กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ‘กรรมการส่วนใหญ่’ ให้ความสำคัญกับ‘จังหวะเวลา’ ภายใต้ ‘policy space’ ที่มีจำกัด พร้อมคาดเศรษฐกิจปี 68-69 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้
....................................
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี ทั้งนี้ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.25
เศรษฐกิจในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ โดยภาคส่งออกเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่การท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลงก่อนจะทยอยฟื้นตัวในระยะข้างหน้า ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากราคาในหมวดพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดลงของราคาสินค้าเป็นวงกว้าง ด้านสินเชื่อรวมยังหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง
คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ โดยกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน(policy space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้
ขณะที่กรรมการ 2 ท่าน เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาด้านสภาพคล่องและภาระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.2 และ 1.6 ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ขยายตัวดีตามที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัว อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ในระดับหนึ่งโดยได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามผลกระทบที่ชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ความต่อเนื่องของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปรับตัวของธุรกิจ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขัน การเข้าถึงสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงิน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.0 และ 0.5 ตามลำดับ แต่คาดว่าจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงต้นปี 2570 โดยเงินเฟ้อที่ปรับลดลงเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ รวมถึงราคาอาหารสดที่ปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย
ทั้งนี้ ความเสี่ยงด้านเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำสะท้อนจากราคาสินค้าและบริการส่วนมากที่ยังปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ทั้งสองปี และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (headline inflation expectations) ในระยะปานกลางของภาคเอกชนยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการของราคาสินค้าและบริการเพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดในระยะต่อไป
อัตราดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงินและตลาดการเงินปรับลดลงสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่สินเชื่อยังหดตัวจากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ การชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นในบางจังหวะซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกบางกลุ่ม คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและค่าเงินบาทซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนให้มีมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยจะติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงเศรษฐกิจการเงินและพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป
@เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 68‘ชะลอตัว’-คาดทั้งปีโต 2.2%
นายสักกะภพ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวได้ค่อนข้างดี โดยขยายตัวที่ 3% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ กนง.คาดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงพอสมควร โดยไตรมาสที่ 3 และ 4 เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำกว่า 2% และคาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.2% รวมทั้งคาดว่าเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2569 จะยังชะลอตัวต่อเนื่อง จากฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ภาพรวมในแง่เศรษฐกิจ ไม่ได้แตกต่างจากเดิมที่เคยมอง คือ คิดว่าจะชะลอในช่วงครึ่งหลัง โดยครึ่งแรกก็โตโอเค ส่วนครึ่งหลังและมองไปข้างหน้า จะแผ่วลงชัดเจน” นายสักกะภพ กล่าว และระบุว่า ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 ที่คาดว่าขยายตัวที่ 2.2% ดังกล่าว ได้รวมผลของมาตรการ ‘คนละครึ่ง’ ของรัฐบาลที่จะออกมาในช่วงไตรมาส 4 เอาไว้แล้ว
นายสักกะภพ ย้ำว่า “ในช่วงไตรมาส 3 จะเริ่มเห็นการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ จากภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเรื่อง tariffs โดยจะเริ่มเห็นการส่งออกแบนราบลง จากที่เคยเร่งตัวสูงในช่วงไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 และอีกตัวที่จะลดต่ำลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 3 คือ การผลิต อย่างไรก็ดี ในส่วนของการท่องเที่ยวที่มีการชะลอตัวในช่วงต้นปีนั้น ตอนนี้เริ่มเห็น Indicator การกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยว โดยเป็นการฟื้นตัวแบบช้าๆ”
นายสักกะภพ กล่าวด้วยว่า ในส่วนผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐนั้น พบว่าส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้อยกว่าที่คาดไว้ โดยตัวเลขการส่งออกจริงออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ ธปท.ปรับเพิ่มประมาณการตัวเลขการส่งออกทั้งปี 2568 ใหม่ โดยมูลค่าการส่งออกทั้งปี 2568 จะขยายตัวที่ 10% ส่วนการส่งออกปี 2569 จะติดลบ 1% ซึ่งเป็นผลมาจากฐานที่ค่อนข้างสูงในปีที่แล้ว
“ครึ่งปีแรกส่งออกโต 15% ตัวเลขล่าสุดที่เรามีถึงเดือน ส.ค. ส่งออกโต 13% ดังนั้น ตัวเลขที่ 10% จึงค่อนข้างจะเป็นไปได้ แม้ว่าในช่วงครึ่งหลังจะเห็นการโตที่ชะลอลงของส่งออก แล้วถ้าดูในใส้ เรายังเห็นการขยายตัว ทั้งการส่งออกไปสหรัฐ และที่ไม่ใช่สหรัฐ รวมถึงการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์โตได้ค่อนข้างดี แต่ก็ต้องติดตามว่า ผลของมาตรการภาษีจริงๆ ผลจะเริ่ม kick in มากน้อยขนาดไหน แต่ที่ผ่านมาเรายังเห็นผลไม่ชัดนัก หรือน้อยกว่าที่ประเมินไว้” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ กล่าวว่า สำหรับภาคการท่องเที่ยวนั้น ในช่วงครึ่งปีแรกมีการลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน แต่จะเห็นว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขนักท่องเที่ยวจากจีนเริ่มทยอยฟื้นตัว และเริ่มเห็นการเติบโตเมื่อเทียบเดือนต่อเดือน ขณะที่เครื่องชี้การจองที่พักและจองเครื่องบินเริ่มกลับมา ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่มตลาดระยะไกล (Long Haul) ยังคงไปได้อยู่ ส่วนนักท่องเที่ยวจีนทยอยฟื้นตัวช้า
ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 33 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน 4.4 ล้านคน และปี 2569 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 35 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน 6 ล้านคน ทั้งนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่ได้กลับไปเท่ากับในช่วงก่อนโควิดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 40 ล้านคนนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นของประเทศในภูมิภาค



@หั่น‘เงินเฟ้อทั่วไป’ปี 68 เหลือ 0%-ยังไม่เห็นภาวะเงินฝืด
นายสักกะภพ กล่าวว่า ในส่วนอัตราเงินเฟ้อนั้น คณะกรรมการฯมีการหารือกันมาก และมีการปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อลงค่อนข้างมาก โดยปี 2568 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0% และปี 2569 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5% ขณะที่ปี 2570 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1% สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.9% ปี 2569 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 0.9% และปี 2570 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 1%
“ค่อนข้างชัดเจนว่า ตัวที่ถ่วงอัตราเงินเฟ้ออยู่ ทั้งตัวเลขจริงที่ออกมา และเมื่อมองไปข้างหน้าในปีหน้า ก็จะเป็นเรื่องพลังงานและอาหารสด ซึ่งเป็นตัวถ่วงอยู่ โดยเราคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในระยะข้างหน้ายังโน้มต่ำลง และที่เราคิดว่าเงินเฟ้อจะเข้าเป้าในช่วงปี 2570 คือ เราจะเริ่มเห็นราคาน้ำมันทรงตัวในปี 2570 ซึ่งจะทำให้ตัวถ่วงตรงนี้หายไป” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ กล่าวว่า สิ่งที่คณะกรรมการฯมีการหารือกันมาก คือ ความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด ซึ่งคณะกรรมการฯมีความเห็นตรงกันว่า ปัจจุบันความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งเป็นตัวที่สะท้อนกำลังซื้อ ยังทรงตัวที่ 0.9% ในปี 2568 และปี 2569 ส่วนปี 2570 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1% ซึ่งเป็นตัวเลขที่แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ได้ประเมินไว้ในช่วงต้นปี
“แรงกดดันเงินเฟ้อทางด้านอุปสงค์ยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะชะลอตัวบ้าง แต่ก็ยังมีอยู่ และเมื่อเข้าไปดูจำนวนสินค้าและบริการที่อยู่ในตระกร้าเงินเฟ้อ พบว่าสินค้าที่มีการปรับราคาลดลงยังอยู่ที่ประมาณ 30-40% ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต ยังไม่เห็นการกระจายตัว ที่คนเริ่มเห็นว่าราคาสินค้าปรับลดลงในวงกว้าง หรือมีลักษณะที่ว่า อย่าเพิ่งซื้อสินค้าตอนนี้ เพื่อไปรอราคาที่ลดลงในอนาคต ตรงนี้ยังมองไม่เห็น แต่เป็นจุดที่ต้องติดตามต่อเนื่อง อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของภาคเอกชน ยังคงยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย”นายสักกะภพ กล่าว


นายสักกะภพ กล่าวว่า ในส่วนภาวะการเงินนั้น ภาพไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม โดยสินเชื่อรวมยังคงติดลบอ่อนๆ และติดลบติดต่อกันมาแล้ว 3-4 ไตรมาส ในขณะที่สินเชื่อปล่อยใหม่ยังมีต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การคืนหนี้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ สะท้อนถึงความเสี่ยงในแง่ความต้องการของสินเชื่อที่ยังมีไม่มากนัก นอกจากนี้ สินเชื่อ SMEs ที่หดตัวมากเมื่อเทียบกับสินเชื่อรายใหญ่ สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ SMEs ที่ความสามารถในการแข่งขันได้รับผลกระทบ
ด้านคุณภาพสินเชื่อ ภาพไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเช่นกัน โดยเริ่มเห็นสัญญาณ NPL ทรงตัว โดยเฉพาะ NPL (Stage 3) สินเชื่อรายย่อยค่อนข้างแบนราบแล้ว ส่วนสินเชื่อ Stage 2 ก็เห็นภาพคล้ายๆกัน และไม่เห็นภาพการเคลื่อนจาก Stage 2 ไป Stage 3 อย่างผิดปกติ อย่างไรก็ตาม NPL ของสินเชื่อที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ คือ NPL ของสินเชื่อ SMEs ซึ่งเป็นจุดที่คณะกรรมการฯจะต้องติดตามต่อไป


