
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันนี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นดินแดนที่มีแต่ปัญหาความไม่สงบเพียงมุมเดียวเท่านั้น
แต่เรื่องราวที่สอดแทรกขึ้นมา และมีคุณค่าอย่างยิ่งก็คือ ความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย มีธรรมชาติงดงามที่สุดพื้นที่หนึ่งของเมืองไทย และมีผู้คนที่รับรู้ รับทราบ รวมถึงอยากลงไปสัมผัสและทำความรู้จักมากขึ้นเป็นลำดับ
ดังเช่น สกายวอล์ค “ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง” ที่เบตง จังหวัดยะลา อำเภอใต้สุดแดนสยาม
หากกล่าวเฉพาะปัตตานี “ชุมชนหัวตลาด” หรือ “กือดาจีนอ” ซึ่งแปลว่าตลาดจีน ก็เพิ่งได้รับเลือกติดอันดับ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2568 ของกระทรวงวัฒนธรรม ด้วยความโดดเด่นของการผสมผสานเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายจีน กับพี่น้องมลายูมุสลิม และชาวพุทธพื้นถิ่นดั้งเดิม
แต่จุดน่าเที่ยวและสมควรแวะเยึ่ยมเยือนของปัตตานีไม่ได้มีแค่ “กือดาจีนอ” แต่ถัดจากเทศบาลเมืองออกไปไม่กี่กิโลเมตร ผ่านมัสยิดกรือเซะ มัสยิดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์เชื่อมโยงกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ทางฝั่งนั้นยังมีชุมชนวิถีถิ่นปัตตานีแท้ๆ อย่าง “บาราโหม” ที่กำลังเป็น “หมุดหมายใหม่” ของการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม

โดยเฉพาะกิจกรรม “ล่องเรือกอและ” พร้อมๆ กับการลิ้มรส “นาซิอีแดกำปง” ในอารมณ์คล้ายๆ ขันโตกของล้านนา ขณะเรือแล่นช้าๆ ผ่าน “อุโมงค์โกงกาง” ยาว 800 เมตร เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก และไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ที่สำคัญ ชุมชนแห่งนี้ยังเป็นศูนย์รวม “บาติกบล็อกไม้ดั้งเดิม” ที่มีเอกลักษณ์ และเหมาะเป็นของที่ระลึก เตือนความจำให้นึกถึงเมืองปัตตานี
“ชุมชนบาราโหม” ตั้งอยู่ที่บ้านปานาเระ ตำบลบาราโหม อำเภอเมืองปัตตานี ริมถนนสายเอเซีย หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 ห่างจากมัสยิดกรือเซะแค่ 5 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองปัตตานี
“บาราโหม” โดดเด่นในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโบราณที่มีความเป็นมายาวนาน มีความโดดเด่นทางภูมิประเทศ เนื่องจากถูกโอบล้อมด้วยป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย และมีสายน้ำไหลผ่านหมู่บ้าน

ปัจจุบันมีการล่องเรือกอและ ชมอุโมงค์โกงกาง ถือเป็นกิจกรรมห้ามพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศ “ชายทะเลมลายูแท้ๆ” และยังเป็นเส้นทางล่องเรือผ่านป่าชายเลนที่ยาวที่สุดในพื้นที่ โดยมีลำคลองที่ต้นโกงกางสองข้างทางโน้มกิ่งก้านมาเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นอุโมงค์ธรรมชาติที่ยาวกว่า 800 เมตร
นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสธรรมชาติเขียวชอุ่ม ชมวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน และชมนกนานาชนิด เนื่องจากสายน้ำที่ล่องเรือนี้เชื่อมต่อกับ “ทะเลใน” ซึ่งเป็นทะเลด้านที่ติดกับอ่าวไทย แต่มี “ปลายแหลมโพธิ์” ยื่นจากอำเภอยะหริ่ง มาโอบล้อมเอาไว้ น้ำจึงนิ่ง ไม่ค่อยมีคลื่นลม เหมาะกับการล่องเรือชมความสวยงามของสรรพสิ่ง

พร้อมๆ กับการซึมซับบรรยากาศ ผู้มาเยือนยังจะได้ลิ้มลองอาหารประจำชุมชนอย่าง “นาซิอีแดกำปง” ซึ่งเป็นเมนูพื้นถิ่นของปัตตานีที่มีความหลากหลาย และรสชาติเป็นเอกลักษณ์
อาหารที่ทำสดๆ ใหม่ๆ จัดวางบนใบตอง และให้ลิ้มลองจากการรับประทานด้วยมือ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตแท้ๆ ของคนพื้นที่ เพื่อให้ได้รสชาติและสัมผัสแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง

อาหารทุกจานเน้นวัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น ได้แก่ ปลากอและ ซึ่งเป็นปลาอินทรีหมัก, อีแกชีแง (ซึ่งหมายถึงแกงกะทิไก่หรือเนื้อ), แกงเหลืองปลาโอ, ไข่เจียวใบมะรุม, ยำกะทิหัวปลี, ผัดผักรวม, ปลากระพงสามรส, บูดูทรงเครื่อง, ผักลวก และปลาทอดเกลือปัตตานี ตบท้ายด้วยขนมพื้นเมือง อย่าง ขนมปาแป ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “แพนเค้กมลายู”
“ชุมชนบาราโหม” ยังมีความโดดเด่นในเรื่องผ้าบาติก ซึ่งขับเคลื่อนโดย “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผ้าบาราโหมบาร์ซา” พัฒนาตนเองให้เป็นที่รู้จักผ่านการสร้างสรรค์หัตถกรรมพื้นบ้าน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 โดยมี ฟารีดา กล้าณรงค์ เป็นหัวหน้ากลุ่ม และมี ไมตรี หะยียามา เป็นช่างฝีมือผู้เป็นหัวใจสำคัญของกลุ่ม

ผ้าบาติกของบาราโหมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยใช้เทคนิคการพิมพ์ลายด้วย “บล็อกไม้แบบดั้งเดิม” ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการผลิตสมัยใหม่ทั่วไป ผลงานของกลุ่มได้รับการยอมรับในระดับประเทศ จนได้รับรางวัล “OTOP 5 ดาว”
จุดเด่นของผ้าบาติก บาราโหม คือการนำลวดลายจากจานโบราณ ดอกไม้พื้นถิ่น และอัตลักษณ์มลายูมาแกะลายอย่างประณีต ผลิตเป็นผ้าผืน และชุดสำเร็จรูป ทั้งยังต่อยอดเป็นเซ็ตของฝาก ได้รับความนิยมและสร้างชื่อเสียงให้กับปัตตานีในระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ชุมชนบาราโหมยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโบราณสถานเก่าแก่ อายุร่วม 500 ปี ได้แก่ สุสานพญาอินทิรา และสุสานราชินี 3 พี่น้อง
โบราณสถานเหล่านี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานีในอดีต ตอกย้ำความเป็นรากเหง้าอันยาวนานของชุมชน และอาณาจักรโบราณ
การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ชื่นชมผลิตภัณฑ์จากบาราโหมบาร์ซา เช่น ผ้าบาติก และลิ้มรสอาหารพื้นเมือง “นาซิอีแดกำปง” ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชาวบาราโหม เป็นเศรษฐกิจชุมชนที่ยืนบนฐานวัฒนธรรม

เมื่อเร็วๆ นี้ สาเหะมูหามัด อัลอิดรุส สส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ ได้พาผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนกลาง คือ คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ไปเยือนชุมชนบาราโหม เพื่อศึกษาและรับฟังข้อเสนอการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชน Community-Based Tourism หรือ CBT เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของปัตตานีสู่ระดับประเทศ
คณะกรรมาธิการฯที่ร่วมลงพื้นที่ครั้งนี้ นำโดย “อาจารย์กัปตัน” ดร.อำพล ขำวิลัย คณบดีวิทยาลัยนานาชาติการบินและอวกาศ มหาวิทยาลัยเกริก ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ, อนุสรา มู่ฮัมหมัด สมาชิกสภาเทศบาลนครนนทบุรี และรองคณบดีวิทยาลัยนานาชาติการบินและอวกาศฯ ตลอดจนกรรมาธิการฯ อีกหลายท่านร่วมกิจกรรมอย่างประทับใจ

นอกจากล่องเรือ ชิมอาหาร และสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแล้ว คณะกรรมาธิการฯ ยังเปิดวงพูดคุยกับผู้นำชุมชนและผู้ประกอบการด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะในหลากหลายด้าน ทั้งเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยว, การเข้าถึงแหล่งทุน และความจำเป็นในการสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ รับปากว่าจะนำข้อมูลและข้อเสนอแนะจากชุมชนบาราโหมเข้าสู่การพิจารณาเพื่อผลักดันเชิงนโยบาย สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ในทุกมิติ
และผลักดันให้ชุมชนบาราโหมเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย
