยการ-ทนายความ'ปริศนา?
-
(คลิป) ฟังเทปลับห้องเปลี่ยนความเร็วคดีบอส (3) 'อัยการ'โทรรายงานผล'บิ๊กสีกากี'
-
(คลิป) ฟังเทปลับห้องเปลี่ยนความเร็วคดีบอส (4) ทำไมต้อง 79.22 กม./ชม. ?
-
ป.ป.ช.เรียก'ธนสิทธิ์'ให้ถ้อยคำคดีบอส! 'วิชา'ตอบโจทย์'เทปลับ'ชอบด้วย กม.หรือไม่
-
'ธีรัจชัย'จ่อเรียก ตร.พบ กมธ.ป.ป.ช.แจงปมยุติเรื่องเปลี่ยนหลักฐานความเร็วคดีบอส
-
โชว์คำสั่ง ผบ.ตร.ตั้ง กก.ทำความเห็นคดีบอส ก่อนชงยุติเรื่องเปลี่ยนหลักฐานความเร็ว?
-
ชงยุติเรื่องเปลี่ยนหลักฐานความเร็ว 'คดีบอส' - รอ ผบ.ตร.ชี้ขาด
-
รังเกียจคนหนีคดีไปต่างประเทศ! 'บิ๊กตู่'ยันไม่นิ่งนอนใจไล่จับ'บอส อยู่วิทยา'
-
อสส.รอตำรวจหาตัว'บอส อยู่วิทยา'มาดำเนินคดี เผยข้อหาเสพโคเคนหมดอายุความปี 2565
-
ตอบไม่ได้รื้อคดีหรือไม่! ป.ป.ช.รอ จนท.สรุปผลสอบคดี‘บอส’ชงที่ประชุม กก.วินิจฉัยก่อน
-
ดูแต่ต้นใครเอี่ยวบ้าง! ป.ป.ช.จ่อรื้อคดี ตร.ช่วย‘บอส’หลังได้รับรายงานชุด‘วิชา’
-
กก.สอบสวน'เนตร นาคสุข'เตรียมเชิญ'วิชา มหาคุณ'ให้ถ้อยคำคดีบอส 18 พ.ย.
-
ผู้ช่วย ผบ.ตร.ยืนยันอินเตอร์โพลตอบรับออกหมายแดง'บอส อยู่วิทยา'
-
กล่าวหาว่าทำผิดวินัย!ตั้งกก.สืบสวนฯ 7 ตร.คดี'บอส' -'ธนสิทธิ'โดนด้วย
-
เหลื่อมล้ำจนสังคมเชื่อว่าซื้อได้!'วิชา'ถอดข้อเท็จจริงคดี'บอส'พบปัญหายุติธรรม 6 ประเด็น
-
'วิชา'ส่งรายงานปฏิรูปยุติธรรมให้นายกฯ-ชงทบทวนร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฟื้นความเชื่อมั่นองค์กร
-
บทเรียน'วิชา'จากคดี'บอส' : เมื่อไรความยุติธรรมซื้อได้ ความทุจริตจะเกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน
-
อยู่ยากแน่!'วิชา'เชื่อ ปชช.จับตาดูผลสอบคดี'บอส' ใครไม่สอบสวน-เพิกเฉย องค์กรนั้นลำบาก
-
หนังสือลาออก‘เนตร’ยังไม่มีผล! ก.อ.รอสำนวนคดี‘บอส’ฉบับเต็ม ลุ้นตั้งสอบ 10 ต.ค.
-
'บิ๊กตู่'จี้ ตร.ประสานอินเตอร์โพลออกหมายแดงคดี'บอส'สั่งรายงานความคืบหน้าทุกสัปดาห์
-
ป.ป.ท.แจงคืบหน้า 5 องค์กรตรวจสอบคดี'บอส'-ที่ประชุม ก.อ.เคาะสอบวินัยอัยการหรือไม่22 ก.ย.
-
สปยธ.แถลงการณ์เรียกร้องขอให้มีคำสั่งพักงาน ตร.-อัยการ เอี่ยวคดี'บอส'
-
ต้องใช้อำนาจ 'นาย' เสนอ! ผบช. แจงข่าวตั้ง‘บิ๊กกากี’ เทปลับคดี‘บอส’ นั่งที่ปรึกษา สพฐ.ตร.
-
เผยโฉมร้าน 'กิ่นละมุน' ธุรกิจร้านอาหารเบเกอรี่ของ 'ธนิต' ทนายคดีบอส -พนง.ยันไม่รู้จัก
-
ปิดเทปลับชุด 2 คดี’บอส’! อัยการโทรรายงานผลบิ๊กสีกากี “แน่นอน ถูกต้อง รับรองพี่”
-
ป.ป.ท.แจกงานคดี'บอส' 5 องค์กรตรวจสอบ-ไม่มีชื่ออัยการปริศนา ก.อ.นัดประชุม 22 ก.ย.
-
ผอ.อิศรา ไขปริศนาผลสอบฉบับเต็มคดี 'บอส' เทปลับเสียงห้องเปลี่ยนความเร็วมี 2 วัน
-
เปิดบทสนทนา ’อัยการ-บิ๊กสีกากี’ ใน ‘เทปลับ’ ปั้นความเร็วรถคดี ’บอส’
-
เปิดตัว ‘บิ๊กสีกากี’ ตัวละครรายที่ 7 ในห้องปั้นความเร็วรถเฟอร์รารี่คดี ‘บอส’ หายไปไหน?
-
ใครคืออัยการปริศนา? ‘เทปลับ-ภาพถ่าย’ หลักฐานใหม่คดี ‘บอส’ ปั้นความเร็วรถเฟอร์รารี่
-
ความจริง 7 หน้า 9 ประเด็น บทสรุปจาก 'วิชา' ถึงคดี 'บอส อยู่วิทยา'
-
ทำสำนวนสมยอม-เปลี่ยนวันเท็จ! 'วิชา' สรุปคดี 'บอส' จี้สอบจริยธรรมร้ายแรง 'ผู้นำองค์กร'
-
‘สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง’ อยู่หรือไม่?! สรุปผลสอบ 'วิชา’ งัดหลักฐานชี้ขาดใครพลิกความเร็วคดี 'บอส'
-
ผิดพลาดบกพร่องมากกว่า 10 ราย!'วิชา' ชงรื้อคดี 'บอส อยู่วิทยา' ส่งนายกฯ 31 ส.ค.นี้
-
ทำทุกวิถีทางที่ให้เกิดเรื่องนี้!'วิชา'เผยมหากาพย์คดี 'บอส' มีผู้ร่วมในขบวนการทุกภาคส่วน
-
รู้อยู่แก่ใจใครต้องรับผิดชอบ!'วิชา'เตรียมส่งรายงานคดี'บอส'ให้นายกฯ 31ส.ค.นี้
-
2 ข้อหาอายุความ 15 ปี! ศาลอนุมัติหมายจับ 'บอส' หลัง ตร.ใช้หลักฐานใหม่ยื่นคำร้อง
-
ปริศนาใครถอนหมายแดง ‘บอส อยู่วิทยา’!อินเตอร์โพล ตอบอีเมลอิศรา แนะให้ถาม ตร.ไทย
-
เลือกปธ.ฟีฟ่าอยู่สวิส!'สมยศ' กางหลักฐานโต้พา 'สายประสิทธิ์' ให้ข้อมูลความเร็วรถบอส
-
ถูกกดดันจนไม่มีเวลาคิด!'ธนสิทธิ'แจงเหตุเปลี่ยนความเร็วรถคดี'บอส'-เรียก'สมยศ'แจงคิวต่อไป
-
ตร.เจ้าของสำนวน'บอส'ยอมรับแต่งตัวเลขสอบ'ธนสิทธิ' 2 ครั้งทั้งที่ทำจริงหนเดียว
-
กาง กม.-ไทม์ไลน์ตำแหน่ง‘เนตร’จากอธิบดีอัยการฯ-รอง อสส.สั่งไม่ฟ้องคดี‘บอส’ตอนไหน?
-
Exclusive : 'อิศรา' ถาม 'ร.อ.สอาด' ตอบ ข้อเท็จจริงคดีบอส "ไม่เคยได้ไปหาจักรกฤชเลย"
-
ยังไม่เป็นโดยสมบูรณ์!'อรรถพล' เผย 'เนตร' แค่รักษาราชการรอง อสส.ขณะสั่งคดี'บอส'
-
โรมโชว์หลักฐาน‘ตัวละครลับ’ชนวนเหตุเปลี่ยนวิธีคำนวณความเร็วรถคดี‘บอส อยู่วิทยา’?
-
‘สิระ’เตือน‘ธานี’ถ้าไม่แจง กมธ.อาจออกคำสั่งเรียก-เชิญ 3 คณะทำงานฯสางคดี‘บอส’ด้วย
-
พร้อมให้สอบเส้นทางเงิน! ‘เนตร’แจง 2 กมธ.สภาฯ-ยันใช้ดุลพินิจตามสำนวนจึงไม่สั่งฟ้อง‘บอส’
-
เป็นทางการ!'เนตร'ไขก๊อกรอง อสส.-ตั้งคณะทำงานสอบการใช้ดุลพินิจไม่สั่งฟ้อง'บอส'
-
ละเอียด!แกะ 3 ปมคณะทำงานอัยการฯชง อสส.สอบต่อคดี‘บอส’-เบื้องหลัง‘เนตร’สั่งไม่ฟ้อง?
-
เส้นทางชีวิต ‘จารุชาติ’ พยานพลิกคดี'บอส' ให้การปี55-ไปไต้หวัน-ให้การปี 62-ตายต้นปี 63
-
INFO: เส้นทางชีวิต ‘จารุชาติ มาดทอง’ พยานคดี 'บอส อยู่วิทยา' ก่อนเสียชีวิตกะทันหัน
-
รองอสส.ถือว่าทำผิดกม.! 'คณิต' ชี้คดี 'บอส' อัยการสูงสุดสั่งฟ้องไปแล้วเปลี่ยนไม่ได้
-
ร่วมทำบุญผ้าป่า-เดินทางไปงานบวช! ไขข้อมูล 'ส.ว.ก๊อง - อสส.' รู้จักกันจริงไหม?
-
ผบช.ภ.5แถลงสอบลูกน้อง‘ชูชัย’ สารภาพ ทำลายโทรศัพท์‘จารุชาติ’พยานคดีบอส อ้างมีรูปตัวเองเยอะ
-
ถอดคลิป18 ช็อต! อุบัติเหตุ 'จารุชาติ' พยานคดี 'บอส อยู่วิทยา' ตำรวจตั้งข้อหาถูกแล้วหรือ?
-
เจาะ บ.นิติชัยฯ นายจ้าง 'จารุชาติ' - อดีต ส.ว.ก๊อง รวมก่อตั้ง - แจ้งมีเงินให้กก.กู้ยืม 7.1 ล.
-
ก่อนเล่าหลังฉากพยานคดี‘บอส’!โพรไฟล์ ‘ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร’อ้างรู้จัก‘เฉลิม อยู่วิทยา’?
-
ชำแหละคำแถลงคณะทำงาน อสส.แค่’เอาตัวรอด-โยนความผิด’?ไร้ผลนำ‘บอส’ขึ้นศาล
-
ใครเป็นใคร? เปิดชื่อ-หน้าที่ 3 คณะทำงาน-4 กมธ.2 สภาลุยสอบปมไม่ฟ้องคดี‘บอส อยู่วิทยา’
-
ผบก.ป.ตั้ง 2 สมมติฐานชันสูตรศพ‘จารุชาติ’-ลั่นหลักฐานต้องชัดเจนไม่ว่าผลเป็นอย่างไร
-
ผู้การเชียงใหม่'เร่งรัดผลตรวจหาสารในร่าง'จารุชาติ'-กองปราบฯ ลงพท.สืบปมการตาย
-
ทางการ! 'บิ๊กตู่'สั่งอายัดศพ'จารุชาติ'พยานคดี'บอส'ชันสูตรหาสาเหตุเสียชีวิตใหม่แล้ว
-
'บวรศักดิ์'จี้ชันสูตรศพพยานคดี’บอส’ให้ชัดเจน ก่อนญาติฌาปนกิจพรุ่งนี้
-
ตายเพราะอุบัติเหตุกะทันหัน! ‘จารุชาติ มาดทอง’ พยานปากเอก พลิกคดี ’บอส อยู่วิทยา’
-
ฉบับเต็ม! สำนวนลับอัยการสั่งไม่ฟ้อง ‘บอส อยู่วิทยา’ พยาน 2 รายใหม่ อ้างขับรถแค่ 50-60กม.
-
เปิดอาณาจักร 62 บ.‘อยู่วิทยา’ ปี 62 ‘ที.ซี.ฟาร์มาฯ-กระทิงแดง’รายได้ 4 หมื่นล.
-
มูลนิธิเมาไม่ขับจี้ อสส.-ผบ.ตร.! ชี้แจงหลักการ-เหตุผลไม่สั่งฟ้อง‘วรยุทธ อยู่วิทยา’
-
โชว์หนังสืออัยการสั่งไม่ฟ้อง‘บอส อยู่วิทยา’ผบ.ตร.ไม่แย้ง-สตช.ยื่นศาลถอนหมายจับ
-
อสส. แจงอิศรายังไม่ทราบเรื่อง! ซีเอ็นเอ็น ตีข่าว 'อัยการ' ไม่สั่งฟ้อง 'บอส อยู่วิทยา'
-
ป.ป.ช.ฟันวินัยไม่ร้ายแรงอดีต‘ผบก.น.5-พวก’ปมช่วยเหลือ-ไม่ออกหมายจับ‘บอส กระทิงแดง’
-
ทายาทกระทิงแดงขอสอบพยานเพิ่มทำคดีขับชน ตร.ตายช้า! อสส.เร่งส่งฟ้องศาล
-
ไทม์ไลน์ทายาท‘กระทิงแดง’ขอเลื่อนพบอัยการ 7 ครั้งก่อนจ่อถูกหมายจับ?
-
เจาะอาณาจักรธุรกิจหมื่นล.‘อยู่วิทยา’ -‘วรยุทธ’กก. 3 บริษัทรายได้รวม 914 ล