นายสักกะภพ กล่าวว่า สำหรับเรื่องค่าเงินบาท เงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึง 30 ก.ย.2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ถ้าดูดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ซึ่งเทียบกับคู่ค้าและคู่แข่ง ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 30 ก.ย.2568 แข็งค่าขึ้น 0.6% ทั้งนี้ การแข็งค่าของค่าเงินบาทดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยง

นายสักกะภพ กล่าวว่า คณะกรรมการฯทุกคน เห็นตรงกันว่า นโยบายการเงินมีความจำเป็นที่ต้องอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายและต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า โดยในปี 2569 เรามองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 1.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าศักยภาพ ดังนั้น นโยบายการเงินจะต้องช่วยประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่ -0.12% ซึ่งให้ภาพว่านโยบายการเงินในปัจจุบันอยู่ในระดับผ่อนคลาย
“ถ้าเทียบดอกเบี้ยนโยบายไทยกับดอกเบี้ยประเทศอื่นๆที่เป็นเศรษฐกิจหลัก 30 ประเทศ จะเห็นได้ว่า ดอกเบี้ยเราต่ำเป็นอันดับที่ 3 จะมีที่ต่ำกว่าเรา คือ สวิสเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น อย่าง US (สหรัฐ) อยู่ที่ 4.1% ซึ่งมีช่องว่างพอสมควร ถึงแม้ว่าในอนาคตช่องว่างนี้จะแคบลง แต่ช่องว่างนี้ก็ยังมีอยู่” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ กล่าวว่า ในส่วนการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมานั้น กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 4 ครั้ง ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซึ่งคณะกรรมการฯส่วนหนึ่งเห็นว่า การส่งผ่านของนโยบายการเงินยังอยู่ใน Pipeline จึงยังอยู่ในช่วงของการประเมินการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งการส่งผ่านฯส่วนใหญ่จะใช้เวลาสูงสุด 1 ปี กว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ในขณะที่อัตราการส่งผ่านฯของการลดดอกเบี้ยนโยบาย 4 ครั้งที่ผ่านมา อยู่ที่ 57%
นายสักกะภพ กล่าวถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ว่า “ถ้าเราเห็นการเปลี่ยนแปลงตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่อให้เราเห็นว่า แนวโน้มจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยยสำคัญ ก็จะเป็นจุดที่คณะกรรมการฯจะมีการทบทวน หรืออาจมีภาวะการเงินที่ตึงตัวมากกว่าที่คาด ซึ่งตอนนี้ เราเห็นแล้วว่าครึ่งปีหลัง มันจะแย่ลง แต่การปรับดอกเบี้ยที่ผ่านมา มันสะท้อนเพื่อรองรับความเสี่ยงตรงนั้นระดับหนึ่งอยู่แล้ว”


อ่านประกอบ :
‘ภาษีสหรัฐฯ’ซ้ำเติม-เงินเฟ้อต่ำ! กนง.มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.5%
‘ส่งออก’ส่อหดตัวแรง! ‘ธปท.’ชี้‘ภาษีทรัมป์’ทุบเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% อย่างน้อย 1 ปีครึ่ง
มติ 6 ต่อ 1! 'กนง.'คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% คาดเศรษฐกิจ 68 โต 2.3%-ปีหน้าเหลือ 1.7%
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75%-'เทรดวอร์'ส่อฉุดGDPปี 68 เหลือ 1.3-2%
เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ประเมิน! กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2%
มติเอกฉันท์! 'กนง.'คงดอกเบี้ย 2.25% มอง GDP ปีหน้า 2.9%-จับตาเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
บรรเทาภาระหนี้! กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%-คาด GDP ปี 67 โต 2.7%
‘ผู้ว่าฯธปท.’เผย‘กนง.’กังวลสภาวะการเงิน‘ตึงตัว’ ย้ำ 3 เงื่อนไขปรับดบ.-ปัดตอบลดค่าฟี FIDF
มติ 6 ต่อ 1! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ชี้สอดคล้องการขยายตัวศก.-กังวล‘หนี้ครัวเรือน’สูง
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! 'บอร์ด กนง.' เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%-มอง GDP ปี 67 โต 2.6%
'นายกฯ'เรียกร้อง'ธปท.'นัดประชุม'กนง.'ก่อนกำหนด ถกลด'ดอกเบี้ย'หลังมีข้อมูลใหม่'สภาพัฒน์'
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 67 โตไม่เกิน 3%
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 2.4%
3 กรรมการ'กนง.'ฝั่ง'แบงก์ชาติ' มองทิศทาง'ดอกเบี้ยนโยบาย' ท่ามกลาง'ปัจจัยเสี่ยง-แรงกดดัน'
เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น! กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ2.5%-มองGDPปีนี้โต 2.8%
สู่ระดับ 2.25%! 'กนง.'มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%-มอง'เงินเฟ้อ'มีความเสี่ยงด้านสูง
