
“…จะเห็นได้ว่า ผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 122 วรรคห้า แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ประกอบกับมาตรา 73/1 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาลฯ โดยสามารถสั่งให้นาง ศ. พ้นจากตำแหน่งตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ แม้ว่านาง ศ. จะพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีดังกล่าวไปแล้วเกินสองปี…”
.................................
เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เผยแพร่ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การสั่งให้พ้นจากตำแหน่งกรณีผู้บริหารท้องถิ่นร่ำรวยผิดปกติ กรณี นาง ศ. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมือง ร. ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติว่า นาง ศ. ร่ำรวยผิดปกติ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดของบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การสั่งให้พ้นจากตำแหน่งกรณีผู้บริหารท้องถิ่นร่ำรวยผิดปกติดังกล่าว (เรื่องเสร็จที่ 476/2568) ดังนี้
@หารือปมอำนาจสั่ง‘ผู้บริหารท้องถิ่น’ร่ำรวยผิดปกติ‘พ้นตำแหน่ง’
กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ มท 0804.3/1211 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอหารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการสั่งให้พ้นจากตำแหน่งกรณีผู้บริหารท้องถิ่นร่ำรวยผิดปกติ สรุปความได้ดังนี้
1.คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ยกเหตุอันควรสงสัยจากการเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนาง ศ. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมือง ร.
เพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กรณีร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า นาง ศ. ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ จำนวน 10 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 231,742,807.50 บาท จึงส่งเรื่องมาเพื่อสั่งถอดถอนนาง ศ. ออกจากตำแหน่ง ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
และกรณีนาย ศ. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต. และได้พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ต่อมาดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า นาย ศ. ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
จึงส่งเรื่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. ซึ่งนาย ศ. ได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567
2.กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วมีความเห็นเป็นสองแนวทาง ดังนี้
แนวทางที่หนึ่ง การดำเนินการสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งกรณีร่ำรวยผิดปกติ เป็นการใช้อำนาจที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะตามบทบัญญัติมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง จึงต้องดำเนินการสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่ง โดยไม่ต้องพิจารณาตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในกฎหมายอื่นอีก
เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า นาง ศ. อดีตนายกเทศมนตรีเมือง ร. ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ จึงส่งเรื่องมาเพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติมาตรา 122 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
แต่เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าว มิได้กำหนดว่าผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ในกรณีนี้ คือ ผู้ใด จึงต้องพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 73/1 มาตรา 74 และมาตรา 77 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
จะเห็นได้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแลในระดับสูงสุดเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของเทศบาล จึงเป็นผู้มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 122 วรรคห้าและวรรคหก แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ทั้งนี้ โดยเทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องเสร็จที่ 1008/2567
อย่างไรก็ดี การสั่งให้พ้นจากตำแหน่งต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหายังคงเป็นผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นอยู่ เพราะการสั่งให้พ้นจากตำแหน่งย่อมเป็นการดำเนินการกับผู้ที่ยังคงอยู่ในตำแหน่ง การสั่งให้ผู้ที่มิได้ดำรงตำแหน่งอยู่ให้พ้นจากตำแหน่ง ย่อมไม่เป็นการที่พึงกระทำได้
หากมาตรา 122 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มุ่งหมายที่จะบังคับแก่ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ย่อมมีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เช่นเดียวกับมาตรา 73/1 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาลฯ ที่กำหนดให้สั่งให้ผู้ถูกสอบสวนพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าผู้นั้นจะได้พ้นจากตำแหน่งไปก่อนแล้วหรือไม่ก็ตาม หรือพ้นจากตำแหน่งไปแล้วเกิน 2 ปี เทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องเสร็จที่ 405/2526
ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลนาง ศ. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมือง ร. แต่เนื่องจากปัจจุบันนาง ศ. มิได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงไม่อาจสั่งให้นาง ศ. พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 122 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ได้
สำหรับกรณีนาย ศ. ได้พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต. และตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. แล้ว ผู้มีอำนาจจึงไม่อาจสั่งให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน
แนวทางที่สอง เมื่อนำบทบัญญัติมาตรา 122 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ และความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องเสร็จที่ 405/2526 มาพิจารณาประกอบกับความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องเสร็จที่ 1008/2567 ที่ว่า
การดำเนินการของผู้บังคับบับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดดถอน หรือผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่งในการสั่งลงโทษหรือสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งกรณีร่ำรวยผิดปกติเป็นการใช้อำนาจที่บัญญัติโดยเฉพาะ ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง จึงต้องดำเนินการสั่งให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง โดยไม่ต้องพิจารณาตามกระบวนการที่กำหนดไว้ตามกฎหมายอื่นอีก
อย่างไรก็ตาม มาตรา 73/1 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาลฯ กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาและสั่งให้ผู้ถูกสอบสวนพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าผู้นั้นจะได้พ้นจากตำแหน่งไปก่อนแล้วหรือไม่ก็ตาม เว้นแต่เพราะเหตุตาย หรือพ้นจากตำแหน่งไปแล้วเกินสองปี
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นาง ศ. ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติ และพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมือง ร. เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2559 จึงเป็นกรณีที่บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งไปแล้วเกินสองปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงไม่อาจสั่งให้นาง ศ. พ้นจากตำแหน่งได้ตามมาตรา 122 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ประกอบมาตรา 73/1 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาลฯ
สำหรับกรณีนาย ศ. ได้พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ผู้ว่าราชการจังหวัด น. จึงไม่อาจสังให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต. ได้ เช่นเดียวกับกรณีนาง ศ.
อย่างไรก็ดี นาย ศ. ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. และถึงแม้ว่าจะได้พ้นจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. เนื่องจากลาออกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 แต่ยังไม่เกินสองปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงสามารถสั่งให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. ได้
ดังนั้น เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กระทรวงมหาดไทยจึงขอหารือปัญหาดังกล่าวต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา
@ชี้‘มท.’มีอำนาจสั่ง‘นายกเทศฯ’พ้นตำแหน่งได้ แม้เกิน 2 ปี
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) พิจารณาข้อหารือของกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้แทนกระทรวงมหาดไทย (สำนักงานปลัดกระทรวงและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) และผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว
เห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูที่ตราขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หากบทบัญญัติใดใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวกำหนดหน้าที่และอำนาจหรือวิธีการใดไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
การดำเนินการใดๆ จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัตินั้น โดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการหรือขั้นตอนปกติที่มีกฎหมายอื่นกำหนดไว้ เว้นแต่ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนั้น จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
โดยกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ นั้น มาตรา 122 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กำหนดกระบวนการไว้เป็น 2 ประการ กล่าวคือ
ประการที่หนึ่ง การดำเนินคดีเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 122 วรรคหนึ่ง และ
ประการที่สอง การดำเนินการให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง โดยกรณีของผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น
มาตรา 122 วรรคห้า กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เพื่อสั่งให้พ้นจากตำแหน่งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการทุจริตต่อหน้าที่
โดยมาตรา 122 วรรคหก กำหนดให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนหรือผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง มีอำนาจสั่งงไล่ออกหรือดำเนินการถอดถอนได้ โดยไม่ต้องสอบสวนหรือขอมติจากคณะรัฐมนตรี หรือความเห็นชอบจากองค์กรบริหารงานบุคคล
ด้วยเหตุนี้ การดำเนินการของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนหรือผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่งในการสั่งลงโทษหรือสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่ง กรณีร่ำรวยผิดปกติ จึงเป็นการใช้อำนาจที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
ผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง จึงต้องดำเนินการสั่งให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง โดยไม่ต้องพิจารณาตามเงื่อนไขหรือกระบวนการที่กำหนดไว้ในกฎหมายอื่นอีก ทั้งนี้ ตามแนวความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมคณะที่ 1 คณะที่ 2 และคณะที่ 13) ในเรื่องเสร็จที่ 315/2563 และความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ในเรื่องเสร็จที่ 1008/2567
สำหรับกรณีที่กระทรวงมหาดไทยหารือ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ได้รับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากผู้แทนแล้ว เห็นสมควรกำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นและมีความเห็นในแต่ละประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ใดเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้นาง ศ. พ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี เมือง ร. ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า นาง ศ. ผู้ถูกกล่าวหา ร่ำรวยผิดปกติ และผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง จะสามารถสั่งให้นาง ศ. พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว แม้ว่านาง ศ. จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วเกินสองปี ได้หรือไม่
เห็นว่า การใช้อำนาจสั่งให้นาง ศ. พ้นจากตำแหน่งตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีนี้ เป็นการใช้อำนาจเฉพาะตามมาตรา 122 วรรคหนึ่งและวรรคห้า แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มิใช่การสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 73/1 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.เทศบาล (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2562 กรณีจึงไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบระยะเวลาตามมาตรา 73/1
แต่โดยที่มาตรา 122 วรรคห้า แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 73/1 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.เทศบาล (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2562 ซึ่งกำหนดให้ในกรณีที่เป็นการดำเนินการสอบสวนของนายอำเภอ ให้นายอำเภอรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาและสั่งให้ผู้ถูกสอบสวนพ้นจากตำแหน่ง
และในกรณีที่เป็นการดำเนินการสอบสวนของผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาและสั่งให้ผู้ถูกสอบสวนพ้นจากตำแหน่ง
จะเห็นได้ว่า ผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 122 วรรคห้า แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ประกอบกับมาตรา 73/1 แห่ง พ.ร.บ.เทศบาลฯ โดยสามารถสั่งให้นาง ศ. พ้นจากตำแหน่งตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ แม้ว่านาง ศ. จะพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีดังกล่าวไปแล้วเกินสองปี
ประเด็นที่สอง ผู้ใดเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต. และตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า นาย ศ. ผู้ถูกกล่าวหา ร่ำรวยผิดปกติ และผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่งจะสามารถสั่งให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว แม้ว่านาย ศ. จะพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต. ไปแล้ว เกินสองปี และลาออกจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. แล้ว ได้หรือไม่
เห็นว่า การใช้อำนาจสั่งให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่งตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีนี้ เป็นการใช้อำนาจเฉพาะตามมาตรา 122 วรรคหนึ่งและวรรคห้า แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มิใช่การสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 92 แห่ง พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562
กรณีจึงไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบระยะเวลาตามมาตรา 92 แต่โดยที่มาตรา 122 วรรคห้า แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจริตฯ ไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 92 แห่ง พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 จะเห็นได้ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาและสั่งให้ผู้ถูกสอบสวนพ้นจากตำแหน่ง
ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด จึงเป็นผู้มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 122 วรรคห้า แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ และสามารถสั่งให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่งตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ แม้ว่านาย ศ. จะพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวไปแล้วเกินสองปี
และโดยที่มาตรา 92 แห่ง พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 กำหนดว่า ถ้าในขณะที่มีคำสั่งดั่งดังกล่าว ผู้นั้นกำลังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น อันเป็นผลจากการเลือกตั้งต่างวาระหรือต่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกัน ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งที่กำลังดำรงอยู่ด้วย
ดังนั้น เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัด น. ได้มีคำสั่งให้นาย ศ. พ้นจากตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต. ตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว นาย ศ. จึงพ้นจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด น. ด้วย
เหล่านี้เป็นสาระสำคัญของบันทึก ‘กฤษฎีกา’ ที่วินิจฉัยอำนาจของ ‘กระทรวงมหาดไทย’ โดยชี้ว่า ‘ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ รมว.มหาดไทย’ มีอำนาจสั่งให้ ‘ผู้บริหารท้องถิ่น’ ที่ถูก ‘ป.ป.ช.’ ลงมติว่า ‘ร่ำรวยผิดปกติ’ พ้นจากตำแหน่งได้ แม้ว่าผู้บริหารท้องถิ่นรายนั้น จะพ้นจากตำแหน่งเกิน 2 ปีแล้วก็ตาม รวมถึงมีอำนาจสั่งผู้บริหารท้องถิ่นรายนั้น ต้องพ้นจากตำแหน่งที่กำลังดำรงอยู่ได้ด้วย!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา