
“...หากมีคําพิพากษาในลักษณะเช่นนี้ต่อไป จะทำให้เกิดการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในการควบคุมดูแลการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐทุกเรื่อง ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับภารกิจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบาย หรือในการกำกับดูแล... การวางหลักให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบทุกเรื่อง ถึงขั้นอาจจะเป็นปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปในอนาคต…”
.....................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด โดย ‘ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด’ ได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อผ163-166/2564 หมายเลขแดง อผ.160-163/2568 พิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 10,028.86 ล้านบาท
เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ ‘ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง’ ละเว้น เพิกเฉย ละเลยไม่ติดตามหรือสั่งการฯ จนทำให้เกิดการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) นั้น (อ่านประกอบ : ฉบับเต็ม! คดีประวัติศาสตร์ ศาลฯสั่ง'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้หมื่นล. เพิกเฉยทุจริตขาย'ข้าวจีทูจี’)
ในคำพิพากษาคดีนี้ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ‘เสียงข้างน้อย’ 6 ราย จากประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่มีทั้งหมดประมาณ 40 ราย ได้ทำ ‘ความเห็นแย้ง’ ในคดีดังกล่าว (คดีหมายเลขดำที่ อผ.163-166/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568) แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ความเห็นแย้ง รายนายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ในศาลปกครองสูงสุด กลุ่มที่ 2 ความเห็นแย้ง รายนายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด รายนายมานิตย์ วงศ์เสรี ประธานแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณ ในศาลปกครองสูงสุด และรายนายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
กลุ่มที่ 3 ความเห็นแย้ง รายนายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด รายนายอนุวัฒน์ ธาราแสวง ประธานแผนกคดีละเมิดและความรับผิดอย่างอื่น ในศาลปกครองสูงสุด และรายนายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด และกลุ่มที่ 4 ความเห็นแย้ง รายนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
ในตอนที่สองนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียด ‘ความเห็นแย้ง’ ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย ในคดี อผ.163-166/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568 กลุ่มที่ 2 ราย นายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด ราย นายมานิตย์ วงศ์เสรี ประธานแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณ ในศาลปกครองสูงสุด และราย นายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ดังนี้
@ชี้‘ยิ่งลักษณ์’ไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่-แก้ปัญหา‘ทุจริต’
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างน้อย ไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างมาก โดยผลแห่งคําพิพากษาคดีนี้ จึงมีความเห็นแย้ง ดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) ได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ประเด็นที่ว่านี้ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย ขอทำความเห็นแย้ง ดังนี้
1.กรณีที่จะถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นต้องมีหน้าที่ตามที่กฎหมาย กําหนดให้ต้องปฏิบัติและละเลยต่อหน้าที่
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีปัญหาความเสียหายและการทุจริตในการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) นั้น เห็นว่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการปฏิบัติที่อยู่ในการควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ มีหน้าที่ในทางนโยบายตามโครงการรับจ่าน้าข้าวของรัฐบาลเท่านั้น
ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 28 ม.ค.2559 หน้า 140 ข้อ 5 โดยนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ให้ถ้อยคําว่า
“สำหรับการเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) นั้น คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการเจรจาซื้อขายข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล... และเห็นชอบให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศนําผลเจรจาต่อรองครั้งสุดท้ายในเงื่อนไขต่างๆ เช่น ปริมาณ ราคา การชําระเงิน การส่งมอบ และมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายในนามของรัฐบาลไทย”
ดังนั้น ในเรื่องการระบายข้าวนั้น ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ย่อมรับรู้รับทราบเฉพาะการทำบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น แต่หากเป็นสัญญาซื้อขาย (Sale Contract) ซึ่งเป็นวิธีการระบายข้าวที่ไม่อาจเปิดเผยเป็นการทั่วไปได้ และมีขั้นตอนหรือกระบวนการซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 มิได้เกี่ยวข้อง แต่อย่างใด
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับทราบเฉพาะความเข้าใจหรือ MOU ซึ่งได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติและเห็นชอบเท่านั้น ขั้นตอนและกระบวนการในการระบายข้าวที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ จึงเป็นความลับ และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จึงจะมีการรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
ดังนั้น การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งรวมถึงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการระบายข้าว นั้น จึงมิใช่งานในหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เพราะมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2554 ได้เห็นชอบให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับผู้แทนหน่วยงานของรัฐบาล และเสนอให้ประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวเห็นชอบอนุมัติ...
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธาน กขช. ซึ่งมีหน้าที่บริหารงานเชิงนโยบายและคอยติดตามกำกับดูแลภาพรวมโดยทั่วไประดับมหภาคของโครงการรับจำนำข้าวมิได้เกี่ยวข้องในการอนุมัติหรือลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)
อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เป็นประธานกรรมการ ได้มีคำสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่ 5/2554 ลงวันที่ 12 ก.ย.2554 แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) เป็นประธานอนุกรรมการ
ซึ่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติมอบหมายให้มีอำนาจหน้าที่ (1) พิจารณาหลักเกณฑ์ วิธีการ ชนิด ปริมาณ และเงื่อนไขการจําหน่ายข้าวสารในโกดังกลางที่แปรสภาพจากข้าวเปลือกโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล รวมทั้งข้าวเปลือกและข้าวสารอื่นๆ ที่คงเหลือของรัฐบาลที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อตลาดโดยรวม ตลอดจนกำกับดูแลแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการระบายข้าวดังกล่าว
(2) พิจารณากำหนดวิธีการระบายข้าวได้ตามความจําเป็น รวมทั้งการระบายจําหน่ายข้าวสารในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) โดยเป็นไปตามแผนการระบายข้าว และให้คำนึงถึงผลกระทบต่อราคาตลาด โดยใช้ระบบการส่งออกเป็นสำคัญ (3) แต่งตั้งคณะทำงานและที่ปรึกษาเพื่อดําเนินงานตามที่คณะอนุกรรมการเห็นสมควร
(4) เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อเท็จจริง ให้ข้อมูล รวมทั้งขอให้ส่งเอกสาร หลักฐานอื่นใดที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา (5) ปฏิบัติงานอื่นตามที่ กขช. มอบหมาย (6) รายงานผลการดําเนินงานต่อ กขช. ต่อไป
หน้าที่ในการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่ 5/2554 ลงวันที่ 12 ก.ย.2554 ที่ต้องควบคุมกำกับดูแลมิให้เกิดการประพฤติทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ดังกล่าว
อีกทั้งเมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ได้รับทราบข้อมูลกรณีที่อาจจะมีการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวก ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ยังได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการตามคำสั่งที่ 5/2554 ลงวันที่ 12 ก.ย.2554 ให้ตรวจสอบกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว
รวมทั้งมีคำสั่งที่ 1/2556 ลงวันที่ 21 มิ.ย.2556 แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือขององค์การคลังสินค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงและให้แจ้งความเพื่อดำเนินการกับผู้ทุจริตเป็นการเฉพาะอีกด้วย
กรณีย่อมเห็นได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวดังกล่าว และย่อมไม่อาจถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อันเป็นการกระทำละเมิดที่ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 เสียหายในกรณีนี้แต่อย่างใด
@‘รมว.-รมช.พาณิชย์’มีอำนาจโดยตรงกำกับดูแลขาย‘ข้าวจีทูจี’
ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้รับหนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่หนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ตผ 0012/4216 ลงวันที่ 24 ส.ค.2554 หนังสือ ที่ ตผ 0012/0067 ลงวันที่ 9 ม.ค.2555 และหนังสือ ที่ ตผ 0012/5247 ลงวันที่ 30 ก.ย.2555 ที่มีถึงผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี
โดยสรุปประเด็นปัญหาและความเสี่ยงที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบพบจากการดําเนินงาน โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2548/49 และปีการผลิต 2549/50 ของรัฐบาลชุดก่อน ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีทราบ
พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะนําให้รัฐบาลชุดปัจจุบันในขณะนั้น พิจารณาใช้ข้อมูลตามผลรายงานการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ประกอบการดําเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกดังกล่าว โดยเพิ่มมาตรการควบคุมดูแลและตรวจสอบการดําเนินงานในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัดจริงจัง เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการทุจริต
แต่ กขช. โดยผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะประธาน กขช. ได้ดำเนินการส่งเรื่องให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งไม่ปรากฏว่ากระทรวงพาณิชย์ได้มีการรายงานผลการดำเนินการให้ทราบแต่อย่างใด หรือได้มีการแก้ไขหรือป้องกันเกี่ยวกับการทุจริตในระดับปฏิบัติการของขั้นตอนการระบายข้าว กรณีการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ นั้น
เห็นว่า หนังสือที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มีถึงผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นหนังสือสรุปประเด็นปัญหาและความเสี่ยงที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจพบจากการดําเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2548/49 และปีการผลิต 2549/50 ของรัฐบาลชุดก่อน และแนะนําให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งมีผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี ใช้ข้อมูลประกอบการดำเนินงานโครงการ
โดยเพิ่มมาตรการการควบคุม ดูแลและตรวจสอบการดําเนินงานในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัดจริงจัง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการทุจริต ซึ่งหนังสือแนะนําดังกล่าว มิได้มีผลก่อให้เกิดหน้าที่ตามกฎหมายที่ผูกพันผู้ฟ้องคดีที่ 1 ให้ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามแต่อย่างใด แต่เป็นดุลพินิจของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามความจําเป็นและเหมาะสม
เมื่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มีผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นประธานกรรมการได้มีคำสั่ง คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ 5/2554 ลงวันที่ 12 ก.ย.2554 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) เป็นประธานอนุกรรมการ และมีหน้าที่ควบคุมดูแลและตรวจสอบการดําเนินงานตามขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)
และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศมีหน้าที่รับผิดชอบในการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) อยู่ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น
การที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ส่งหนังสือของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทั้ง 3 ฉบับ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลและตรวจสอบการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยตรงในเรื่องดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย่อมมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการติดตามกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายในการดำเนินโครงการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ และมิได้กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด
@ชดใช้ทุจริต‘ข้าวจีทูจี’ ไม่ได้‘เป็นฐาน’ในการออกคำสั่ง‘คลัง’
2.กรณีที่จะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีหมายเลขดำที่ อม.22/2558 หมายเลขแดงที่ อม.211/2560 ลงวันที่ 27 ก.ย.2560 ที่มีข้อเท็จจริงว่า
“ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (จําเลย) ในฐานะประธาน กขช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้พันตรี วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในเวลาต่อมา เป็นอนุกรรมการข้าวด้านการตลาด อนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำข้าว
และอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจำนำข้าว ซึ่งคำสั่งแต่งตั้งให้พันตรี วีระวุฒิ เป็นอนุกรรมการชุดต่างๆ ล้วนให้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวทั้งสิ้น
ทั้งหลังจากวันที่ 26 พ.ย.2555 ที่นายวรงค์ อภิปรายเรื่องการทุจริตการระบายข้าวแล้ว นายสุพจน์เบิกความยืนยันข้อเท็จจริง ในสํานวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า ข้าวตามสัญญา 4 ฉบับนั้น ในขณะนั้น ยังคงมีการส่งมอบข้าวตามสัญญาขายข้าว 4 สัญญาแรกต่อไปอีกถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์
และมีการชําระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ 1 ระหว่างวันที่ 18 ต.ค.2554 ถึงวันที่ 28 .ค.2556 รับมอบข้าว 1,820,816.66 ตัน ชําระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 มี.ค.2555 ถึงวันที่ 22 ก.พ.2556 รับมอบข้าว 1,402,537.86 ตัน ชําระเงินเพื่อรับมอบข้าวในสัญญาที่ 3 ระหว่างวันที่ 9 ส.ค.2555 ถึงวันที่ 22 ม.ค.2556 รับมอบข้าว 1,654,453.13 ตัน
หากนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่นายวรงค์ อภิปรายเป็นต้นมา ยังมีระยะเวลาเพียงพอแก่การตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงตามข้ออภิปรายของนายวรงค์ และหากผู้ฟ้องคดีที่ 1 (จําเลย) ดำเนินการตรวจสอบการทุจริตการระบายข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับแรก อย่างจริงจัง
ดังเช่นจําเลยได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องโครงการข้าวถุงราคาถูก เพื่อวางมาตรการป้องกันมิให้เกิดการทุจริตขึ้นอีก ซึ่งในเรื่องโครงการข้าวถุงราคาถูก จะเห็นได้ว่าจําเลยใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบอย่างจริงจัง และในวันที่ 10 ก.ค.2556 คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวดำเนินการประชุม แล้วมีมติให้ระงับโครงการข้าวถุงราคาถูก
ดังนั้น ในส่วนการระบายข้าวที่แอบอ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐก็เช่นเดียวกัน จําเลยมีเวลาเพียงพอที่จะระงับยับยั้งการส่งมอบข้าวตามสัญญาที่ยังไม่ได้ส่งมอบไว้ก่อน ก็ย่อมกระทำได้ตามอำนาจหน้าที่
แต่จําเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลและประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบ กำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ทั้งมีอำนาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในการกำกับดูแล การระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว
แต่จําเลยกลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมายส่อแสดงเจตนาออกโดยแจ้งชัด อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายบุญทรงกับพวก แสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว โดยการแอบอ้างนําบริษัท กว่างตง จํากัด และบริษัท ห่ายหนาน จํากัด เข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดตามประกาศของกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริต ให้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับ
อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ และเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง ถือได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ในความหมายตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4
ซึ่งบัญญัติให้ความหมาย คําว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” คือ การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
ดังนั้น การกระทำของจำเลย เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) ประเทศชาติ หรือผู้หนึ่งผู้ใด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1
พิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1” นั้น
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมาก ได้นําข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น มารับฟังเป็นข้อเท็จจริงการวินิจฉัยในคดีนี้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล และประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้ว
ทั้งมีอำนาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในการกำกับดูแล การระงับยับยั้ง หรือแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาออกโดยแจ้งชัดอันเป็นการเอื้อประโยชน์และมีผู้แสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจำนําข้าว
โดยการแอบอ้างนําบริษัท กว่างตง จํากัด และบริษัท ห่ายหนาน จํากัด เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดตามประกาศของกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตให้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ และเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง
ดังนั้น เมื่อประมวลพฤติการณ์ทั้งหมดของผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ตามที่ได้กล่าวมา จึงถือได้ว่าพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับกรณีการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)
เป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจกรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) อันเนื่องมาจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติในส่วนของโครงการรับจำนำข้าวในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ปรากฏเป็นฐานในออกคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ที่สั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดในมูลละเมิด และเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏภายหลังจากที่มีการออกคำสั่ง
ซึ่งการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งทางปกครอง ศาลชอบที่จะตรวจสอบในเรื่องข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และเหตุผลในการใช้ดุลพินิจที่ปรากฏอยู่ในคำสั่งพิพาทเป็นสำคัญ การที่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างมาก รับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงในคำสั่งพิพาท จึงไม่น่าจะถูกต้อง
@‘นายกฯ’รับผิดชอบทุกเรื่อง อาจเป็นปัญหา‘บริหารราชการ’
3.ในส่วนที่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างมากวินิจฉัยโดยรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่า พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล และประธาน กขช. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบ กำกับดูแลการปฏิบัติ ตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ทั้งมีอำนาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในการกำกับดูแลการระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว
แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาออกโดยชัดแจ้ง อันเป็นการเอื้อประโยชน์และมีผู้แสวงหาประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว นั้น
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยเห็นว่า เป็นการวินิจฉัยในประเด็นการทุจริตในคดีอาญา ซึ่งแตกต่างจากองค์ประกอบเรื่องการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ โดยหน้าที่ระงับยับยั้งการทุจริตเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาชั้นต้นในระดับกรมหรือกระทรวงที่อยู่ในเขตอำนาจในคดี
กรมการค้าต่างประเทศมีหน้าที่ดูแลเรื่องการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) และเป็นผู้ทําสัญญาซื้อขายข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศสังกัดกระทรวงพาณิชย์
ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกระทรวงพาณิชย์ที่ดูแลเรื่องการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) จึงได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 ก็ได้ส่งเรื่องให้กระทรวงพาณิชย์ทราบและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่นั้น กรณีย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริง และระงับยับยั้งความเสียหายหรือการทุจริตที่เกิดจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ด้วย
หากวางหลักการว่า นายกรัฐมนตรีทราบถึงการทุจริตแล้ว ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ในการระงับยับยั้งการทุจริตในทุกกระทรวง ทบวง กรม เว้นสำนักนายกรัฐมนตรี ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินและขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและการกระจายอำนาจ จึงไม่อาจนําบรรทัดฐานในคดีอาญาที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการทุจริต มาใช้เพื่อให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ระงับยับยั้งการทุจริต และต้องรับผิดในมูลละเมิดกรณีดังกล่าวได้
ซึ่งคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในเรื่องนี้ จะเป็นบรรทัดฐานในการตรวจสอบการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีที่มีความเกี่ยวข้องกับขั้นตอนในการกำหนดนโยบาย
การปฏิบัติตามนโยบายและการควบคุมดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย ซึ่งมีกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องนี้แต่ละขั้นตอนเป็นจำนวนมาก ทั้งในการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว มีการควบคุมโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นกลไกในการตรวจสอบในทางการเมืองอยู่แล้ว
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยเห็นว่า ศาลปกครองจะต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากศาลปกครองได้วางบรรทัดฐานให้ตรวจสอบได้ในขั้นตอนนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีเองจะต้องรับผิดชอบนั้น
จะต้องเป็นเรื่องที่จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก็คือไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเสียเลย ไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจหรืออาจใช้ความระมัดระวังแล้วแต่น้อยเกินไป ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบว่า นายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรมเช่นนั้นหรือไม่
เพราะหากมีคําพิพากษาในลักษณะเช่นนี้ต่อไป จะทำให้เกิดการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในการควบคุมดูแลการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐทุกเรื่อง ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับภารกิจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบาย หรือในการกำกับดูแล ตลอดจนในการมอบอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีดำเนินการแทนไปแล้ว
การวางหลักให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบทุกเรื่อง ถึงขั้นอาจจะเป็นปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปในอนาคต
@‘ยิ่งลักษณ์’ไม่เกี่ยวทุจริต‘ข้าวจีทูจี’-ลงโทษคนทำผิดแล้ว
4.ประการสำคัญความเสียหายที่อ้างเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามคำสั่งดังกล่าว อ้างเหตุ 2 ประการ คือ การขาดทุน และการทุจริตในการดำเนินโครงการ นั้น
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยเห็นว่า ย่อมเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้วว่า โครงการรับจำนำข้าวมิใช่โครงการที่รัฐประสงค์หรือมุ่งแสวงหากำไร ตรงกันข้าม เป็นโครงการที่รัฐต้องการช่วยเหลือและสนับสนุนอาชีพทำนาให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น
ถือเป็นโครงการที่รัฐต้องใช้งบประมาณใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการให้บรรลุผล เช่นเดียวกับนโยบายอื่นๆ ที่รัฐสนับสนุน เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือโครงการคนละครึ่ง หรือโครงการสวัสดิการเบี้ยผู้สูงอายุ เป็นต้น
ดังนั้น ปัญหาการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวที่ขาดทุน จึงไม่ใช่เหตุผลที่รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีจะนํามาเป็นเหตุในการยกเลิกโครงการ และไม่อาจนํามาอ้างเป็นความเสียหายเพื่อให้รัฐบาล หรือ นายกรัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ให้ต้องรับผิดในผลการดำเนินการที่ขาดทุนจากการดำเนินการโครงการ
ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่ได้สั่งการให้ยุติการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว อันเนื่องมาจากการดำเนินการขาดทุน จึงไม่ใช่การกระทำละเมิดโดยการจงใจละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด
ส่วนเหตุผลที่ว่า มีการทุจริตในการดำเนินการและมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกระทำการโดยทุจริต นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ได้มีการดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับเจ้าหน้าที่ที่กระทำทุจริตแล้ว และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้ร่วมกระทำทุจริตกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
และข้อวินิจฉัยของตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างมากที่ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ละเว้นไม่ป้องกันความเสียหาย อันเกิดจากการทุจริตในโครงการในขั้นตอนของการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยไม่เห็นด้วย เนื่องจากในขณะนั้น รัฐถูกผูกพันตามสัญญาที่ได้ทำไว้แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ถึง 4 สัญญา และมีหน้าที่ต้องส่งมอบข้าวตามสัญญา
ประการสำคัญ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธาน กขช. ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ หรือกระทำการใด เพื่อไม่ให้มีการปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 กระทำการหรือร่วมกระทำการทุจริตในหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำละเมิด
ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงในคดีนี้แล้ว จะเห็นว่าคำสั่งของกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ได้มีคําวินิจฉัยว่า เมื่อได้พิจารณาแล้วว่า ความเสียหายเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ได้ดำเนินการส่งเรื่องให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยยังมิได้สั่งให้มีการทบทวนหรือชะลอโครงการเพื่อตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามการสอบสวน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ผู้ฟ้องคดีที่ 1) ยังไม่อาจทราบได้อย่างแน่ชัดถึงความเสียหายดังกล่าว
กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ผู้ฟ้องคดีที่ 1) จงใจกระทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 และโครงการรับจำนำ ข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 115,341,939,848.81 บาท
และได้มีคําวินิจฉัยต่อไปว่า ก่อนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ผู้ฟ้องคดีที่ 1) ได้รับทราบประเด็นปัญหาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว....
ยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดําเนินงานตรวจสอบให้ได้ความชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาที่หน่วยตรวจสอบแจ้งให้ทราบ หรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบให้ตรงประเด็นกับปัญหาที่หน่วยตรวจสอบแจ้งให้ทราบ เพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริง ที่ชัดเจนและหามาตรการในการดำเนินการป้องกันปัญหาเพื่อมิให้เกิดความเสียหาย....
ถือได้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ผู้ฟ้องคดีที่ 1) จงใจกระทำละเมิด เป็นเหตุให้กระทรวงการคลัง ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 178,586,365,141.17 บาท จึงให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ผู้ฟ้องคดีที่ 1) รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในส่วนการกระทำของตนในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหาย คิดเป็นเงิน 35,717,273,141.17 บาท ตามนัยมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
จึงมีคำสั่งเรียกให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ผู้ฟ้องคดีที่ 1) รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,717,273,141.17 บาท ให้แก่กระทรวงการคลังภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งนี้
และข้อเท็จจริงในคดีอาญาของศาลฎีกา คําพิพากษาศาลฎีกาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.2-3 /2562 ได้วินิจฉัยว่าการทำสัญญาขายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) มีการทำสัญญารวม 4 ฉบับ
สัญญาฉบับที่ 1 ลงวันที่ 5 ต.ค.2554 ขายข้าวไทยทุกชนิดที่มีอยู่ในสต็อกทั้งหมด รวมปริมาณ 2,195,000 ตัน บวก/ลบ ร้อยละ 10 เป็นข้าวนาปี ปีการผลิตเก่า ประกอบด้วยปีการผลิต 2548/49 ถึงปีการผลิต 2552/53 และข้าวนาปรังปี 2549 ถึงนาปรังปี 2552
สัญญาฉบับที่ 2 ลงวันที่ 5 ต.ค.2554 ขายข้าวนาปี ปีการผลิตใหม่ 2554/55 กับบริษัท กว่างตงฯ ปริมาณ 2,000,000 ตัน บวก/ลบร้อยละ 10
สัญญาฉบับที่ 3 ลงวันที่ 3 ก.ค.2555 ขายข้าวนาปรัง ปีการผลิต 2555 ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณ 500,000 ตัน และปลายข้าวขาวเอวันเลิศ ปริมาณ 500,000 ตัน รวมปริมาณ 9,000,000 ตัน
สัญญาฉบับที่ 4 ลงวันที่ 5 ก.ย.2555 ขายปลายข้าวเหนียว ปีการผลิต 2554/55 และ 2555 ปริมาณ 65,000 ตัน
จึงเห็นได้ว่าตามสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) รวม 4 ฉบับดังกล่าว เป็นสัญญาขายข้าว ปีการผลิต 2554/55 และข้าวนาปรัง ปีการผลิต 2555 ซึ่งตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ดังกล่าว ได้ระบุไว้ชัดว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ผู้ฟ้องคดีที่ 1) ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
แต่มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการปกครองในศาลปกครองสูงสุดฝ่ายเสียงข้างมาก กลับมีมติให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ทั้ง 4 ฉบับ จึงเป็นการวินิจฉัยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายนอกเหนือจากคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 อันเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือประเด็นที่พิพาท
“อาศัยข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย และเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย จึงเห็นว่า กรณีไม่อาจรับฟังได้อย่างชัดแจ้งว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) กระทำการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่งที่พิพาท
ดังนั้น คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีเหตุที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ตามคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด
และเมื่อวินิจฉัยข้างต้นแล้วว่า คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลทำให้คำสั่งที่ดำเนินการภายหลังที่ให้ทำการยึดอายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 รวมทั้งคำสั่งที่ปฏิเสธการขอกันส่วนของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะเจ้าของรวมซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดมาจากผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
และเห็นควรที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น” ความเห็นแย้งของตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย ในคดี อผ.163-166/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568 รายนายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด รายนายมานิตย์ วงศ์เสรี ประธานแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณ ในศาลปกครองสูงสุด และรายนายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ระบุ
เหล่านี้เป็น ‘ความเห็นแย้ง’ ของ ‘ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย’ กลุ่มที่ 2 มีความเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้กระทำการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงไม่ต้องรับผิดชอยชดใช้ค่าเสียหาย อันเนื่องมาจากการทุจริตระบาย ‘ข้าวจีทูจี’!
อ่านเพิ่มเติม :
ความเห็นแย้ง'ตุลาการเสียงข้างน้อย'(1) ทุจริต'จีทูจี'เกิดจาก'จนท.'-'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้ 20%
ฉบับเต็ม! คดีประวัติศาสตร์ ศาลฯสั่ง'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้หมื่นล. เพิกเฉยทุจริตขาย'ข้าวจีทูจี’
ไขเหตุผล ‘ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปค.สูงสุด’ พิพากษา ยิ่งลักษณ์ ชดใช้จำนำข้าว 10,028 ล.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยุติธรรมแล้วหรือ? บทสรุปที่เจ็บปวดที่สุด
‘ศาลปค.สูงสุด’นัดตัดสินคดี‘ยิ่งลักษณ์’ฟ้องเพิกถอนคำสั่งชดใช้‘จำนำข้าว’3.5 หมื่นล.22 พ.ค.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา