
‘กนง.’ มีมติเอกฉันท์ดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% หลังเศรษฐกิจปี 69-70 มีแนวโน้มชะลอตัวลง ขณะที่แรงกดดัน ‘เงินเฟ้อ’ ด้านอุปสงค์ มีจำกัด’ พร้อมปรับเป้าจีดีพีปี 69 โตแค่ 1.5% ก่อนขยายตัว 2.3% ในปี 70
...................................
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ว่า คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที
เศรษฐกิจไทยในปี 2569 และปี 2570 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากครึ่งแรกของปี 2568 ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามแนวโน้มรายได้ และภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามราคาพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ
ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์มีจำกัดในภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ด้านสินเชื่อรวมยังหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง โดย SMEs ถูกกดดันด้านสภาพคล่องจากทั้งปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อและการแข็งค่าของเงินบาท
คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงินและนโยบายอื่นของภาครัฐ จึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 2569 และ 2570 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.2 1.5 และ 2.3 ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีนี้ชะลอลงจากปัจจัยชั่วคราวในภาคการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ที่ลดลง รวมทั้งสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า
สำหรับเศรษฐกิจในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากปีนี้ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามรายได้ และการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว
ทั้งนี้ เศรษฐกิจในปี 2570 มีแนวโน้มฟื้นตัวแต่ยังต่ำกว่าศักยภาพ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการฟื้นตัวของภาคบริการ ขณะที่การส่งออกสินค้าและภาคการผลิตยังถูกกดดันจากการแข่งขันที่สูง ในระยะข้างหน้า ต้องติดตามความเสี่ยงจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจมีเพิ่มเติม ความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณปี 2570
และการปรับตัวของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขันและการเข้าถึงสินเชื่อ คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง จึงจำเป็นต้องผสมผสานนโยบายหลายด้านเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 2569 และ 2570 ปรับลดลงเทียบกับประมาณการเดิม โดยมีแนวโน้มอยู่ที่ร้อยละ -0.1 0.3 และ 1.0 ตามลำดับ และคาดว่าจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งแรกของปี 2570 โดยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นผลจากราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลงและมาตรการอุดหนุนค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่มีจำกัด
ทั้งนี้ ความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอยู่ในระดับต่ำสะท้อนจากราคาสินค้าและบริการที่ไม่ได้ปรับลดลงเป็นวงกว้าง คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 2569 และ 2570 มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.8 0.8 และ 1.0 ตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางลดลงเล็กน้อยแต่ยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย
อัตราดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงินและตลาดการเงินปรับลดลงตามการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมา ซึ่งช่วยลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือน อย่างไรก็ดี สินเชื่อยังหดตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งสะท้อนการชะลอการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชนภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
ขณะที่สถาบันการเงินยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและสนับสนุนให้มีมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่าอยู่ในกลุ่มนำสกุลภูมิภาคตามการปรับคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยเฉพาะของไทย คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ยกระดับการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด รวมถึงพิจารณาแนวทางดำเนินการกับธุรกรรมที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยจะติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงเศรษฐกิจการเงินและพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป
ในขณะเดียวกันควรคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว และขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัดในการรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
@เศรษฐกิจไทยปี 69-70 ขยายตัวชะลอลงจากปี 68
นายสักกะภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีปัจจัยชั่วคราวที่ส่งผลกระทบในแง่เศรษฐกิจหลายปัจจัย เช่น ภาคการผลิตที่มีการปิดโรงงานและการปิดโรงกลั่นน้ำมัน รวมถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ คือ สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง และคาดว่าระยะเวลาในการฟื้นฟูจะทอดยาวไปถึงไตรมาส 1 ปีหน้า ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัว และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.2%
ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2569 และปี 2570 มีแนวโน้มขยายตัวลดลงจากปี 2568 จากการบริโภคที่มีแนวโน้มชะลอตัว ตามรายได้ที่ขยายตัวชะลอลง ขณะเดียวกัน การส่งออกในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง จากปี 2568 ที่การส่งออกขยายตัวได้ดี ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเร่งนำเข้าล่วงหน้า (Front-load) และความต้องการอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลก อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวในปี 2569 และปี 2570 จะทยอยฟื้นตัวจากปี 2568 และมีส่วนช่วยในการขยายตัวของเศรษฐกิจ
“ถ้ามาดูแรงขับเคลื่อน จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในปี 2569 และปี 2570 จะมาจากภาคบริการเป็นสำคัญ ส่วนภาคการผลิตจะยังโตได้ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นผลจาก US tariff และการแข่งขันที่มีมากขึ้นทั้งจากนอกประเทศและภายในประเทศ” นายสักกะภพ กล่าว
ทั้งนี้ ธปท.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2569 จะขยายตัวที่ 1.5% โดยคาดว่าการส่งออกจะขยายตัว 0.6% และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน 6 ล้านคน ส่วนเศรษฐกิจปี 2570 จะขยายตัว 2.3% โดยคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวที่ระดับ 1.7% และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน 6.6 ล้านคน
นายสักกะภพ ยังกล่าวถึงปัจจัยการเมือง คือ เรื่องการยุบสภาฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ว่า ในการจัดทำประมาณการเศรษฐกิจรอบนี้ ธปท.ได้ตั้งสมมติฐานว่า การจัดทำงบประมาณปี 2570 จะล่าช้าจากปกติประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับจีดีพีปีหน้า คือ ในช่วงไตรมาส 4/2569 ขณะที่ผลกระทบจากการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้าดังกล่าว ได้ถูกรวมอยู่ในประมาณการเศรษฐกิจปี 2569 แล้ว



นายสักกะภพ กล่าวว่า สิ่งที่คณะกรรมการฯ มีความกังวลและหารือกันมากในการประชุมรอบนี้ คือ เรื่อง SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ดีขึ้น โดยธุรกิจ SMEs ยังคงเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทำให้การเติบโตของจีดีพีของ SMEs ต่ำลงชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิด-19 นอกจากนี้ ธุรกิจ SMEs ยังคงมีปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อ จากปัญหาความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง
“SMEs ที่ยังฟื้นตัวไม่ค่อยได้ ก็จะกระทบกับรายได้ของแรงงาน เพราะ SMEs มีการจ้างงานคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของการจ้างงานทั้งหมด ทำให้เมื่อมองไปข้างหน้า รายได้แรงงานมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ โดยเฉพาะลูกจ้างที่อยู่ในภาคการผลิต เมื่อรายได้แรงงานในช่วง 2 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มจะขยายตัวต่ำ ก็จะเป็นตัวฉุดรั้งการบริโภคให้โตต่ำไปด้วย” นายสักกะภพ ระบุ

@คาด‘เงินเฟ้อทั่วไป’เป็นบวกไตรมาส 2/69
นายสักกะภพ กล่าวว่า ด้านอัตราเงินเฟ้อ มุมมองในภาพใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมนัก โดยอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ตามราคาพลังงานและอาหารสดที่ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ ในปี 2568 ธปท.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ -0.1% ส่วนปี 2569 จะอยู่ที่ 0.3% และปี 2570 จะอยู่ที่ 1.0% โดยจะเริ่มเห็นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นบวกในช่วงไตรมาส 2/2569 จากผลของราคาน้ำมันในระดับต่ำจะทยอยหมดลง และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้ากรอบในช่วงต้นปี 2570
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากประมาณการครั้งก่อน โดยในปี 2568 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 0.8% ส่วนปี 2569 จะอยู่ที่ 0.8% และปี 2570 จะอยู่ที่ 1.0%
“แรงกดดันเงินเฟ้อ แม้ว่าจะมาจากด้านอุปทานพลังงานและอาหารสด แต่ก็ต้องบอกว่า แรงกดดันด้านอุปสงค์ยังจำกัดในภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพทั้งปีนี้และปีหน้า และถ้าแยกแรงกดดันฝั่งอุปสงค์และฝั่งอุปทาน จะเห็นได้ว่าตัวฉุดรั้งยังมาจากเรื่องอุปทาน แต่ในระยะหลังๆ เริ่มเห็นในแง่ปัจจัยด้านอุปสงค์ เพราะแม้ว่าอุปสงค์ยังเป็นบวก แต่ก็แผ่วลง ตามกำลังซื้อ ซึ่งคณะกรรมการฯได้ให้ทีมงานติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด” นายสักกะภพ ระบุ
นายสักกะภพ ระบุว่า ในด้านภาวะการเงินนั้น สินเชื่อโดยรวมยังหดตัว ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจขนาดใหญ่ชะลอการใช้จ่ายและชะลอการลงทุนตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ธุรกิจ SMEs แม้ว่าบางส่วนจะมีความต้องการสภาพคล่อง แต่สถาบันการเงินยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs นอกจากนี้ คุณภาพสินเชื่อของ SMEs ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยหนี้เสียของ SMEs มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย



@‘กนง.’มอง‘ค่าเงินบาท’แข็งเกินปัจจัยพื้นฐาน
นายสักกะภพ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯมีการหารือกันมากในประเด็นเรื่องค่าเงิน เนื่องจากในช่วงหลังค่าเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นมากและค่อนข้างเร็ว โดยตั้งแต่ต้นปีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับค่าเงินของคู่ค้าและคู่แข่ง (Neer) ก็พบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นกัน ซึ่งคณะกรรมการฯประเมินและเห็นว่า การแข็งค่าของเงินบาทเริ่มมีลักษณะแข็งค่าเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน
“คณะกรรมการฯประเมินและเห็นว่า การแข็งค่าขึ้น เริ่มมีลักษณะเป็นการแข็งค่าขึ้นที่อาจเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น ในจุดนี้ คณะกรรมการฯให้ยกระดับการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท รวมถึงพิจารณาแนวทางการดำเนินการกับธุรกรรมที่จะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทที่มีนัยยะ โดยมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้วนั้น มีการเรียกธนาคารพาณิชย์มาคุยเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการตรวจสอบเอกสารก่อนทำธุรกรรม Fx ที่เกี่ยวกับทองคำ
ส่วนมาตรการที่อยู่ใน pipeline ที่จะทำต่อไป ก็จะมีในเรื่องการเรียกข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น โดยให้ผู้ค้าทองคำที่เป็นรายใหญ่ ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมทองคำให้มีความละเอียดขึ้น เพื่อทำการวิเคราะห์ในแง่ที่ว่าธุรกรรมนั้นๆ อาจจะสร้างแรงกดดันหรือไม่ จากนั้นจะพิจารณาแนวทางในการดำเนินการต่อไป รวมถึงเข้าไปตรวจสอบธุรกรรมการซื้อขาย Fx เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์และไม่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมที่เป็นซื้อขายตามปกติ” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าไปดูแลความผันผวนของค่าเงินบาทอยู่แล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน ราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็เป็นปัจจัยเฉพาะที่มาซ้ำเติมค่าเงินบาท และทำให้ค่าเงินบาทผันผวนเพิ่มมากขึ้น ธปท.จึงเข้าไปตั้งแต่ดูแลปัญหาตั้งแต่ต้นตอ
“เรื่องการแทรกแซง ก็คงต้องทำ เพื่อลดความผันผวน แต่ในแง่ของเงินที่เข้ามา เราต้องดูตั้งแต่จุดเริ่มต้น ซึ่งความผิดปกติในแง่ธุรกรรมทองคำ บางช่วงมีธุรกรรม Fx ที่เกี่ยวกับทองคำค่อนข้างเยอะ เราจึงเข้าไปและขอข้อมูลเพิ่มเติม ดังนั้น ในแง่ความผิดปกติ คงต้องดูต่อเนื่อง แต่ในแง่ของ Real Flow นั้น เรายังไม่พบอะไรที่ผิดปกติ” นายสักกะภพ กล่าว

@กนง.พร้อมลดดอกเบี้ยหากแนวโน้มเศรษฐกิจแย่ลง
นายสักกะภพ กล่าวว่า ภายใต้ภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น ส่วนภาวะการเงินนั้น แม้ว่าโดยรวมอาจไม่ได้มีประเด็นมาก แต่ก็มีประเด็นในแง่ของกลุ่มเปราะบาง คณะกรรมการฯจึงเห็นว่า นโยบายการเงินสามารถที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงอยู่ที่ -0.33% ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของสินเชื่อใหม่ และลดภาระดอกเบี้ยสินเชื่อเดิมที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะต่อไป ทั้งในแง่พัฒนาการของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงความเสี่ยงของมาตรการภาษีของสหรัฐที่อาจมีเพิ่มเติม การขยายตัวของสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs การแข็งค่าของค่าเงินบาท และความเสี่ยงภาวะเงินฝืด และนอกจากการดูแลเศรษฐกิจในระยะสั้นแล้ว คณะกรรมการฯเห็นว่า จะต้องทำให้มั่นใจว่าเรามีศักยภาพในการรองรับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือเศรษฐกิจระยะปานกลาง
“อัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังจากลดลงไปในรอบนี้แล้ว เราก็อยู่ในโซนที่ค่อนข้างต่ำ ก็มีประเทศที่ต่ำกว่าเราเพียง 2 ประเทศ ฉะนั้น การใช้นโยบายการเงินต้องมีความระมัดระวัง แต่แน่นอนว่ามีเรื่องความเสี่ยงที่เราต้องดูแลด้วย” นายสักกะภพ กล่าว พร้อมระบุว่า “คณะกรรมการฯ พร้อมปรับนโยบายให้มีความเหมาะสมกับแนวโน้มที่อาจจะเปลี่ยนไป ขณะเดียวกัน ต้องให้น้ำหนักในเรื่องระยะยาว คือ การรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน และขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับช็อกที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต”
เมื่อถามว่า เมื่อมองไปข้างหน้า มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้ กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีก นายสักกะภพ ย้ำว่า กนง.จะติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และพร้อมปรับนโยบาย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเปลี่ยนไปจากที่คาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยที่ทำให้ กนง. จะปรับดอกเบี้ยนั้น คือ เศรษฐกิจแย่กว่าที่คาด และความเสี่ยงภาวะเงินฝืดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หรืออย่างครั้งนี้เอง ภาวะการเงินที่ไม่ดีนัก ก็เป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้ กนง.ลดดอกเบี้ย

อ่านประกอบ :
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% ‘กก.ส่วนใหญ่’ให้ความสำคัญกับ‘จังหวะเวลา’
‘ภาษีสหรัฐฯ’ซ้ำเติม-เงินเฟ้อต่ำ! กนง.มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.5%
‘ส่งออก’ส่อหดตัวแรง! ‘ธปท.’ชี้‘ภาษีทรัมป์’ทุบเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% อย่างน้อย 1 ปีครึ่ง
มติ 6 ต่อ 1! 'กนง.'คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% คาดเศรษฐกิจ 68 โต 2.3%-ปีหน้าเหลือ 1.7%
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75%-'เทรดวอร์'ส่อฉุดGDPปี 68 เหลือ 1.3-2%
เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ประเมิน! กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2%
มติเอกฉันท์! 'กนง.'คงดอกเบี้ย 2.25% มอง GDP ปีหน้า 2.9%-จับตาเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
บรรเทาภาระหนี้! กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%-คาด GDP ปี 67 โต 2.7%
‘ผู้ว่าฯธปท.’เผย‘กนง.’กังวลสภาวะการเงิน‘ตึงตัว’ ย้ำ 3 เงื่อนไขปรับดบ.-ปัดตอบลดค่าฟี FIDF
มติ 6 ต่อ 1! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ชี้สอดคล้องการขยายตัวศก.-กังวล‘หนี้ครัวเรือน’สูง
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! 'บอร์ด กนง.' เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%-มอง GDP ปี 67 โต 2.6%
'นายกฯ'เรียกร้อง'ธปท.'นัดประชุม'กนง.'ก่อนกำหนด ถกลด'ดอกเบี้ย'หลังมีข้อมูลใหม่'สภาพัฒน์'
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 67 โตไม่เกิน 3%
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 2.4%
3 กรรมการ'กนง.'ฝั่ง'แบงก์ชาติ' มองทิศทาง'ดอกเบี้ยนโยบาย' ท่ามกลาง'ปัจจัยเสี่ยง-แรงกดดัน'
เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น! กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ2.5%-มองGDPปีนี้โต 2.8%
สู่ระดับ 2.25%! 'กนง.'มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%-มอง'เงินเฟ้อ'มีความเสี่ยงด้านสูง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา