
“…แม้การพิจารณาและลงมติดังกล่าวเป็นอำนาจของวุฒิสภาที่รัฐธรรมนูญได้มอบให้ไว้ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ที่สมควรได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญของรัฐ อย่างไรก็ตาม ในระบบการเมืองการปกครองที่ตั้งอยู่บนหลักนิติธรรม การใช้อำนาจรัฐทั้งปวงย่อมต้องผูกพันตัวเองภายใต้กฎหมายด้วย รวมถึงการใช้อำนาจดังกล่าวในกรณีนี้ของวุฒิสภาย่อมมิอาจเป็นไปตามอำเภอใจโดยปราศจากเหตุผลได้…”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน รับคำร้องเรียนของนายชาตรี อรรจนานันท์ ผู้ผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นบุคคลผู้เหมาะสมได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและมีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมติการประชุมหรือการกระทำดังกล่าวของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ยื่นคำร้อง และขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกกระบวนการสรรหาครั้งใหม่ของคณะกรรมการสรรหา ที่มีขึ้นภายหลังการประชุมวุฒิสภา ตามประกาศลงวันที่ 31 มีนาคม 2568 รวมถึงมติการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่มีมติแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย
อ่านประกอบ : ‘ผู้ตรวจการแผ่นดิน’ รับคำร้องเรียน ‘ชาตรี’ ขอเพิกถอนมติวุฒิสภาเห็นชอบ‘ตุลาการศาลรธน.’
สำหรับคำร้องของนายชาตรี อรรจนานันท์ ผู้ผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นบุคคลผู้เหมาะสมควรให้ได้รับการเสนอชื่อต่อวุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ยื่นต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบพระราชบัญบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้้
ข้าพเจ้า ผู้สมัครตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามประกาศคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง การรับสมัครบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (แทนตำแหน่งที่ว่าง) ที่ประกาศ ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 มีความประสงค์ขอใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 213 ของรัฐธธรรมนูแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 7 (11) และมาตรา 46 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า
มติการประชุมหรือการกระทำของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติและหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ และขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 จึงเป็นการกระทำที่ใช้บังคับมิได้ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ
ตามที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ประชุมวุฒิสภาได้จัดให้มีการพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาทั้งสองท่าน โดยมีข้อสังเกตว่า
ในช่วงการอภิปรายเปิดซึ่งมีการถ่ายทอดลดทางสถานีโทรทัศน์นั้น จะเห็นได้ว่าที่ประชุมวุฒิสภาแทบไม่ได้กล่าวถึงผู้ยื่นคำร้องเลยในทางใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลงานหรือทัศนคติ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ผิดไปจากการพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญที่ปฏิบัติกันมาเป็นปกติ และในการพิจารณาที่เป็นการประชุมลับปรากฏว่า ที่ประชุมวุฒิสภามีมติไม่เห็นชอบให้ผู้ยื่นคำร้องดำรงตำแหน่งตลาการศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ยื่นคำร้องซึ่งเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อโดยคณะกรรมการสรรหา วุฒิสภาในฐานะที่เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐย่อมมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ที่บัญญัติว่า
“ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใดไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ให้ส่งรายชื่อนั้นกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี ‘พร้อมด้วยเหตุผล’ เพื่อให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลใหม่แทนผู้นั้น ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบ แล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป โดยผู้ซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาในครั้งนี้จะเข้ารับการสรรหาหรือคัดเลือกในครั้งใหม่นี้ไม่ได้”
การที่มาตรา 12 วรรคเก้า ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 บัญญัติให้วุฒิสภามีหน้าที่ต้องส่งรายชื่อผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกที่ไม่ได้รับความเห็นชอบกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หรือที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด “พร้อมด้วยเหตุผล” นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจาก “เหตุผล” นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจตามหลักนิติธรรม ซึ่งได้รับการบัญญัติไว้ในมาตรา 3 วรรคสอง แห่งรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏว่า วุฒิสภาไม่ได้ดำเนินการชอบด้วยมาตรา 12 วรรคเก้า ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ข้างต้นแต่ประการใด การดำเนินการของวุฒิสภาในกรณีนี้จึงเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายและหลักนิติธธรรมตามมาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นที่มาของข้อพิพาทนี้
@ ไม่มีเหตุผล-ขัด พ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรธน. มาตรา 12 วรรคเก้า
1. การไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเหตุผลนั้น ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561
การที่มาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 บัญญัติว่า “ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใดไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ให้ส่งรายชื่อนั้นกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี ‘พร้อมด้วยเหตุผล’...”นั้น
แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของกฎหมายอย่างชัดเจนว่า การไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกจะต้อง “มีเหตุผล” เสมอ
นอกจากนี้ การให้เหตุผลดังกล่าวยังสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามมาตรา 12 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ที่บัญญัติว่า “ในการสรรหาหรือคัดเลือก ให้ใช้วิธีลงคะแนนโดยเปิดเผย และให้กรรมการสรรหาแต่ละคนบันทึกเหตุผลในการเลือกไว้ด้วย”
การมีบทบัญญัติเฉพาะดังกล่าว ยังเป็นการถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกันระหว่างคณะกรรมการสรรหากับวุฒิสภา โดยในกรณีที่วุฒิสภาให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาย่อมมีนัยหมายถึง วุฒิสภาได้เห็นพ้องด้วยกับบันทึกเหตุผลในการเลือกบุคคลของคณะกรรมการสรรหา แต่หากในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบ วุฒิสภาจะต้องมีเหตุผลแจ้งไปยังคณะกรรมการสรรหาด้วยเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหาสำหรับการสรรหาครั้งใหม่ โดยนำเหตุผลที่ได้รับแจ้งมาพิจารณาดำเนินการต่อไป
ในการนี้ เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งหลักนิติธรรมและการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย หน้าที่ของวุฒิสภาในการให้เหตุผลในกรณีที่ไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใดไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนตามมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561
ข้างต้นเป็นหลักเกณฑ์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและได้รับการบัญญัติขึ้นสอดคล้องกับสถานะและความสำคัญอย่างยิ่งยวดของศาลรัฐธธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยคดีเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย คดีเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ และหน้าที่และอำนาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561
นอกจากนี้ เพื่อยืนยันถึงหลักการถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกันระหว่างคณะกรรมการสรรหากับวุฒิสภาดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ได้นำถ้อยคำ “พร้อมด้วยเหตุผล” มาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 206 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งบัญญัติว่า
“ในกรณีที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบในรายชื่อใด ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ให้ส่งรายชื่อนั้นกลับไปยังคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพร้อมด้วยเหตุผลเพื่อให้ดำเนินการสรรหาใหม่ หากคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่เห็นด้วยกับกับวุฒิสภาและมีมติยืนยันตามมติเดิมด้วยคะแนนเอกฉันท์ ให้ส่งรายชื่อนั้นให้ประธานวุฒิสภานำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งต่อไป แต่ถ้ามติที่ยืนยันตามมติเดิมไม่เป็นเอกฉันท์ ให้เริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีเหตุให้ต้องดำเนินการดังกล่าว”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มาตรา 206 วรรคหนึ่ง (2) ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างหลักการถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกัน (Checks and balances) ระหว่างคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกับวุฒิสภา สำหรับกรณีที่วุฒิสภาพิจารณาไม่เห็นชอบผู้ได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธธรรมนูญ
ด้วยเหตุนี้ หน้าที่ในการให้เหตุผลตามมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 จึงเป็นสาระสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมที่จะต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด
ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนหลักการและเหตุผลข้างต้นปรากฏอย่างชัดเจนหากพิจารณาหลักเกณฑ์ตามมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 เปรียบเทียบกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในเรื่องเดียวกัน (กรณีวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหา) ในกรณีของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ดังนี้


จะเห็นได้ว่า มีเพียงกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกเป็นบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญกำหนดให้วุฒิสภามีหน้าที่ส่งรายชื่อนั้นกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา “พร้อมด้วยเหตุผล”
อย่างไรก็ตาม แม้จะปรากฎหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้วุฒิสภาต้องปฏิบัติโดยชัดแจ้งดังกล่าว ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทั้งในการประชุมและการพิจารณาของวุฒิสภา ตลอดจนการปฏิบัติราชการของกลุ่มงานสรรหาและแต่งตั้ง สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดทำประกาศเพื่อเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้ถ้อยคำในประกาศดังเช่นเดียวกันกันกับถ้อยคำในประกาศเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระอื่นๆ ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหา ทั้งที่หลักเกณฑ์ตามมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 “แตกต่าง” จากหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญขององค์กรอิสระอื่นๆ
แม้การพิจารณาและลงมติดังกล่าวเป็นอำนาจของวุฒิสภาที่รัฐธรรมนูญได้มอบให้ไว้ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ที่สมควรได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญของรัฐ อย่างไรก็ตาม ในระบบการเมืองการปกครองที่ตั้งอยู่บนหลักนิติธรรม การใช้อำนาจรัฐทั้งปวง ‘ย่อมต้องผูกพันตัวเอง’ ภายใต้กฎหมายด้วย รวมถึงการใช้อำนาจดังกล่าวในกรณีนี้ของวุฒิสภาย่อมมิอาจเป็นไปตามอำเภอใจโดยปราศจากเหตุผลได้
@ อ้างเหตุผล ประชุมลับ-ดุลพินิจ-เอกสิทธิ์ สว.
ข้อชี้แจงที่ปรากฏในหนังสือของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ไม่ใช่การให้เหตุผลตามมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 แต่ประการใด
หลังจากที่ผู้ยื่นคำร้องได้มีหนังสือกราบเรียนประธานวุฒิสภาเพื่อขอทราบเหตุผลของที่ประชุมวุฒิสภาในการไม่ให้ความเห็นชอบ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้มีหนังสือ ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ตอบผู้ยื่นคำร้อง มีใจความโดยสรุปว่า
“การพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลของวุฒิสภาเป็นการประชุมลับ สมาชิกวุฒิสภามีการอภิปรายและมีการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นดุลพินิจและเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคน จึงมิได้มีการลงมติว่าวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบด้วยเหตุผลใด เพราะสมาชิกแต่ละคนอาจมีเหตุผลที่แตกต่างกัน”
อย่างไรก็ตาม ข้อชี้แจงที่ปรากฏในหนังสือของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาข้างต้น ไม่ใช่การให้เหตุผลตามมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 เนื่องจากคำว่า “เหตุผล” ตามมาตรา 12 วรรคเก้า หมายถึงเหตุผลที่ได้รับการหยิบยกขึ้นเพื่ออภิปรายในการพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภาก่อนที่วุฒิสภาจะได้ลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกแต่ละราย และในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใด วุฒิสภามีหน้าที่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 12 วรรคเก้า โดยการส่งรายชื่อนั้นกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ตลาการในศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี “พร้อมด้วยเหตุผล” เพื่อให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลใหม่แทนผู้นั้น ดังนั้น เหตุผลดังกล่าวจะต้องมีอยู่ตั้งแต่ในวันพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568
นอกจากนี้ หนังสือของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภายังได้ยกประเด็นเรื่องการประชุมเป็นการลับและเอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาตามมาตรา 124 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญขึ้นอ้าง อย่างไรก็ตาม การประชุมและการออกเสียงลงคะแนนเป็นการลับเป็นคนละประเด็นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันกับหน้าที่ในการให้เหตุผล โดยวุฒิสภาสามารถดำเนินการทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้โดยที่ไม่ได้ขัดหรือแย้งซึ่งกันและกัน
ในขณะที่เอกสิทธิ์ตามมาตรา 124 ของรัฐธธรรมนูญไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ในการให้เหตุผลตามมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 จึงไม่อาจนำมาอ้างเป็นเหตุผลในการไม่ดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวได้
ในทางตรงกันข้าม เจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามีเอกสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นไปเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภามีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและอภิปรายด้วยเหตุผล
ข้อชี้แจงที่ปรากฏในหนังสือของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภายังเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่า การดำเนินการของวุฒิสภาขัดหรือแย้งต่อมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 เนื่องจากหากพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในหนังสือดังกล่าวจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การประชุมและการพิจารณาของวุฒิสภาที่ไม่ให้ความเห็นชอบผู้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นการประชุมและการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่มีเหตุผล ซึ่งเห็นได้จากข้อเท็จจริงตอนหนึ่งที่ปรากฏในหนังสือของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ดังนี้
“โดยในการประชุมลับของวุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภามีการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และในการพิจารณาลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลก็เป็นการลงคะแนนลับ ซึ่งเป็นดุลพินิจและเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคน จึงมิได้มีการลงมติว่าวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลด้วยเหตุผลใด เพราะสมาชิกแต่ละคนอาจจะมีเหตุผลที่แตกต่าง”
จะเห็นได้ว่า ผลจากการประชุมและการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่มีเหตุผลดังกล่าวทำให้วุฒิสภาไม่สามารถดำเนินการส่งเหตุผลกลับไปยังคณะกรรมการสรรหาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ได้
@ ขัดหลักนิติธรรม-รัฐธรรมนูญมาตรา 3
2. นอกจากการไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเหตุผลจะขัดหรือแย้งต่อมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ยังเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อหลักนิติธรรมตามมาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย
เอกสารที่ชื่อว่า เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 จัดทำโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญบันทึกเจตนารมณ์ จดหมายเหตุ และตรวจรายงานการประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญ (หน้า 2) ได้ระบุเจตนารมณ์ของมาตรา 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ไว้ ดังนี้
“เจตนารมณ์ กำหนดที่มาของอำนาจอธิปไตยและหลักการแบ่งแยกอำนาจ ทั้งนี้ การใช้อำนาจนั้นต้องสอดคล้องกับหลักนิติธรรม เพื่อให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม (The Rule of Low) ‘การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา’ คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องอยู่บนพื้นฐานของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้และบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีความเป็นธรรม ‘สามารถอธิบายและให้เหตุผลได้’ และจะใช้อำนาจรัฐโดยปราศจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับนั้นไม่ได้”
หลักนิติธรรม (Rule of Law) เป็นหลักการทางกฎหมายที่อารยประเทศยึดถือ อีกทั้งยังได้รับการรับรองไว้อย่างชัดแจ้งในตัวบทรัฐธรรมนูญของนานาประเทศ รวมถึงประเทศไทย
ดังนั้น การไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในกรณีของผู้ยื่นคำร้องโดยไม่มีเหตุผลและขัดหรือแย้งต่อมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ย่อมเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อหลักนิติธรรมตามมาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นการกระทำและการใช้อำนาจรัฐที่ไม่สามารถอธิบายหรือให้เหตุผลได้ว่าเพราะเหตุใด
@ ขอให้เพิกถอนมติวุฒิสภา-คุ้มครองชั่วคราว
ด้วยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และเหตุผลทั้งหมดที่ได้ชี้แจงในคำร้องฉบับนี้ ผู้ยื่นคำร้องจึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดพิจารณาและมีคำวินิจฉัย ดังนี้
1. ขอให้เพิกถอนมติการประชุม หรือการกระทำดังกล่าวของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ยื่นคำร้อง
2. ในกรณีที่ศาลมีคำวินิจฉัยตามข้อ 1. ข้างต้น ขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกกระบวนการสรรหาครั้งใหม่ของคณะกรรมการสรรหา ที่มีขึ้นภายหลังการประชุมวุฒิสภา ตามประกาศลงวันที่ 31 มีนาคม 2568 รวมถึงมติการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่มีมติแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมติของวุฒิสภาตลอดจนกระบวนการสรรหาครั้งใหม่ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประชุมหรือการลงมติของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและใช้บังคับมิได้
รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย เนื่องจากวุฒิสภาเป็นองค์กรที่สำคัญซึ่งใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ หากการใช้อำนาจหรือการปฏิบัติหน้าที่ของวุฒิสภาไม่ชอบและไม่อาจใช้บังคับได้ ผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติย่อมเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง อีกทั้งยังกระทบต่อหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีจึงมีเหตุผลที่ศาลจะต้องกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหายอย่างร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นต่อหลักนิติธรรมและประโยชน์สาธารณะ
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ประกอบกับข้อ 37 และข้อ 40 (6) ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ให้ศาลมีคำสั่งไปยังวุฒิสภาให้หยุดหรือระงับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหาครั้งใหม่ของคณะกรรมการสรรหา ที่มีขึ้นภายหลังการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568
อ่านข่าวประกอบที่เกี่ยวข้อง :

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา