"...กระทำของนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท จึงเข้าข่ายเป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 ประกอบมาตรา 20 (5) โดยมีเจตนาที่จะนำงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ได้ประกาศหาเสียงไว้เพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ..."
จากกรณี สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแต่งตั้งองค์คณะไต่สวน คดีกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFLs) จำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย แล้วนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 รายจ่ายงบกลาง (5) ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ (Digital Wallet)
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า กรณีนี้ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในประเด็นการนำเงินกู้ไปใช้ผิดประเภท จึงมีมติให้รับเรื่องไว้ไต่สวนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
สำหรับผู้ถูกกล่าวหาในจะถูกไต่สวนคดีนี้ ประกอบไปด้วย
1.นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี
2. คณะรัฐมนตรีในรัฐบาล นายเศรษฐา ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีชื่อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยกเว้นรัฐมนตรี 3 ราย ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย
3. นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (ตำแหน่งในขณะนั้น) นายกรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (ตำแหน่งในขณะนั้น) ในฐาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ 1.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย 2.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 3.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 4.ธนาคารออมสิน และ 5.ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ล่าสุด ในช่วงเย็นวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ช. ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. คดีดังกล่าวตามที่สำนักข่าวอิศรานำเสนอข่าวไปเป็นทางการแล้ว

- ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน'เศรษฐา-ครม.รวมอนุทิน ผิดม.157 โยกงบใช้หนี้ 3.5หมื่นล.โปะดิจิทัลฯ
- เปิดชื่อ 3 รมต.'ภูมิธรรม-ชาดา-มนพร' รอด! ไม่โดนไต่สวนผิด ม.157 โยกงบใช้หนี้ 3.5หมื่นล.
- เป็นทางการ! ป.ป.ช.เผยมติตั้งองค์คณะไต่สวน'เศรษฐา-ครม.รวมอนุทิน'คดีโยกงบใช้หนี้3.5หมื่นล.
ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับคดีมากขึ้น สำนักข่าวอิศรา นำรายละเอียดที่มาที่ไป รวมถึงสำนวนการสอบสวนและมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. มานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลอีกครั้ง
@ ที่มา ชื่อและตำแหน่งผู้ถูกร้อง
จุดเริ่มข่าวนี้ สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 53/2568 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 256568 ได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการสอบสวนเป็นทางลับกับเจ้าพนักงานของรัฐที่มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 88 ประกอบระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ตามคำร้องของ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ และพวก ที่กล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวนนับร้อยคน
ประเด็นสอบสวนทางลับ พุ่งเป้าไปที่กรณีการร่วมกันเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยปรับลดรายจ่ายงบประมาณสำหรับ ‘ใช้หนี้’’ ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 รายจ่ายงบกลาง (5) ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ (Digital Wallet) จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
กำหนดกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน และหากสอบสวนแล้วเห็นว่า ‘มีมูล’ ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
@ รายชื่อผู้ถูกร้อง
สำหรับรายชื่อผู้ถูกร้องคดีนี้ มีดังต่อไปนี้
1. นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
2. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
3. คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
4. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
5. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
6. สมาชิกวุฒิสภาที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2568
7. เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าว
@ ผลการไต่สวนข้อเท็จจริง / มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในการสรุปข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวนคดีนี้ แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
@ กรณีกล่าวหาว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่งวงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (1) (2) (3)
จากการสอบสวน ปรากฎข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า งบประมาณรายจ่ายที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ตั้งคำขอรับการจัดสรรจากรัฐบาลตามที่ปรากฎในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มาตรา 29 นั้น ถือเป็นภาระทางการเงินเพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการ รวมทั้งความเสียหายจากการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการของรัฐ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐพ.ศ. 2561 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2562 ซึ่งรัฐจะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายให้แก่สถาบันการเงินหรือรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในโอกาสแรกที่กระทำได้ตามมาตรา 20 วรรคแรก (5) แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวในวาระที่ 1 แล้ว ย่อมทำให้งบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทั้ง 5 แห่ง เป็นเงินที่รัฐบาลมีพันธะผูกพันต้องจ่ายตามกฎหมาย ซึ่งเข้าลักษณะเป็น "เงินที่กฎหมายกำหนดให้ต้องจ่าย" ตามนัยรัฐธรรมนูญมาตรา144 วรรคหนึ่ง (3) อันมีผลทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถกระทำการแปรญัตติเพื่อปรับลด ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงรายจ่ายดังกล่าวได้

แต่จากการสอบสวนพบว่า กรณีที่มีการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทั้ง 5 แห่งดังกล่าววงเงินรวม 35,000 ล้านบาท นั้น เกิดจากการกระทำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้เสนอเรื่องให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับ
มิได้เกิดจากฝ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นผู้เสนอขอแปรญัตติเองตามระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) แต่อย่างใด
ดังนั้น จึงไม่มีการแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามรัฐธรรมนูญ คดีจึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่ง (3) ตามที่มีการกล่าวหา
นอกจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังเคยมีคำวินิจฉัยว่า การยื่นคำร้องของขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม ต้องอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประประมาณของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา หากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าวได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น และเป็นกฎหมายใช้บังคับแล้ว ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
ในชั้นนี้จึงเห็นควรยุติการสอบสวนทางลับ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 88 วรรคสาม ประกอบระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ข้อ 32 วรรคสอง
อย่างไรก็ตาม แม้คดีนี้จะไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมญูเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
แต่การที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้ร่วมกันมอบนโยบายหรือมีมติสั่งการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง พิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายที่ได้ตั้งคำขอไว้ โดยให้เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลงเพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล

และต่อมาคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ก็ได้มีมติเห็นชอบกับการเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) เสนอ โดยมีการปรับลดงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล
จนกระทั่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2568 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว ทั้งที่งบประมาณรายจ่ายที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทั้ง 5 แห่ง ตั้งคำขอรับการจัดสรรจากรัฐบาลดังกล่าว มีสถานะเป็นภาระทางการเงินเพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการ รวมทั้งความเสียหายจากการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการของรัฐตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวันัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และมาตรา 28 แห่งพระระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 ที่รัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายให้แก่รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐนั้น ในโอกาสแรกที่สามารถกระทำได้ ตามมาตรา 20 (5) แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
แต่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กลับดำเนินการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณในส่วนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIร) ทั้ง 5 แห่งลง และไม่ได้ตั้งงบประมาณชดเชยให้ในปีงบประมาณดังกล่าว
ดังนั้น จึงเห็นว่าการกระทำของนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท จึงเข้าข่ายเป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 ประกอบมาตรา 20 (5)
โดยมีเจตนาที่จะนำงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ได้ประกาศหาเสียงไว้เพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
-มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในชั้นนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติรับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 88 ประกอบระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการตรวจสอบและไต่สวน พ.ศ. 2561 ข้อ 32 วรรคสอง
โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล ดังนี้
1. นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งน่ายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้องที่ 1)
2. คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 (ผู้ถูกร้องที่ 3)
3. นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายกรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท (ผู้ถูกร้องที่ 3)

สำหรับกรณีผู้ถูกร้องรายอื่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
1. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากขณะนั้นผู้ถูกร้องยังไม่ได้เข้าดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแปรญัตติเพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงรายการหรือจำนวนในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่มีการกล่าวหา
2. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างมากจำนวน 5 ต่อ 2 เสียง มีมติไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏพฤติการณ์และพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าได้มีส่วนร่วมกับผู้ถูกร้องข้างต้นในการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง
3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏพฤติการณ์และพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ได้มีส่วนร่วมกับผู้ถูกร้องข้างต้นในการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง
(อนึ่ง สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า สำหรับ รัฐมนตรี 3 ราย ที่รอดพ้น ไม่ถูกไต่สวนคดี เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมประชุมมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 คือ 1. นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 2. นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 3. นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม)
ข้อกล่าวหาที่ 2 กรณีกล่าวหาว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท อันเป็นการเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง
- ผลการไต่สวน/มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 กลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักบริหารงานกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำรายละเอียดคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ได้มีบันทึกส่งคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านความเห็นชอบจากเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ไปยังสำนักนโยบายและแผน เพื่อทำการวิเคราะห์ รวบรวม และบูรณาการเป็นคำขอตั้งงบประมาณในภาพรวมของหน่วยงาน รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 220,184,400 บาท ซึ่งประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเงินช่วยเหลือกรณีสมาชิกถึงแก่กรรมหรือทุพพลภาพ เงินทุนเลี้ยงชีพ ทุนการศึกษาบุตร และค่าบริหารกองทุน หลังจากที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และกฎหมายดังกล่าวได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
ปรากฏว่าในวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 สำนักนโยบายและแผนได้มีบันทึกแจ้งให้หน่วยงานภายในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาดำเนินการเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในรายการ/โครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ หรือมีความจำเป็นต้องเสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณเพื่อรองรับการดำเนินงานตามกฎหมายของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 กลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักบริหารงานกลาง จึงได้เสนอคำขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาจำนวน 324,130,810 บาท เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับใหม่ ซึ่งส่งผลทำให้สิทธิในการได้รับวงเงินเลี้ยงชีพ ค่ารักษาพยาบาล เงินช่วยเหลือกรณีสมาชิกถึงแก่กรรมหรือทุพพลภาพเพิ่มสูงขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือส่งคำขอแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปยังประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 แต่ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
ปรากฏว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติไม่เห็นชอบการเสนอขอเพิ่มงบประมาณให้แก่กองทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ สอดคล้องกับรายงานการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่ปรากฏข้อมูลว่าได้มีการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาแต่อย่างใด นอกจากนั้น เมื่อตรวจสอบจากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (เล่มขาวคาดแดง) หมวด 6 งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน มาตรา 39 (25) สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา จำนวน 220,184,400 บาท ซึ่งมียอดตรงกับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว จำนวน 220,184,400 บาท
กรณีจึงไม่มีการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ตามที่มีการกล่าวหาแต่อย่างใด
-มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติในประเด็นข้อกลาวหานี้ว่า จากการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท ตามที่มีการกล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ยุติการสอบสวนทางลับ

ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งองค์คณะไต่สวนคดีนี้ของ ป.ป.ช. นั้น สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ที่ระบุว่า ในการไต่สวนเรื่องใดที่เป็นเรื่องสำคัญมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง หรือเป็นกรณีมีการไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเอง หรือจะแต่งตั้งกรรมการไม่น้อยกว่าสองคนและบุคคลอื่นเป็นคณะกรรมการไต่สวนก็ได้
คณะกรรมการไต่สวนตามวรรคหนึ่งมีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานไต่สวนหรือพนักงานไต่สวน และพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือคณะกรรมการไต่สวนในการดำเนินการตามหน้าที่ได้ตามที่เห็นสมควร
อย่างไรก็ดี การตั้งองค์คณะไต่สวนคดีนี้ของป.ป.ช. เป็นการไต่สวนคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย ยังต้องผ่านขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน ถ้าพบว่า มีมูลจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง จากนั้นจึงจะสรุปสำนวน ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลอีกครั้ง
บทสรุปสุดท้ายผลการไต่สวนคดีนี้ จะออกมาเป็นอย่างไร ติดตามดูกันต่อไป แบบห้ามกระพริบตาโดยเด็ดขาด
อ่านประกอบ :

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา