
“…อันเป็นกรณี ที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กำหนดธงคําตอบไว้ล่วงหน้า และกดดันให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด จะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการยื่นฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายจากผู้ฟ้องคดีที่ 1 ให้ได้ภายในเดือน ก.พ.2559 โดยไม่ต้องพิจารณาหรือคำนึงถึงความยุติธรรมหรือหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย…”
...................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด โดย ‘ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด’ ได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อผ163-166/2564 หมายเลขแดง อผ.160-163/2568 พิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 10,028.86 ล้านบาท
เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ ‘ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง’ ละเว้น เพิกเฉย ละเลยไม่ติดตามหรือสั่งการฯ จนทำให้เกิดการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) นั้น (อ่านประกอบ : ฉบับเต็ม! คดีประวัติศาสตร์ ศาลฯสั่ง'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้หมื่นล. เพิกเฉยทุจริตขาย'ข้าวจีทูจี’)
ในคำพิพากษาคดีนี้ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ‘เสียงข้างน้อย’ 6 ราย จากประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่มีทั้งหมดประมาณ 40 ราย ได้ทำ ‘ความเห็นแย้ง’ ในคดีดังกล่าว (คดีหมายเลขดำที่ อผ.163-166/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568) แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ความเห็นแย้ง รายนายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ในศาลปกครองสูงสุด กลุ่มที่ 2 ความเห็นแย้ง รายนายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด รายนายมานิตย์ วงศ์เสรี ประธานแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณ ในศาลปกครองสูงสุด และรายนายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
กลุ่มที่ 3 ความเห็นแย้ง รายนายสมชัย วัฒนการุณ รองประธานศาลปกครองสูงสุด รายนายอนุวัฒน์ ธาราแสวง ประธานแผนกคดีละเมิดและความรับผิดอย่างอื่น ในศาลปกครองสูงสุด และรายนายสมยศ วัฒนภิรมย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด และ กลุ่มที่ 4 ความเห็นแย้งรายนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
ในตอนสุดท้ายนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียด ‘ความเห็นแย้ง’ ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย ในคดี อผ.163-166/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568 กลุ่มที่ 4 รายนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ดังนี้
@ประมาทเลินเล่อ‘จำนำข้าว’ มิใช่ประเด็นแห่งคดีที่ขึ้นสู่‘ศาลฯ’
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย มีความเห็นดังนี้
คดีที่หนึ่ง มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (นายกรัฐมนตรี) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (รมว.คลัง) ตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 35,717,273,028.23 บาท เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ...คดีนี้มีมูลความแห่งคดีสืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 5 ส.ค.2554-7 .ค.2557
รัฐบาลโดยการนําของ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเคยใช้นโยบายรับจำนำข้าวเพื่อช่วยเหลือชาวนาในการหาเสียงต่อประชาชนไว้ ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2554 ได้นํานโยบายการรับจำนำข้าวดังกล่าว บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล ที่แถลงต่อรัฐสภาก่อนเข้าบริหารประเทศ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2554
จากนั้นตลอดระยะเวลาที่ได้เข้าบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่มีผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบหรืออนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาไว้หลายโครงการ ซึ่งในจำนวนนั้น มีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 รวมอยู่ด้วย
ต่อมาภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า ได้ทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ นายสมหมาย ภาษี ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ร่วมกันมีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 448/2558 ลงวันที่ 3 เม.ย.2558 และคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1824/2558 ลงวันที่ 30 ธ.ค.2558 แต่งตั้งและเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
กรณีผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขี้มูลความผิดกล่าวหาว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้กระทำความผิดทางอาญาตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 123/1 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 จากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ทางราชการเกิดความเสียหาย
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามคำสั่งดังกล่าว ได้สอบสวนและได้ใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตามที่ถูกกล่าวหา ถือได้ว่าเป็นการจงใจกระทำละเมิด ทำให้ทางราชการหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) เสียหายจากการขาดทุนของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ตั้งแต่ปีการผลิต 2554/55-2556/57 ทุกโครงการ
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจึงมีความเห็นให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนความเสียหาย ตามมูลค่าผลการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว ปีการผลิต 2554/55 ปีการผลิต 2555 ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 ทั้งหมดทุกโครงการ ซึ่งคิดเป็นค่าสินไหมทดแทน 286,639,648,201.45 บาท ตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) พิจารณาสํานวนการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดแล้ว มีความเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จะต้องรับผิดเฉพาะความเสียหายของปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 ซึ่งมีการดำเนินโครงการในช่วงระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีเท่านั้น
และเห็นควรให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดเฉพาะส่วนของตนในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหาย คิดเป็นเงินค่าสินไหมทดแทน จำนวน 35,717,273,028.23 บาท ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (โดยนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง ปฏิบัติราชการแทน นายกรัฐมนตรี) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (โดยนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการแทน รมว.คลัง)
จึงได้ร่วมกันลงนามเพื่อออกคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 35,717,273,028.23 บาท ดังกล่าว
การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและผู้ลงนาม เพื่อใช้อำนาจในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ จะใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยในการวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเลยต่อหน้าที่ราชการในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตามที่ถูกกล่าวหา
จะถือว่าเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้ทางราชการหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 เสียหายหรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและผู้ลงนามเพื่อใช้อำนาจในการออกคำสั่ง ย่อมจะต้องใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยในการวินิจฉัยให้ถูกต้องหรือสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางกฎหมายตามมาตรา 4 และมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
รวมทั้งจะต้องใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยในการพิจารณาวินิจฉัย ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายดังกล่าว โดยจะต้องไม่เป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่สุจริตด้วย
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง ประกอบกับเหตุผลในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและของผู้ลงนามเพื่อใช้อำนาจออกคำสั่งที่พิพาทในกรณีนี้ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจวินิจฉัย ในการวินิจฉัยให้ถูกต้องหรือสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
จะเห็นได้ว่า พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน กขช. ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 สามารถแบ่งออกตามหลักเกณฑ์ทางกฎหมายได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่หนึ่ง เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ได้ร่วมกับคณะรัฐมนตรีดำเนินการนำนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือกเพื่อช่วยเหลือชาวนา ที่เคยได้หาเสียงต่อประชาชนไว้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2554 บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่ได้มีการแถลงต่อรัฐสภาก่อนเข้าบริหารราชการแผ่นดินเมื่อวันที่ 23 ส.ค.2554
และหลังจากที่ได้เข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว การที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และคณะรัฐมนตรี ได้ร่วมกันมีมติเห็นชอบหรืออนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 เพื่อให้เป็นไปตาม นโยบายที่ได้มีการแถลงต่อรัฐสภาไว้
รวมทั้งการที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีมติให้ทบทวน ระงับหรือยุติการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 หลังจากที่รู้ว่า อาจจะมีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบขึ้นในบางส่วนหรือบางพื้นที่หรือบางขั้นตอนของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาล
หรือการที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีมติให้ทบทวน ระงับหรือยุติโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 หลังจากที่ได้รับรายงานของกระทรวงการคลัง ที่รายงานผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ณ วันที่ 31 ส.ค.2555 ว่า มีผลขาดทุนจำนวนมาก
การกระทำหรือการไม่กระทำการของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และคณะรัฐมนตรีเหล่านั้น ล้วนถือได้ว่า เป็นการกระทำหรือเป็นการตัดสินใจในทางนโยบายทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นการกระทำทางรัฐบาล อันมีผลทำให้สถานะทางกฎหมายของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่กระทำหรือไม่กระทำการในทางนโยบายทางการเมืองของรัฐบาลดังกล่าว
ย่อมอยู่ในฐานะของหัวหน้าคณะรัฐบาลในฝ่ายการเมือง ที่จะต้องรับผิดในส่วนที่เป็นความรับผิดทางการเมือง มิใช่สถานะของเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง
และย่อมจะไม่ถือว่า เป็น “เจ้าหน้าที่” ตามคํานิยามในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ที่จะต้องรับผิด อันเกิดจากการกระทำหรือไม่กระทำการในทางนโยบายทางการเมืองหรือการกระทำทางรัฐบาลในกรณีเหล่านั้น ตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
ประการสำคัญ เมื่อพิจารณาหน้าที่และอำนาจของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 153/2554 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ลงวันที่ 8 ก.ย.2554 และการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรี เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์กรกลุ่มในรูปแบบของคณะกรรมการ
การพิจารณาของคณะกรรมการ จะมีผลสมบูรณ์ในทางกฎหมายได้ ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น มีการนัดประชุมถูกต้อง มีการเปิดโอกาสให้กรรมการทุกคนได้แสดงความคิดเห็น กรรมการมาประชุมครบองค์ประชุม และมีมติถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
ดังนั้น มติของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ พร้อมมติของคณะรัฐมนตรี จึงเป็นมติขององค์กรกลุ่ม หาใช่เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จะต้องรับผิดแต่เพียงลำพังโดยส่วนตัวแต่อย่างใดไม่
ส่วนที่สอง เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวให้บรรลุผลตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 จะใช้อำนาจหรือร่วมใช้อำนาจตามกฎหมายในการออกกฎ คำสั่งทางปกครอง คำสั่งอื่น หรือการกระทำอื่นใดที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ในการจัดทำโครงการรับจำนำข้าว
รวมทั้งการละเลยต่อหน้าที ตามที่กฎหมายกําาหนดให้ต้องปฏิบัติ ในการออกกฎ หรือคำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือการละเลยต่อหน้าที่ไม่กระทำการอื่นใดในหน้าที่ราชการ ในการจัดทำโครงการรับจำนำข้าวดังกล่าว ย่อมถือได้ว่า เป็นการกระทำทางปกครอง
และผู้ฟ้องคดีที่ 1 ย่อมจะอยู่ในสถานะเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง ซึ่งถือได้ว่า เป็น “เจ้าหน้าที่” ตามคํานิยามในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่อาจจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 10วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
แต่เนื่องจากในช่วงระยะเวลา ทั้งก่อนและหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้รับแจ้งหรือรับทราบข้อมูลที่อาจจะมีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวแล้ว ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ซึ่งอยู่ในส่วนที่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครองและมีสถานะเป็น “เจ้าหน้าที่” ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการให้รับผิดชอบในการควบคุมกำกับและตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าว รวมทั้งสิ้นมากกว่า10 คณะ ยกตัวอย่างเช่น คำสั่งที่ 1/2554 ลงวันที่ 12 ก.ย.2554 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ด้านการผลิต....
อันเป็นกรณีที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะบุคคลให้รับผิดชอบการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด ทุกส่วนทุกขั้นตอนและทุกพื้นที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในทุกขั้นตอน และทุกพื้นที่ทั่วประเทศด้วย
อีกทั้งหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้รับทราบข้อมูลกรณีที่อาจจะมีการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) ของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวก ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ยังได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการตามคำสั่งที่ 5/2554 ลงวันที่ 12 ก.ย.2554 ให้ตรวจสอบกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว
รวมทั้งมีคำสั่งที่ 1/2556 ลงวันที่ 21 มิ.ย.2556 แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือขององค์การคลังสินค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงและให้แจ้งความหรือดำเนินการกับผู้ทุจริตเป็นการเฉพาะอีกด้วย (เอกสารในสํานวนของศาลปกครองชั้นต้น ลำดับที่ 2/11-2/35)
กรณีย่อมจะเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวดังกล่าว และย่อมไม่อาจจะถือได้ว่าผู้ฟ้องคดี จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการกระทำละเมิด ทำให้ทางราชการเสียหาย จากการละเลยไม่ป้องกันและแก้ไขการทุจริตตามที่ถูกกล่าวหา
ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 แจ้งหรือสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขหรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า อาจจะมีการทุจริตลักลอบนําข้าวเปลือกจากที่อื่นเข้ามาสวมสิทธิเกษตรกร จากนั้นผู้ฟ้องคดีที่ 1 กลับละเลยต่อหน้าที่ ในกรณีที่ไม่ได้ติดตามให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการแก้ไขปรับปรุง นั้น
เห็นว่า เนื่องจากการละเลยต่อหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 แต่เพียงแค่การที่ไม่ได้ติดตามให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการแก้ไข ปรับปรุงในลักษณะดังกล่าว ย่อมจะไม่ถือได้ว่า มีผลโดยตรงต่อความเสียหายของทางราชการที่เกิดจากข้าวเสื่อมคุณภาพ เพราะเก็บไว้นานและระบายออกไม่ทัน หรือไม่ได้มีผลโดยตรงต่อต่อความเสียหายของทางราชการที่เกิดจากการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57
กรณีย่อมไม่อาจจะถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 จงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงกระทำละเมิด ทำให้ทางราชการเสียหาย จากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีทั้ง 2 ปีการผลิตดังกล่าวเช่นเดียวกัน
การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และผู้ลงนามเพื่อใช้อำนาจออกคำสั่งที่พิพาทในกรณีนี้ได้ใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยในการวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57
ทั้งสองส่วนดังกล่าว เป็นการจงใจกระทำละเมิด ทำให้ทางราชการหรือผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) เสียหาย ย่อมเป็นการใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางกฎหมายตามมาตรา 4 และมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
นอกจากนี้ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ลับ ที่ 448/2558 ลงวันที่ 3 เม.ย.2558 และคำสั่งกระทรวงการคลัง ลับ ที่ 1824/2558 ลงวันที่ 30 ธ.ค.2558 ได้สรุปความเห็นว่า
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ กระทำโดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉย ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 จึงได้มีหนังสือบันทึกข้อความ ที่ กค 0415.5/ล.2310 ลงวันที่ 22 ก.ย.2559 เรื่อง แจ้งผลการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จงใจกระทำละเมิด เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้รับความเสียหาย
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 จึงมีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีจงใจกระทำละเมิด เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงนําคดี มาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีจงใจกระทำละเมิดดังกล่าว
ดังนั้น ประเด็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) ได้รับความเสียหายหรือไม่ จึงมิใช่ข้อพิพาทของคู่กรณี และมิใช่ประเด็นแห่งคดีที่จะขึ้นสู่การพิจารณาของศาล
@ดุลพินิจไม่สุจริตสั่งชดใช้‘จำนำข้าว’ เหตุ‘พล.อ.ประยุทธ์’กดดัน
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และผู้ลงนามเพื่อใช้อำนาจในการออกคำสั่งที่พิพาท เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย นั้น
เห็นว่า เนื่องจากข้อเท็จจริงในกรณีนี้ปรากฏว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี พ.ศ.2556 ได้เกิดการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนจำนวนมากที่ใช้ชื่อว่ากลุ่ม กปปส. เพื่อชุมนุมต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จนนําไปสู่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของผู้ฟ้องคดีที่ 1 อย่างต่อเนื่อง
ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 534-7/2557 ลงวันที่ 28 ม.ค.2557 ให้ไต่สวน ข้อเท็จจริงกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว จากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิด ทางอาญาผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในกรณีดังกล่าว
ทำให้ประเด็นการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมนําไปโจมตี และยกระดับการชุมนุมขึ้นในพื้นที่ต่างๆ อันมีผลทำให้เกิดความเห็นที่แตกแยกกันระหว่างกลุ่มผู้คัดค้านและกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และมีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น
จากนั้นภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคําวินิจฉัย ที่ 4/2557 ลงวันที่ 7 พ.ค.2557 ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 พ้นจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า ได้เข้าทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557
และภายหลังจากที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควบอีกตำแหน่งหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แล้ว
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะ รักษาความสงบแห่งชาติ และในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ให้สัมภาษณ์โจมตีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) หลายครั้งหลายคราว ในลักษณะที่เป็นการตอกย้ำที่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ จากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเป็นจำนวนมหาศาล
และจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่เข้าระงับยับยั้ง ด้วยการทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ (เอกสารในสํานวนของศาลแพ่งคดีหมายเลขดำที่ พ.5617/2559 ซึ่งโอนมาเป็นสํานวนคดีของศาลปกครองกลางคดีหมายเลขดำที่ 1732/2561)
และเพื่อให้ปรากฏผลการสอบสวนในทางแพ่ง ให้สอดคล้องหรือสนับสนุนเหตุผลความจําเป็นในการหารัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และนายสมหมาย ภาษี ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ร่วมกันมีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 448/2558 ลงวันที่ 3 เม.ย.2558 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เพื่อให้มีการสอบสวนและเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นการเฉพาะ
รวมทั้ง คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานกรรมการตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 172/2557 ลงวันที่ 5 มิ.ย.2557 ยังได้ให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด จากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในส่วนอื่นๆ รวม 6 คณะ
โดยในการประชุมคณะกรรมการ นบข. ครั้งที่ 3/2558 เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2558 ได้มีมติเร่งรัดให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เฉพาะชุดที่สอบสวนกรณีของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และชุดที่สอบสวนกรณีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวกรวม 21 คน จะต้องสอบสวนให้แล้วเสร็จและรายงานผลการสอบสวนให้แก่กรมบัญชีกลางภายในเดือน ส.ค.2558 เพื่อให้ทันส่งฟ้องแพ่งภายใน 1 ปี ในเดือน ก.พ.2559
และแม้ว่าที่ปรึกษางานการพาณิชย์ ภายในประเทศได้เสนอข้อสังเกตว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด อาจยังไม่มีประสบการณ์เรื่องข้าว ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจค่อนข้างมาก และผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า การทำงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด จะมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดก็ตาม
แต่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า หน้าที่ของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด คือ ประเมินความเสียหายและนําส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง ไม่ต้องพิจารณาประเด็นยุติธรรม แต่ต้องพยายามดำเนินการให้ทันกรอบเวลาการส่งฟ้อง มิฉะนั้น จะถือว่า เป็นความบกพร่องของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และกระทรวงพาณิชย์ (เอกสารในสํานวนคดีของศาลปกครองชั้นต้น ลำดับที่ 75/11)
อันเป็นกรณี ที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กำหนดธงคําตอบไว้ล่วงหน้า และกดดันให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด จะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการยื่นฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายจากผู้ฟ้องคดีที่ 1 ให้ได้ภายในเดือน ก.พ.2559 โดยไม่ต้องพิจารณาหรือคำนึงถึงความยุติธรรมหรือหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
พร้อมทั้งได้กล่าวคาดโทษในลักษณะที่ว่า หากไม่ดำเนินการจะถือเป็นความบกพร่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ถูกกดดันให้ทำการสอบสวนและพิจารณา เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ทางการเมืองของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการจะให้ผลการสอบสวน และพิจารณาความรับผิดทางละเมิด เป็นหลักฐานที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 จงใจทำให้ทางราชการ เสียหายจำนวนมหาศาล
อันจะเป็นการสนับสนุนเหตุผลความจําเป็น ที่จะต้องมีการทำการรัฐประหาร ดังที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อสารมวลชนหลายครั้งหลายคราวตลอดมา
และโดยที่ในช่วงระยะเวลานั้น คณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีอำนาจต่อไป ตามมาตรา 42 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีการใช้อำนาจที่แสดงให้เห็นว่า มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่จะมีคำสั่งย้ายหรือลงโทษหรือให้ข้าราชการ พ้นจากตำแหน่งอย่างไรก็ได้
พร้อมทั้งมีการกำหนดบทบัญญัติมาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เพื่อจะรับรองคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ไม่ว่าจะออกก่อนหรือหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญดังกล่าว ให้เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด
ทำให้แม้แต่อัยการสูงสุดที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของสำนักงานอัยการสูงสุด และเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดของพนักงานอัยการทั้งประเทศ ยังถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งอัยการสูงสุดตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2557 ลงวันที่ 27 มิ.ย.2557 (มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 /ตอนพิเศษ 125 ง/หน้า 10 /4 ก.ค.2557)
และยังมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติอีกหลายฉบับ ที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายหรือให้ข้าราชการพ้นจากตำแหน่งเป็นจำนวนมาก ทั้งก่อนและหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
โดยมิได้มีการคำนึงถึงหรือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายตามข้อ 4 ของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 5/2557 ลงวันที่ 22 พ.ค.2557 หรือตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ประกอบบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ว่าด้วยระเบียบ ข้าราชการที่ใช้บังคับกับข้าราชการเหล่านั้น
อีกทั้งเพื่อให้ผู้มีอำนาจลงนามในคำสั่ง ที่จะสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ปฏิบัติตามความประสงค์ทางการเมือง หรือตามธงคําตอบที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าดังกล่าว
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยังได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ ที่ 56/2559 ลงวันที่ 13 ก.ย.2559 กําหนดให้บุคคล คณะบุคคล คณะทำงาน คณะกรรมการ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมาย ให้ดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิดในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต 2548/49 จนถึงปีการผลิต 2556/57 ได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัยตามข้อ 3 วรรคสอง ประกอบข้ออื่นๆ ในคำสั่งดังกล่าว (มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา 133 /ตอนพิเศษ 205 ง/หน้า 21/13 ก.ย.2554)
กรณีย่อมมีผลทำให้ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และผู้ลงนามเพื่อใช้อำนาจในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ จําเป็นที่จะต้องพิจารณาและใช้ดุลพินิจวินิจฉัยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยไม่ต้องพิจารณาหรือคำนึงถึงความยุติธรรม หรือคำนึงถึงหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทางการเมืองของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กำหนดสั่งการและคาดโทษไว้ในที่ประชุมของคณะกรรมการ กบข. ครั้งที่ 3/2558 ดังกล่าว
การใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และของผู้ลงนามเพื่อใช้อำนาจในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ ที่ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย หากแต่เป็นการใช้อำนาจดุลพินิจ วินิจฉัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทางการเมืองเช่นว่านั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่สุจริต และเป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (โดยนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการแทน นายกรัฐมนตรี) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (โดยนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559
ที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 35,717,273,028.23 บาท ซึ่งเป็นคำสั่งที่เกิดจากการใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์กฎหมาย อันถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่สุจริต ดังที่ได้วินิจฉัยไปแล้ว
จึงเป็นคำสั่งทางกฎหมาย และเกิดจากการใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อันถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่สุจริต ดังที่ได้วินิจฉัยไปแล้ว จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
@คําพิพากษา‘คดีอาญา’ ไม่มีผูกพันชดใช้ค่าเสียหาย‘จำนำข้าว’
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าอุทธรณ์ว่า เมื่อคดีอาญาตามคําพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม. 22/2558 หมายเลขแดงที่ อม. 211/2560 ได้พิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในคดีนี้ ซึ่งเป็นจําเลยในคดีดังกล่าว
มีความผิดทางอาญาในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 อันเป็นความผิดทางอาญาตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 123/1 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 พร้อมทั้งมีคําพิพากษาให้จําคุกผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเวลา 5 ปี
ข้อเท็จจริงและผลแห่งคําพิพากษา ทางอาญาดังกล่าว ย่อมเป็นที่สุดและผูกพันผู้ฟ้องคดีที่ 1 รวมทั้งผูกพันศาลในคดีนี้ที่จะต้องถือข้อเท็จจริงตามคําพิพากษาคดีในส่วนอาญาตามมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา ซึ่งเป็นไปตามหลัก Final judgment หลัก Res judicata และหลักกฎหมายปิดปากหรือ Estoppel นั้น
เห็นว่า เนื่องจากประเด็นแห่งคดีของคดีอาญาดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยเกี่ยวกับความผิดทางอาญาตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 123/1 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554
ส่วนประเด็นแห่งคดีของคดีนี้ เป็นการวินิจฉัยเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งทางปกครองที่ให้เจ้าหน้าที่รับผิดทางละเมิดตามมาตรา 4 และมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิด ทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ซึ่งการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามบทบัญญัติของกฎหมายในแต่ละคดีดังกล่าว
ย่อมจะต้องวินิจฉัยไปตามองค์ประกอบหรือหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย นิติวิธี และตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่แตกต่างกัน แล้วแต่กรณี ผลแห่งคําพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว ย่อมจะไม่มีผลผูกพันต่อการพิจารณาพิพากษาในคดีนี้
ศาลปกครองในคดีนี้ ย่อมจะรับฟังคําพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว เป็นเพียงพยานหลักฐานชิ้นหนึ่ง ในสํานวนคดีนี้เท่านั้น ซึ่งย่อมมีผลทำให้ศาลปกครองในคดีนี้ จะต้องรับฟังคําพิพากษาในคดีอาญาที่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งในสํานวนคดีประกอบกับพยานหลักฐานอื่นๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในสํานวนคดีนี้ด้วย
รวมทั้งจะต้องนําข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ตามพยานหลักฐานในสํานวนคดีทั้งหมดดังกล่าว เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาหรือปรับบทเข้ากับบทบัญญัติ แห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เป็นการเฉพาะ อันเป็นบทกฎหมายที่แตกต่างกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายในคดีอาญาดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ส่วนคําอุทธรณ์ในประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้า นั้น เห็นว่า เนื่องจากไม่ได้มีผลจะทำให้คำสั่งทางปกครองซึ่งเป็นวัตถุแห่งคดีนี้ อันเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะฟื้นกลับเป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายไปได้ และไม่ได้มีผลจะทำให้ผลแห่งคําพิพากษาในคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป กรณีจึงไม่จําเป็นที่จะต้องวินิจฉัยคําอุทธรณ์ในประเด็นปลีกย่อยเหล่านั้นอีก คําอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าในคดีที่หนึ่ง จึงฟังไม่ขึ้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคําพิพากษาในส่วนของคดีที่หนึ่ง ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.คง2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป นั้น ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยเห็นพ้องด้วยในผล
@ต้องคืนทรัพย์สินที่‘ยึด-อายัด’ไว้ให้แก่‘ยิ่งลักษณ์’
คดีที่สอง มีประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (นายกรัฐมนตรี) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (รมว.คลัง) ได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) อันเกิดจากการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดทางละเมิด ที่ออกเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยไม่สุจริต
และคณะกรรมการดังกล่าวได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 อันเกิดจากการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดและมีความเห็นที่เป็นการใช้อำนาจโดยไม่สุจริต เพื่อให้เป็นไปตามการชี้นําหรือการกดดันของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าหากกระทำละเมิด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 หรือไม่ เพียงใด
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เนื่องจากประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหาแห่งคดีของคดีที่สองดังกล่าวข้างต้น ศาลปกครองกลางได้มีคําพิพากษายกฟ้อง และผู้ฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ไม่ได้มีการยื่นอุทธรณ์โต้แย้ง คําพิพากษาของศาลปกครองกลาง กรณีย่อมเป็นที่ยุติตามคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
คดีที่สาม มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 8 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9 ใช้มาตรการบังคับทางปกครองในการยึดอายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อนําเงินไปชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทางราชการ ตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 เป็นการกระทำหรือ เป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เนื่องจากได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีของคดีที่หนึ่ง ตามคดี หมายเลขดำที่ 1996/2559 หมายเลขแดงที่ 460/2564 (ในสํานวนคดีที่หนึ่ง) แล้วว่า คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 35,717,273,028.23 ซึ่งเป็นฐานในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองในกรณีนี้ เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 8 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9 ใช้มาตรการบังคับทางปกครองในการยึดอายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อนําเงินไปชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการกระทำหรือเป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และย่อมมีผลทำให้ประกาศและคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามทุกฉบับ ที่ออกในขั้นตอนการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง และเป็นส่วนหนึ่งของการใช้มาตรการบังคับทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว เป็นประกาศและคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน คําอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าในคดีที่สาม จึงฟังไม่ขึ้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคําพิพากษาในส่วนของคดีที่สาม ให้เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใดๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9 ที่มีคำสั่ง ประกาศ หรือการดำเนินการใดๆ ในการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด
อันเป็นการบังคับตามมาตรการทางปกครองตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป นั้น ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยเห็นพ้องด้วยในผล
คดีที่สี่ มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี อันเกิดจากการใช้มาตรการบังคับทางปกครองในการยึดอายัดเพื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1
โดยมีหนังสือแจ้งคําปฏิเสธที่จะกันส่วนทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ออกจากทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่ถูกยึดอายัดและขายทอดตลาด ให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 หรือไม่ ถ้าหากเป็นการกระทำละเมิด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 จะต้องกระทำการด้วยการกันส่วนทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ตามคําร้องขอของผู้ฟ้องคดีที่ 2 หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เนื่องจากได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีของสํานวนคดีที่หนึ่ง ตามคดีหมายเลขดำที่ 1996/2559 หมายเลขแดงที่ 460/2564 (ในสํานวนคดีที่หนึ่ง) แล้วว่าคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 35,717,273,028.23 บาท ซึ่งเป็นฐานในการใช้มาตรการ บังคับทางปกครองในกรณีนี้ เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น การใช้มาตรการบังคับทางปกครองในการยึดอายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อนําเงินไปชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการกระทำหรือเป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และย่อมมีผลทำให้คําปฏิเสธหรือหนังสือแจ้งคําปฏิเสธของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ออกโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ที่ปฏิเสธการกันส่วนทรัพย์สินผู้ฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นส่วนหนึ่งของการใช้มาตรการบังคับทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมเป็นคําปฏิเสธหรือหนังสือแจ้งคําปฏิเสธที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
ส่วนคำขอท้ายฟ้องของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 กันส่วนทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ออกจากทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 นั้น
เห็นว่า เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะต้องคืนทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่เคยยึดอายัดไว้ ทั้งหมดให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อให้เป็นไปตามคําพิพากษาในคดีที่สามอยู่แล้ว ซึ่งย่อมจะมีผลทำให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ได้รับคืนทรัพย์สินตามที่กล่าวอ้างไปด้วย ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่ศาลไม่ต้องกำหนดคําบังคับตามคําขอท้ายฟ้องของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ดังกล่าวอีก คําอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดี ทั้งเก้าในคดีที่สี่ ฟังไม่ขึ้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคําพิพากษาในส่วนของคดีที่สี่ ให้เพิกถอนคำสั่ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ตามหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค 0206/ล 2174 ลงวันที่ 30 ส.ค.2562 เรื่อง คําร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของร่วม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป นั้น ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อยเห็นพ้องด้วยในผล
“โดยสรุป ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย เห็นว่าทั้ง 4 คดีนี้ ศาลปกครองสูงสุดควรพิพากษายืนตามคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น” ความเห็นแย้งของตุลาการศาลปกครองสูงสุดเสียงข้างน้อย ในคดี อผ.163-166/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568 รายนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ระบุ
เหล่านี้เป็น ‘คำเห็นแย้ง’ ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่าย ‘เสียงข้างน้อย’ ในคดีชดใช้ค่าเสียหายในโครงการจำนำข้าวเปลือก ซึ่งเห็นว่าคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมฯ 3.5 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เนื่องจาก ‘คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด’ ไม่ได้ใช้ ‘ดุลพินิจโดยไม่สุจริต’ แต่ใช้อำนาจดุลพินิจวินิจฉัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทางการเมือง ตามที่ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 'กดดัน' เพื่อให้เป็นไปตาม ‘ธงคําตอบ’ ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า?
อ่านเพิ่มเติม :
ความเห็นแย้ง'ตุลาการเสียงข้างน้อย'(3)'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้ 5%หลังหักส่วนหน่วยงานรัฐ‘บกพร่อง’
ความเห็นแย้ง'ตุลาการเสียงข้างน้อย'(2) นายกฯ'รับผิดชอบทุกเรื่อง' อาจเป็นปัญหาบริหารราชการ
ความเห็นแย้ง'ตุลาการเสียงข้างน้อย'(1) ทุจริต'จีทูจี'เกิดจาก'จนท.'-'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้ 20%
ฉบับเต็ม! คดีประวัติศาสตร์ ศาลฯสั่ง'ยิ่งลักษณ์'ชดใช้หมื่นล. เพิกเฉยทุจริตขาย'ข้าวจีทูจี’
ไขเหตุผล ‘ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปค.สูงสุด’ พิพากษา ยิ่งลักษณ์ ชดใช้จำนำข้าว 10,028 ล.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร : ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยุติธรรมแล้วหรือ? บทสรุปที่เจ็บปวดที่สุด
‘ศาลปค.สูงสุด’นัดตัดสินคดี‘ยิ่งลักษณ์’ฟ้องเพิกถอนคำสั่งชดใช้‘จำนำข้าว’3.5 หมื่นล.22 พ.ค.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา