
"...อาศัยโอกาสที่มีตำแหน่งหน้าที่ กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ทำให้องค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราชได้รับความเสียหายเป็นตัวเงินจำนวนมาก และจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำความผิดมาหลายคดี โดยไม่เกรงกลัวความผิดและโทษตามกฎหมาย และไม่ปรากฏว่าองค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราชได้รับเงินคืนครบถ้วนแล้ว พฤติการณ์แห่งคดีนับเป็นเรื่องร้ายแรง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง สมควรลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ..."
กรณีนายลำพอง นามพันธ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) พิมลราช อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีกล่าวหาทุจริตหลายคดี พร้อมส่งสำนวนไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน ไปให้อัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมายนั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ในคดีกล่าวหาเบิกจ่ายเงินค่าจ้างและค่าวัสดุครุภัณฑ์โครงการต่างๆ และแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินตามเช็คโดยมิชอบ
จากเดิมที่ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาว่า นายลำพอง นามพันธ์ มีความผิดตามกฏหมาย ลงโทษจำคุก 6 กระทง รวม 6 ปี ปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา
แก้เป็น มีความผิดรวม 6 กระทง จำคุก 30 ปี ไม่รอการลงโทษ
โดยคดีนี้นับเป็นคดีแรก ที่ นายลำพอง นามพันธ์ ถูกสั่งลงโทษจำคุก ไม่รอลงอาญา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดและถูกศาลพิพากษาตัดสินไปแล้ว จำนวน 4 คดี คดีแรก โทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน ได้รอลงอาญา 2 ปี , คดีสอง จำคุก 6 ปี ได้รอลงอาญา 2 ปี , คดีสาม ได้ยกฟ้อง , คดีที่สี่ ได้ยกฟ้อง

- พิพากษาแก้! ให้ลงโทษจำคุก 30 ปี ไม่รอลงอาญา อดีตนายก อบต.พิมลราช - พวกโดนคนละ 50
- วิบากกรรมทุจริต: อดีตนายก อบต.พิมลราช รอดคุกมาตลอด ก่อนโดนโทษคดีที่ห้า 30 ปี
น่าสนใจว่า ทำไมคดีล่าสุด ศาลอุทธรณ์ ถึงมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ให้ลงโทษ จำคุก 30 ปี ไม่รอการลงโทษ
สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบยืนยันข้อมูลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีนี้ พบว่า ภายหลังจากที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาว่า นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 นายวิรัติ ปีดแก้ว จำเลยที่ 2 และนางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 มีความผิดตามกฏหมาย
ลงโทษจำคุก นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 จำนวน 6 กระทง รวม 6 ปี ปรับ 30,000 บาท ลงโทษจำคุก นายวิรัติ ปีดแก้ว จำเลยที่ 2 มีกำหนด 26 ปี ลงโทษจำคุก นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 ปี และปรับ 50,000 บาท
ให้รอลงอาญาโทษจำคุก นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 และ นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 ไว้มีกำหนด 2 ปี
โจทก์ (อัยการฟ้องแทน ป.ป.ช.) จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
@ พฤติการณ์แห่งคดี
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในช่วงเดือนเมษายนถึง กรกฎาคม 2551 จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล พิมลราช จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราช และ จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนการคลัง จำเลยทั้งสามมีอำนาจสั่งจ่ายเช็ค และเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากขององค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราช ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547
ในเดือนกรกฎาคม 2551 จำเลยที่ 1 พ้นวาระการดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราช จำเลยที่ 2 จึงปฏิบัติหน้าที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนาย ศ. (ชื่อย่อ) หัวหน้าส่วนสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม มีอำนาจสั่งจ่ายและเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝาก รวมทั้งออกเช็คเพื่อชำระหนี้
ในช่วงเดือนเมษายน ถึง มิถุนายน 2551 องค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราช ออกเช็คธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาบางบัวทอง จำนวน 10 ฉบับ เพื่อชำระเงินโครงการต่างๆ แล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนาย ศ. ร่วมกันลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไขชื่อผู้รับเงินในเช็คเป็นนางข. จากนั้น นาง ข. นำเช็คทั้ง 10 ฉบับ ไปเรียกเก็บเงินที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรแล้วถอนเงินตามจำนวนที่ระบุในเช็ค ตามสำเนาใบฝากเงินและสำเนาใบถอนเงิน
@ แก้ไขชื่อผู้รับเงินตามเช็ค
ต่อมาสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 3 ตรวจสอบสืบสวนเรื่องร้องเรียนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่ามีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต กรณีการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้าง ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราชแห่งใหม่ ในปี 2549 และโครงการถมดินเพื่อก่อสร้างที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราชแห่งใหม่ ในปี 2551 และได้ตรวจสอบหลักฐานการเบิกเงินค่าใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ 10 รายการ พบว่า มีการแก้ไขชื่อผู้รับเงินตามเช็คเป็นชื่อนาง ข. แล้ว ซึ่งจำเลยทั้งสามและนาย ศ. ลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไขดังกล่าวด้วย
โดยในเช็คแต่ละฉบับจะมีผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อฉบับละ 3 คน หลังจากนั้น นำเช็คเข้าบัญชีเงินฝากนาง ข. ทั้งหมดและนาง ข. ถอนเงินสดออก ในวันเดียวกัน
พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าเป็นการทุจริต สำนักตรวจสอบพิเศษภาค 3 ทำรายงานการตรวจสอบสืบสวน และส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ส่วนกลาง ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริง และมีมติชี้มูลว่าการกระทำของจำเลยทั้งสาม มีมูลความผิดอาญา ส่วนการกระทำของนายศักดิ์ชัยไม่มีมูลความผิดอาญา
@ ชี้จำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรก และ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสามมีอำนาจหน้าที่ลงลายมือชื่อในเช็คเพื่อ สั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากขององค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราชให้เจ้าหนี้ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงินการเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 จึงเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ของ องค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราช
การที่จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามระเบียบ กระทรวงมหาดไทยดังกล่าว เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ได้ไปซึ่งเงินตามเช็ค เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต
จำเลยทั้งสามจึงกระทำความผิดตามฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขเช็ค และ จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินหรือผลประโยชน์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ส่วนจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ไม่ได้สั่งให้ นาง ข. แก้ไขเช็ค พยานโจทก์เบิกความซัดทอดจำเลยที่ 2 และเบิกความ แตกต่างกันเป็นพิรุธ โครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้ง 10 โครงการ เกิดขึ้นจริง จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับเงินหรือผลประโยชน์ จำเลยที่ 2 ไม่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ไม่ได้กระทำความผิดตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่าสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 และนับโทษจำคุกจำเลยทั้งสามหรือไม่
โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยไม่รอการลงโทษจำคุกและนับโทษจำคุกจำเลยทั้งสามต่อจากโทษในคดีอื่นนั้น
@ พฤติการณ์แห่งคดีนับเป็นเรื่องร้ายแรง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
เห็นว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราช ส่วนจำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนการคลัง มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบอื่น อาศัยโอกาสที่มีตำแหน่งหน้าที่ กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ทำให้องค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราชได้รับความเสียหายเป็นตัวเงินจำนวนมาก และจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำความผิดมาหลายคดี โดยไม่เกรงกลัวความผิดและโทษตามกฎหมาย
และไม่ปรากฏว่าองค์การบริหารส่วนตำบลพิมลราชได้รับเงินคืนครบถ้วนแล้ว
พฤติการณ์แห่งคดีนับเป็นเรื่องร้ายแรง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง สมควรลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษารอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 มานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไม่เห็นพ้องด้วย และเมื่อไม่รอการลงโทษจำคุก จึงไม่สมควรลงโทษปรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 อีก
แต่ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อจากโทษคดีอื่นนั้น ปรากฏตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อท 37/2566 และ อท 162/2566 ของศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้อง จึงไม่อาจนับโทษต่อได้
ส่วนจำเลยที่ 2 เมื่อปรากฏให้นับโทษต่อทุกคดีตามฟ้อง จึงไม่มีกรณีวินิจฉัย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำคุกกระทงละ 5 ปี จำเลยที่ 1 รวม 6 กระทง
จำคุก 30 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 3 รวม 10 กระทง จำคุกคนละ 50 ปี
ไม่ลงโทษปรับและไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
*****************
ทั้งหมดนี้ เป็นรายละเอียดบางส่วนในคำพิพากษศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ให้ลงโทษ จำคุก 30 ปี ไม่รอการลงโทษ นายลำพอง นามพันธ์ ส่วนพวกอีก 2 รายก็ได้รับโทษด้วยคนหลายสิบปี
ขณะที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมลงมติเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 มีมติเห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) หารือไม่ฏีกาคำพิพากษา
อย่างไรก็ดี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
บทสรุปสุดท้ายคดีนี้ จะออกมาเป็นอย่างไร ติดตามดูกันต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา