ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงบ้านเรามุ่งถกเถียงแก้ข่าวกันอยู่ว่า เหตุซุ่มยิงที่ชายแดนใต้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อส. ตกเป็นเหยื่อไปแล้วหลายราย เป็นแค่ “การซุ่มยิงธรรมดา” ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้น “สไนเปอร์”
กลายเป็นประเด็นฮือฮา เมื่อที่ประชุมสภามีการตั้งกระทู้ถาม และตอบกันเกี่ยวกับเรื่องการจัดหากระสุนปืนของกองทัพบกไทย ผ่านหน่วยงานความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯในประเทศไทย หรือ “จัสแมก” (JUSMAG)
ข่าวปรับ ครม.ที่ฝุ่นตลบกันมานานหลายสัปดาห์ กระทั่งล่าสุดข่าวว่าทูลเกล้าฯไปแล้ว ยังรุมทึ้งตำแหน่งกันไม่เลิก
ความร้อนแรงของคลิปเสียงที่นายกฯแพทองธาร ชินวัตร พูดคุยกับ สมเด็จ ฮุน เซน อดีตนายกฯ และประธานวุฒิสภาของกัมพูชานั้น เนื้อหาเป็นอย่างไร ทุกคนคงได้ยินได้ฟังกันหมดแล้ว
ไม่มีใครปฏิเสธอีกแล้วว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ในระดับวิกฤต และเสี่ยงเกิดสงครามหรือการสู้รบ
ในขณะที่รัฐบาลไทย โดยเฉพาะคนเป็นผู้นำ ไม่สามารถสื่อสารและบริหารอารมณ์ของผู้คนในสังคมได้ในสถานการณ์วิกฤติไทย-กัมพูชา
กว่า 21 ปีที่รัฐไทยในเกือบทุกองคาพยพต้องเผชิญหน้ากับ BRN ในบริบทปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
การเปิดวงพูดคุยกับข้าราชการระดับสูงผู้รับผิดชอบปัญหาภาคใต้ของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร 2 วันติดๆ กัน คือ 8 และ 9 พ.ค.68 นั้น
ในขณะที่ผู้รับผิดชอบในรัฐบาลกำลังเฟ้น “ตัวจริง” เพื่อนำขึ้นโต๊ะพูดคุยเจรจา หยุดปัญหาไฟใต้รอบใหม่ที่ยืดเยื้อมานาน 21 ปี
การไล่ล่าชีวิตชาวบ้าน คนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธ ไม่มีศักยภาพในการป้องกันตัวเอง ซ้ำร้ายบางคนยังเป็น “กลุ่มอ่อนแอ - เปราะบาง” เช่น เด็ก ผู้หญิง คนท้อง คนชรา หรือแม้แต่คนพิการ โดยพุ่งเป้าไปที่คนนับถือศาสนาพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น