การขับเคลื่อนงานที่เป็นยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ต้องบอกว่ากว้างขวาง ครอบคลุมทุกมิติจริงๆ
และ ศอ.บต.ก็ใช้วิธิการ “บูรณาการ” หลายๆ เรื่องเข้าด้วยกัน เช่น พัฒนาเศรษฐกิจ ก็ให้เชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และส่งผลต่อการท่องเที่ยว โดยผลประโยชน์ต้องลงลึกถึงประชาชนฐานราก
อย่างเช่นการสนับสนุนการแข่งขัน “นกปรอดหัวโขน” ซึ่งสอดคล้องกับวิถีและภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้ได้รับประโยชน์เป็นคนในพื้นที่ทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
เมื่อเร็วๆ นี้ ศอ.บต.นำ 4 หน่วยงาน ร่วมแถลงข่าวการจัดมหกรรมแข่งขันประชันเสียงนกปรอดหัวโขนนานาชาติครั้งที่ 1 โดยหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมกันจัดมหกรรม ประกอบด้วย
- กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค 4 สน.)
- สภ.เมืองยะลา
- เทศบาลนครยะลา
- ชมรมนกปรอดหัวโขน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้
วัตถุประสงค์เพื่อสัมผัสเสน่ห์ของ “นกปรอดหัวโขน” สัตว์เศรษฐกิจที่เป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่ และร่วมสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนอย่างแท้จริง ในฐานะผู้ผลิต (เพาะพันธุ์) ผู้เลี้ยง การจัดการแข่งขัน ตลอดจนธุรกิจและอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งหมด เช่น อาหารนก กรงนก ยารักษานก และอื่นๆ
มหกรรมแข่งขันประชันเสียงนกปรอดหัวโขน จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 เม.ย.68 เวลา 08:30 น. ถึง 16:00 น. ที่ศูนย์เยาวชน และสนามโรงพิธีช้างเผือก เทศบาลนครยะลา
“นกปรอดหัวโขน” ก็คือ “นกกรงหัวจุก” เป็นนกที่อยู่ในวงศ์นกปรอด มีอยู่ทั้งหมด 109 ชนิด แต่ในประเทศไทยพบ 36 ชนิด
“นกปรอดหัวโขน” จัดเป็นนกขนาดเล็ก มีสีสันสวยงาม ขนส่วนหัวจะรวมกันเป็นเหมือนหน่อ ตั้งอยู่บนหัวสูงขึ้นไป คล้ายๆ หัวโขน จึงเป็นที่มาของชื่อ “นกปรอดหัวโขน”
จุดเด่นของนกชนิดนี้ คือ มีเสียงร้องไพเราะ จึงมีการจัดแข่งขันประชันเสียง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และประเทศในแหลมมลายู เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย
สำหรับการจัดมหกรรมแข่งขันประชันเสียงนกปรอดหัวโขนนานาชาติ ศอ.บต.ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 24 ต.ค.66 ในการส่งเสริม “ซอฟต์พาวเวอร์” เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน
โดยเสนอผ่านคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ซึ่งมีมติเห็นชอบส่งเสริมและพัฒนา “นกปรอดหัวโขน” หรือ “นกกรงหัวจุก” ให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา และสตูล) เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงนกปรอดหัวโขนให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืน
นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า นอกเหนือจากการจัดการแข่งขันประชันเสียงแล้ว สิ่งสำคัญคือการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ดังนั้นความร่วมมือของส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่จึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดย ศอ.บต.ตั้งเป้าใน 3 ปีแรก จะเพิ่มมูลค่าการค้าจากนกปรอดหัวโขนให้ได้ 30% จากการจัดมหกรรมแข่งขันประชันเสียงระดับนานาชาติปีละ 1 ครั้ง และตั้งเป้าสร้างเครือข่ายผู้เลี้ยงและเพาะพันธุ์ไม่น้อยกว่า 500 คน ภายใน 1 ปี พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ให้มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้จะมีการสนับสนุนและอนุรักษ์การปล่อยนกคืนสู่ป่ามากกว่า 500 ตัวต่อปี
การจัดงานมหกรรมแข่งขันประชันเสียงนกปรอดหัวโขนนานาชาติครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมแข่งขันจากทั่วประเทศไทย และจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ เข้าร่วมกว่า 3,000 นก ครอบคลุมการแข่งขัน 6 ประเภท ได้แก่ เสียงทอง, วีไอพี, สากล, 4 จี, แฟนซี และ โอเพ่น
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดแสดงสินค้า OTOP การจำหน่ายสินค้า และนิทรรศการวิชาการเกี่ยวกับวงจรนกปรอดหัวโขนอีกด้วย
โดยคาดหวังว่าจะสร้างรายได้โดยตรงกว่า 10 ล้านบาท และรายได้ทางอ้อมจากการพัฒนาเครือข่ายการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการแสดงศักยภาพของพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนผู้เลี้ยงนกปรอดหัวโขน และยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน
นายอับดุลเลาะ สารีมา ประธานชมรมนกกรงหัวจุกจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า การจัดการแข่งขันนกกรงหัวจุก หรือนกปรอดหัวโขนในครั้งนี้ ถือเป็นการจัดการแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่าที่เคยมีมา ซึ่งจะเป็นการผลักดันนกกรงหัวจุกให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของพื้นที่ เนื่องจากสามารถต่อยอดไปสู่การเพาะเลี้ยงพันธุ์นกในฟาร์มเพื่อส่งขายให้กับผู้ที่ชื่นชอบ โดยไม่ใช่เป็นการไปนำนกจากธรรมชาติมาจำหน่าย
ทั้งยังสามารถต่อยอดด้านอาชีพได้อีกหลายช่องทาง อย่างการทำกรงนกสวยงาม หรือการประกอบอาหารนกจำหน่ายแก่กลุ่มผู้เลี้ยงนก โดยการจัดการแข่งขันในครั้งนี้ จะมีนกทั้งในและนอกประเทศเดินทางเข้ามาแข่งขันจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อย่างแน่นอน
นี่คืออีกหนึ่งผลงานการพัฒนาแบบครบวงจร ที่หวังผลได้อย่างยั่งยืนของ ศอ.บต.