
“…หลังจากนั้น ได้พาจำเลยที่ 5 (นายเกียรติขจร แซ่ไต่) เจ้าหน้าที่ขององค์การคลังสินค้า... จำเลยที่ 6 และหญิงไม่ทราบชื่อมาพบจำเลยที่ 3 ณ สำนักงานที่อำเภอบางเลน พูดคุยว่า จะมาขอซื้อถุงมือยาง...จำเลยที่ 3 คิดเงินมัดจำ โดยการนำจำนวน 500 ล้านกล่อง คูณราคา 255 ได้จำนวนเท่าใด จำเลยที่ 3 ขอ 10 เปอร์เซ็นต์ จึงมีการต่อรองกันได้ที่ 2,000 ล้านบาท จำเลยที่ 3 เห็นเป็นจำนวนเหมาะสมที่จะเข้าทำสัญญา..."
............................................
จากกรณีที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 (ศาลชั้นต้น) มีคำพิพากษายกฟ้องคดีกล่าวหา พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง องค์การคลังสินค้า (อคส.) ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) และพวก รวม 21 คน กรณี อคส. จัดซื้อถุงมือยาง โดยจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท
ขณะที่ล่าสุดอัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 ยังอยู่ระหว่างการจัดทำคำอุทธรณ์ เพื่อยื่นต่อศาลฯ นั้น (อ่านประกอบ : ฉบับเต็ม! ยกฟ้องคดี‘ถุงมือยาง’ ไม่ปรากฏใช้‘ดุลพินิจ’ทำเสียหาย-มัดจำ 2 พันล.ไม่เสียเปรียบ)
อย่างไรก็ดี ในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ (คดีหมายเลขดำที่ อท 77/2567 คดีหมายเลขดำที่ อท 44/2568) นายกำจัด พ่วงสวัสดิ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้ทำความเห็นแย้งในคดีดังกล่าว เป็นเอกสารความยาว 41 หน้ากระดาษ
โดยในตอนแรกนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอความเห็นแย้งของนายกำจัด เกี่ยวกับความสำคัญของคดีนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะที่มี ‘ความเสียหายใหญ่หลวง’ กว่า 2,000 ล้านบาท ที่สำคัญมีการกล่าวอ้างถึงข้อมูลของ ‘จำเลย’ ในคดีนี้ด้วย โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@คดีเกี่ยวข้อง‘ปย.สาธารณะ’-ความเสียหาย‘ใหญ่หลวง’
ความเห็นแย้งคดีหมายเลขดำที่ อท. 77/2567 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 วันที่ 20 พ.ค.2568 ราย นายกำจัด พ่วงสวัสดิ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 (ตอนที่ 1)
โจทก์
อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 โจทก์
จำเลย
พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ที่ 1
บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ที่ 2
นายธณรัสย์ หัดศรี ที่ 3
นายสุชาติ เตชจักรเสมา ที่ 4
นายเกียรติขจร แซ่ไต่ ที่ 5
นายศรายุทธ สายคำมี ที่ 6
นางสาวปิยาภรณ์ รอดเจริญ ที่ 7
นางสาวพิชญศรส์ เศวตศุภวัฒณ์ ที่ 8
นางสาวกันตา สิงห์ศักติ ที่ 9
นายอัยวัฏฐ์ เศวตนริทร์ ที่ 10
นางสาวสุภาวดี เอกรัตนากุล หรือ จักรบดินร์ ที่ 11
นายชิเนนทรธรณ์ หรือ ชเนนทร เลิศพิพัฒน์ ที่ 12
นายก้องหล้า มฤคพิทักษ์ ที่ 13
นางเฟื่องฟ้า วงศ์สินศิริกุล ที่ 14
นายอับดุลลา ปาทาน ที่ 15
นายราชาทีปซิงห์ ยอน ที่ 16
นางฉันทิศา หวง ที่ 17
บริษัท ไทย สไมล์ เทรด จำกัด ที่ 18
ร้อยตารวจเอกนพฤทธิ์ หรือณรภัทร สุขแจ่ม ที่ 19
นางนรากร รมศรี ที่ 20
นางปณาลี บุรณศิริ ที่ 21
ข้าพเจ้า (นายกำจัด พ่วงสวัสดิ์) ได้ตรวจสำนวนแล้ว ในเบื้องต้นเห็นสมควรกล่าวก่อนว่า ความสุจริตเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญยิ่งในปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมอันจำต้องดำรงรักษาไว้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซึ่งอยู่ในตำแหน่ง/สถานะผู้มีอานาจหน้าที่ เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ และ/หรือบุคคลผู้มีผลประโยชน์ส่วนได้เสีย เป็นปฏิปักษ์คู่ตรงข้ามต่อกัน หรือระหว่างฝ่ายที่มีผลประโยชน์ส่วนได้เสียร่วมกัน เช่น คู่ความในคดี
โดยฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย ต่างก็อยู่ภายใต้หลักแห่งความสุจริตอย่างเท่าเทียมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งนี้ เนื่องจากความสุจริต เป็นโครงคานรากฐานแก่นแกน ยึดโยงปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ ในสังคม เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของประชาชน
สำหรับคดีนี้ เป็นคดีเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะความเสียหายใหญ่หลวง คือ
1) เงินล่วงหน้าตามสัญญาที่องค์การคลังสินค้าจ่ายให้แก่จำเลยที่ 2 (บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด) โดยมิชอบ 2,000,000,000 บาท และ 2) ดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ถอนเงินฝาก จากบัญชีองค์การคลังสินค้าก่อนกำหนด เพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมิชอบ หากฝากครบกำหนดจะได้รับดอกเบี้ย 3,770,491.80 บาท
หลักสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะ (Bona Fide Public Interest) จึงเป็นข้อพิจารณาอันมีความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยในช่วงวันเวลาเกิดเหตุต้นเดือน ก.ค.2563 ถึงเดือน ก.ย.2563 จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ถึงจำเลยที่ 17 จำเลยที่ 19 ถึงจำเลยที่ 21 ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่มีวัยวุฒิบรรลุนิติภาวะในวัยกลางคนและอาชีพการงาน ดังนี้
จำเลยที่ 1 (พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์) อายุ 56 ปี วุฒิการศึกษา พัฒนบริหารศาสตร์มหาบัณฑิต ทางรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะลาออกจากข้าราชการตำรวจ เพื่อมารับการบรรจุแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดี องค์การคลังสินค้า เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2560 จำเลยที่ 1 รับราชการตำรวจในตำแหน่งผู้กำกับการ (สอบสวน) กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล
หลังจากนั้น วันที่ 1 ต.ค.2562 ก็ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า โดยมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า
จำเลยที่ 3 (นายธณรัสย์ หัดศรี) (ชื่อเล่น เอ็ม) อายุ 38 ปี ในฐานะส่วนตัวและกรรมการบริษัท จำเลยที่ 2 (บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด) ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2564 สรุปได้ว่า
จำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาและพักอาศัย ตามที่อยู่ เลขที่ .... หมู่... ต.นราภิรมย์ อ.บางเลน จ.นครปฐม จบการศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาอิเล็กทรอนิกส์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ปัจจุบันจำเลยที่ 3 ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว
ก่อนหน้านี้ ในปี 2552 จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการของบริษัท ไลฟท์ เทคโนโลยี่ จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจไฟเบอร์ออฟติกและอุปกรณ์ไอที ต่อมาจำเลยที่ 3 จดทะเบียนเลิกบริษัทนานหลายปีแล้ว เนื่องจากศักยภาพของจำเลยที่ 3 ไม่เพียงพอจะทำธุรกิจนี้
หลังจากนั้น จำเลยที่ 3 ประกอบอาชีพอื่น โดยเป็นลูกจ้างของผู้อื่นอีกหลายอาชีพ เช่น ชิปปิ้ง (นำเข้าอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดจากประเทศจีน เวียดนาม มาเลเซีย) เกสต์เฮาส์ (เอมี่ ตั้งอยู่ที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ขายฝากให้แก่บุคคลอื่น แต่ปัจจุบันหลุดจากการขายฝากไปแล้ว) และสถานบันเทิง เป็นต้น
จำเลยที่ 3 ออกจากเรือนจำ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2562 จำเลยที่ 3 เคยเดินทางไปหลายประเทศเท่าที่จำได้ และทำให้จำเลยที่ 3 มีประสบการณ์ด้านถุงมือยาง คือ ฟิลิปปินส์ ประกอบกับเป็นช่วงเวลาเกิดสถานการณ์โควิด-19 จำเลยที่ 3 เห็นช่องทางว่า ถุงมือยางเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านต้องมี
จึงไปหารือกับนาย พ. เพื่อนจำเลยที่ 3 ที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งจำเลยที่ 3 รู้จักจากเพื่อนของจำเลยที่ 3 อีกทอดหนึ่ง และนายจักรกฤษ (จำนามสกุลไม่ได้) ซึ่งจำเลยที่ 3 พบในวงการทำธุรกิจฆ่าหมู และแนะนำให้รู้จักกับจำเลยที่ 7 (นางสาวปิยาภรณ์ รอดเจริญ) เจ้าของบริษัท เมดิน่า แอนด์ ซัพพลาย จากัด ซึ่งต่อมาเป็นภริยาของจำเลยที่ 3
ขณะนั้นจำเลยที่ 3 ยังไม่ได้ตัดสินใจจะจัดตั้งบริษัท หลังจากผ่านไป 3 วัน จำเลยที่ 3 ติดต่อเพื่อนในต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชัน WhatsApp และโปรแกรมแชท Zalo ในเดือน มิ.ย.2563 จำเลยที่ 3 ทะเบียนจัดตั้งบริษัทร่วมกับนาย พ. และนายจักรกฤษ ด้วยทุนจดทะเบียนครั้งแรก 5,000,000 บาท
แต่จำเลยที่ 3 ไม่ได้มีทุนจริง เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ว่า มีทุนจริงหรือไม่ ในการประกอบธุรกิจ จำเลยที่ 3 ยืมเงินประมาณ 2 ล้านบาทเศษ จากมารดา ผู้ประกอบอาชีพค้าขายตามอาหารสั่ง ตามที่อยู่ของจำเลยที่ 3 และน้องสาว ชื่อ นางสาว อ. ผู้ประกอบอาชีพรับราชการครูที่โรงเรียน... โดยทยอยยืมเงินสดหลายครั้ง
จำเลยที่ 3 นำเงินก้อนแรก ไปซื้อที่ตั้งสำนักงานปัจจุบัน ที่อำเภอบางเลน โดยชำระงวดแรก 1,000,000 บาท หลังจากนั้น จำเลยที่ 3 ชำระราคาส่วนที่เหลือครบถ้วน แต่จำราคาซื้อขายไม่ได้ และปัจจุบันโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 (บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด) แล้ว ส่วนเงินที่เหลือจำเลยที่ 3 ใช้หมุนเวียนในการประกอบกิจการของจำเลยที่ 2
@‘อคส.’โอนมัดจำ‘ถุงมือยาง’2 พันล.ให้‘การ์เดียนโกลฟส์’
หลังจากจัดตั้งจำเลยที่ 2 (บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด) เสร็จสิ้น จำเลยที่ 3 เริ่มเข้าสู่ธุรกิจถุงมือยาง โดยซื้อมาขายไป และขายครั้งแรกให้แก่คุณกุ้ง ไม่ทราบชื่อ-สกุล จำเลยที่ 3 ทราบว่า เป็นนายหน้า โดยคุณบอม ไม่ทราบชื่อ-สกุล เป็นผู้แนะนำ จำเลยที่ 3 เคยซื้อขายกับคุณกุ้งและคุณบอม มาก่อนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
โดยจำเลยที่ 3 ประกอบธุรกิจนามบุคคลธรรมดา ซึ่งจำเลยที่ 3 ซื้อของมาจากบริษัทอื่น (จำเลยที่ 3 ขอไม่บอกชื่อบริษัท ทว่ามีมูลน่าเชื่อว่าเป็นบริษัท เมดิน่า แอนด์ ซัพพลาย จากัด ของจำเลยที่ 7 ภริยาของจำเลยที่ 3) เมื่อจำเลยที่ 3 ขายต่อไป จะขายในลักษณะของชาวบ้าน คือ ไม่มีการออกบิล หากมีบุคคลใดนำเงินมาให้ จำเลยที่ 3 ก็ให้สินค้าไป
จำเลยที่ 2 เข้ามาทำสัญญากับองค์การคลังสินค้า เนื่องจากจำเลยที่ 8 (นางสาวพิชญศรส์ เศวตศุภวัฒณ์) กับจำเลยที่ 9 (นางสาวกันตา สิงห์ศักติ) ฝ่ายขายของบริษัท เมดิน่า แอนด์ ซัพพลาย จำกัด เป็นผู้เสนอว่า มีหน่วยราชการประสงค์ทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง ซึ่งทราบภายหลังว่า เป็น ‘องค์การคลังสินค้า’
จากนั้นจำเลยที่ 3 แจ้งว่า ถ้ามีจริงให้ลองนำเข้ามาคุย และนัดจำเลยที่ 8 กับจำเลยที่ 9 มาคุยที่สำนักงาน โดยพาจำเลยที่ 6 (นายศรายุทธ สายคำมี) เข้ามาแนะนำว่า เป็นทีมงานของจำเลยที่ 8 กับจำเลยที่ 9
หลังจากนั้น ได้พาจำเลยที่ 5 (นายเกียรติขจร แซ่ไต่) เจ้าหน้าที่ขององค์การคลังสินค้า จำเลยที่ 6 และหญิงไม่ทราบชื่อมาพบจำเลยที่ 3 ณ สำนักงานที่อำเภอบางเลน พูดคุยว่า จะมาขอซื้อถุงมือยาง
จำเลยที่ 3 ถามความต้องการเกี่ยวกับปริมาณ จำนวนราคา ขั้นตอน การส่งเงินมัดจำ ซึ่งตอนแรกแจ้งจำเลยที่ 3 ว่า ต้องการ 500 ล้านกล่อง ราคากล่องละ 225 บาท
จำเลยที่ 3 คิดเงินมัดจำ โดยการนำจำนวน 500 ล้านกล่อง คูณราคา 255 ได้จำนวนเท่าใด จำเลยที่ 3 ขอ 10 เปอร์เซ็นต์ จึงมีการต่อรองกันได้ที่ 2,000 ล้านบาท จำเลยที่ 3 เห็นเป็นจำนวนเหมาะสมที่จะเข้าทำสัญญา
ภายหลังทำสัญญาและองค์การคลังสินค้าโอนเงินมัดจำ 2,000 ล้านบาท จำเลยที่ 2 (บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด) จ่ายเงินค่านายหน้าให้แก่ทีมนายหน้า 5 เปอร์เซ็นต์ของเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งจำเลยที่ 8 รับในนามบริษัท วีอาร์ โปรไวเดอร์ จำกัด 2 เปอร์เซ็นต์ จำนวนเงิน 40,000,000 บาท (ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย)
จำเลยที่ 9 จำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ จำนวนเงิน 40,000,000 บาท (ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย) และจำเลยที่ 6 จำนวน 1 เปอร์เซ็นต์ จำนวนเงิน 20,000,000 บาท (ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย) จำเลยที่ 2 หักค่าภาษี ณ ที่จ่ายและขอหลักฐานการรับเงิน เพื่อให้ทราบว่าบุคคลใดรับเงินค่านายหน้าไปบ้าง
ต่อมาจำเลยที่ 5 (นายเกียรติขจร แซ่ไต่) นัดหมายจำเลยที่ 3 (นายธณรัสย์ หัดศรี) ไปยังองค์การคลังสินค้าเพื่อร่วมร่างสัญญา จำเลยที่ 3 พบจำเลยที่ 1 (พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์) แต่วันนั้นยังไม่ได้มีการลงนามสัญญา โดยจำเลยที่ 3 เดินทางไปพร้อมจำเลยที่ 8 กับจำเลยที่ 9 ส่วนฝ่ายองค์การคลังสินค้า มีจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 1 รวมทั้งจำเลยที่ 6
หลังจากนั้น จำเลยที่ 5 นัดหมายจำเลยที่ 3 ไปลงนามสัญญาที่องค์การคลังสินค้า โดยฝ่ายองค์การคลังสินค้ามีจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5 และฝ่ายจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 6 ถึงจำเลยที่ 9 ในการส่งมอบถุงมือยางให้แก่องค์การคลังสินค้า จำเลยที่ 3 คิดว่า จะนำถุงมือยางมาส่งมอบ โดยการสั่งซื้อจากบริษัท ศรีตรัง และบริษัท ซันไทย
@นำเงิน‘มัดจำ’สั่งซื้อ‘ถุงมือยาง-ที่ดิน-จ้างเหมาก่อสร้างฯ’
หลังจากมีการจ่ายเงินมัดจำให้แก่จำเลยที่ 2 (บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด) จำเลยที่ 3 (นายธณรัสย์ หัดศรี) ได้นำเงินไปดำเนินการดังนี้
1.สั่งซื้อสินค้าจากประเทศเวียดนาม บริษัท REVOLUSNINE COMPANY LIMITED จำนวน 9,500,00 เหรียญสหรัฐอเมริกา โดยโอนจ่ายไปต่างประเทศจากบัญชีจำเลยที่ 2
2.สั่งซื้อสินค้าจากบริษัท แฮปปี้แฮนด์ จำกัด จำราคาไม่ได้ เป็นคู่ค้าของบริษัท เมดิน่า แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ซึ่งจำเลยที่ 2 ซื้อถุงมือยางจากบริษัท เมดิน่า อีกทอดหนึ่ง
3.สั่งซื้อสินค้าจากบริษัท แฮปปี้แคร์ จำกัด จำราคาไม่ได้ เป็นคู่ค้าของบริษัท เมดิน่า แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ซึ่งจำเลยที่ 2 ซื้อถุงมือยางจากบริษัท เมดิน่า อีกทอดหนึ่ง
4.ทำสัญญาจ้างเหมากับบริษัท วิโป เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จำนวน 42,303,456.87 บาท
5.ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับบริษัท คอนสตรัคชั่น เอซ จำกัด จำนวน 434,111,840 บาท
6.ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท เจริญ เมกเกอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จำนวน 2 สัญญา โดยสัญญาที่ 1 จ่ายงวดแรกไป 109,384,868.32 บาท สัญญาที่ 2 จ่ายงวดแรกไป 109,384,868.21 บาท
7.ทำสัญญาซื้อขายกับบริษัท บริการพลังงานไอน้ำ จำกัด จำนวน 1 สัญญา โดยชำระงวดที่ 1 จำนวน 50,576,760 บาท และสัญญาว่าจ้างกับบริษัท บริการพลังงานไอน้ำ จำกัด โดยชำระงวดที่ 1 จำนวน 7,503,182.40 บาท
8.ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด รวมจำนวน 97,367,500 บาท
9.ทำสัญญาจ้างงานกับห้างหุ้นส่วนจากัด กิตติชัยอุตสาหกรรมหาดใหญ่ โดยชำระงวดที่ 1 จำนวน 10,760,476.40 บาท
10.เงินเดือนพนักงานของจำเลยที่ 2 เดือน พ.ย.2563 รวม 197,708 บาท
จำเลยที่ 3 รู้จักนาย ป. ก่อนจัดตั้งจำเลยที่ 2 (บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด) เนื่องจากเพื่อนของนาย พ. ชื่อป้อม เป็นผู้แนะนำ โดยนาย ป. มีความรู้เกี่ยวกับถุงมือยาง จึงเป็นที่ปรึกษาจำเลยที่ 3 ในการทำธุรกิจ โดยจำเลยที่ 3 ให้นาย ป.ยืมเงินเป็นครั้งคราว โดยจำได้ว่าไม่ถึง 5 ล้านบาท
และปัจจุบันจำเลยที่ 3 ยังพูดคุยกับนาย ป.อยู่เป็นประจำ จำเลยที่ 3 ไม่เคยคิดเอาเงินที่ให้นาย ป. ยืมไปคืนมา โดยเงินดังกล่าวมีทั้งจากเงินในบัญชีส่วนตัวและบัญชีจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 4 (นายสุชาติ เตชจักรเสมา) อายุ 61 ปี ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.2563
จำเลยที่ 5 (นายเกียรติขจร แซ่ไต่) อายุ 42 ปี ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนงานการตลาดดิจิตอล รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักการขายและจัดจำหน่าย องค์การคลังสินค้า ตั้งแต่เดือน ต.ค.2562
@‘จำเลย’ส่วนใหญ่ไม่เคยเป็น‘นายหน้า’ซื้อขาย‘ถุงมือยาง’มาก่อน
จำเลยที่ 6 (นายศรายุทธ สายคำมี) (ชื่อเล่น เอี่ยว) อายุ 53 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยทางานเป็นสื่อมวลชนของหนังสือพิมพ์แนวหน้า สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ในตำแหน่งบรรณาธิการข่าวการเมือง
ตำแหน่งสุดท้าย คือ ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหารฝ่ายการเมืองและความมั่นคงของสำนักข่าวเนชั่น หลังจากนั้นทำอาชีพนายหน้าค้าขายอสังหาริมทรัพย์และเกษตรกร (ปลูกหญ้าเนเปียเพื่อเลี้ยงสัตว์และค้าขายปุ๋ย)
จำเลยที่ 7 (นางสาวปิยาภรณ์ รอดเจริญ) อายุ 39 ปี ภริยาของจำเลยที่ 3 (นายธณรัสย์ หัดศรี) และเป็นเจ้าของบริษัท เมดิน่า แอนด์ ซัพพลาย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2562 เดิมทุนจดทะเบียนกำหนดเป็นเงิน 1,000,000 บาท
แต่ต่อมา วันที่ 21 ก.ย.2563 (หลังจากที่องค์การคลังสินค้าจ่ายเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว เมื่อวันพุธที่ 2 ก.ย.2563 บริษัท เมดิน่า แอนด์ ซัพพลาย จากัด ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นเงิน 4,000,000 บาท)
จำเลยที่ 8 (นางสาวพิชญศรส์ เศวตศุภวัฒณ์) (ชื่อเล่น รุ่งหรือเต้) อายุ 41 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แล้วทำงานเกี่ยวกับการจัดซื้อทั่วไป ที่บริษัท ซ. จัดตั้งบริษัท วีอาร์โปรไวเดอร์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ซื้อมาขายไปอุปกรณ์สิ้นเปลืองในโรงงาน
ปัจจุบันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายให้แก่จำเลยที่ 2 (บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด) และบริษัท เมดิน่า แอนด์ ซัพพลาย จำกัด โดยไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือน แต่รับเป็นค่านายหน้าเกี่ยวกับการหาลูกค้าถุงมือยาง โดยตกลงกันที่ 5 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย
จำเลยที่ 8 ไม่เคยทำธุรกิจค้าขายถุงมือยางมาก่อน และไม่เคยทำอาชีพนายหน้ามาก่อน โดยเป็นนายหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นครั้งแรก
จำเลยที่ 9 (นางสาวกันตา สิงห์ศักติ) อายุ 45 ปี (ชื่อเล่น จ๋า) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ จากวิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ ปี 2540 รับราชการเป็นพยาบาลยศเรือตรีตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาล ส. ยศสุดท้าย คือ นาวาตรี ปัจจุบันประกอบอาชีพธุรกิจส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัด กันตาเทรดดิ้ง
จำเลยที่ 10 (นายอัยวัฏฐ์ เศวตนริทร์) อายุ 37 ปี (ชื่อเดิมคือนายการุณ ถีระวงษ์ ชื่อเล่น ตาล) จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 จาก กศน. จังหวัดนครนายก หลังจากจบการศึกษา จำเลยที่ 10 ทำงานรับจ้างทั่วไป (สตาฟ) ตามงานออแกไนเซอร์
ปัจจุบันประกอบอาชีพขายของออนไลน์ตามกระแสในช่วงนั้นๆ เช่น เครื่องฟอกอากาศ หน้ากาก PPE เป็นต้น โดยเป็นการขายในลักษณะเมื่อมีลูกค้าแล้วก็จะรับเงินมาเพื่อไปซื้อของจากผู้มีสินค้ามาให้อีกทอดหนึ่ง ซึ่งมีเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 2–3 หมื่นบาท
จำเลยที่ 10 ไม่เคยทำธุรกิจถุงมือยางและไม่มีความรู้ด้านถุงมือยาง จำเลยที่ 10 เริ่มเข้ามาทำธุรกิจด้านถุงมือยาง เนื่องจากประมาณกลางปี 2563 มีเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กได้โพสต์หาถุงมือยางจำนวนมาก จำเลยที่ 10 เกิดความสนใจและหาข้อมูลเกี่ยวกับถุงมือยางในอินเทอร์เน็ต
ประมาณเดือน พ.ค.2563 จำเลยที่ 10 พบจำเลยที่ 8 กับจำเลยที่ 9 เป็นครั้งแรก และพูดคุยกันทางเฟซบุ๊ก จึงทราบว่า จำเลยที่ 8 กับจำเลยที่ 9 รู้จักแหล่งผลิตถุงมือยาง จึงนัดเจอกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการทาธุรกิจถุงมือยาง
จำเลยที่ 10 เคยหาลูกค้าถุงมือยางให้แก่จำเลยที่ 8 กับจำเลยที่ 9 จำนวน 1 ราย โดยลูกค้าต้องการถุงมือยาง 1 ตู้คอนเทรนเนอร์ ประมาณ 14,000 กล่อง ราคากล่องละ 200 บาท รวมเป็นเงิน 2,800,000 บาท
จากนั้นเป็นต้นมา จึงตกลงกันว่า จะรวมทีมเพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับการเป็นนายหน้าซื้อขายถุงมือยาง แต่ไม่ได้จัดตั้งเป็นบริษัทและไม่มีสานักงานแต่อย่างใด
จำเลยที่ 11 (นางสาวสุภาวดี เอกรัตนากุล หรือ จักรบดินร์) อายุ 40 ปี (ชื่อเล่น ทราย) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขานิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อประมาณปี 2546 ระหว่างเรียนในช่วงปี 2544 จำเลยที่ 11 ประกอบอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์การตลาดบริษัทควบคู่ไปด้วย
ต่อมาปี 2546 จำเลยที่ 11 ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัท AWOL CO., LTD จากนั้นปี 2548 เป็นที่ปรึกษาการออกกาลังกายของบริษัท CALIFORNIA WOW XPERIENCE PLC ปี 2550 เป็นพนักงานขายของบริษัท TELEINFO MEDIC PLC ปี 2552 เป็นพนักงานขายให้แก่บริษัท BREWBERRY CO.,LTD
ปี 2554 เป็นผู้จัดการฝ่ายขายบริษัท HECTO TRADING CO.,LTD ปี 2556 เป็นผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของบริษัท ALL PROPERTY MEDIA CO.,LTD ปี 2557 เป็นผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัท ECMO TRADING (THAILAND) CO.,LTD ปี 2558 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายโฆษณาบริษัท BURDA THAILAND CO.,LTD จนถึงกลางปี 2558 จึงลาออกมาเป็นแม่บ้าน
จำเลยที่ 11 ไม่เคยทำธุรกิจค้าขายถุงมือยาง และไม่เคยประกอบอาชีพนายหน้าถุงมือยาง รวมทั้งไม่เคยทำสัญญากับองค์การคลังสินค้า แต่จำเลยที่ 11 เป็นผู้ชักชวนให้บริษัท ไทย สไมล์ เทรด จำกัด KRENEK LAW OFFICES, PLLC และ GALORE MANAGEMENT, LLC เป็นผู้ทำสัญญาซื้อถุงมือยางจากองค์การคลังสินค้า
จำเลยที่ 12 (นายชิเนนทรธรณ์ หรือ ชเนนทร เลิศพิพัฒน์) อายุ 40 ปี (ชื่อเล่น ชิหรือบิ๊ก) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาธุรกิจระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อประมาณปี 2550 ปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ หลักสูตรผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยบูรพา เมื่อปี 2552
เมื่อจบแล้วจำเลยที่ 12 ประกอบอาชีพทำธุรกิจขายตรงให้แก่บริษัท ยูนิลีเวอร์ โดยขายสินค้าประเภทสกินแคร์ ต่อมาประมาณปี 2558 จำเลยที่ 12 ประกอบอาชีพนายหน้าขายที่ดิน แต่ไม่ได้เป็นกิจจะลักษณะ และเริ่มทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพ
จำเลยที่ 12 ไม่เคยประกอบอาชีพทำธุรกิจค้าซื้อหรือขายถุงมือยาง ไม่เคยส่งออกสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งไม่เคยทำสัญญากับองค์การคลังสินค้าหรือส่วนราชการอื่น จำเลยที่ 12 เคยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศบ้างนานๆ ครั้ง
จำเลยที่ 13 (นายก้องหล้า มฤคพิทักษ์) อายุ 43 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ ENTREPRENEURSHIP/FINANCE จาก BABSON COLLEGE รัฐแมสซาชูเซตส์สหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณปี 2545 จากนั้นประมาณปี 2546 จำเลยที่ 13 เดินทางกลับประเทศไทย แล้วประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทประมาณ 2 ปี
หลังจากนั้นจำเลยที่ 13 จัดตั้งบริษัท ฟาร์โกล๊ป จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการผลิตสื่อและได้ประกอบกิจการประมาณ 5 ปี ต่อมาจัดตั้งบริษัท นววนา จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการค้าขายอุปกรณ์ทางการเกษตร มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท จำเลยที่ 13 เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งเป็นกรรมการผู้จัดการ และปัจจุบันยังดำเนินการอยู่
จำเลยที่ 13 ไม่เคยทำธุรกิจค้าขายถุงมือยางและไม่เคยประกอบอาชีพนายหน้า รวมทั้งไม่เคยทำสัญญากับองค์การคลังสินค้าแต่อย่างใด ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
จำเลยที่ 14 (นางเฟื่องฟ้า วงศ์สินศิริกุล) อายุ 69 ปี (ชื่อเล่น แมว) สำเร็จการศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) คณะบริหารธุรกิจ เอกการบัญชี จากวิทยาลัยพณิชยการพระนคร (พ.พ.) ถนนพิษณุโลก นางเลิ้ง กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
จำเลยที่ 14 เคยทำงานกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มีชื่อเสียงในอดีต คือ บริษัท เฟิสท์ทรัสต์ จากัด (First Trust) มีการเติบโตในหน้าที่การงานที่ดีและรวดเร็ว รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกตั๋วสัญญาใช้เงิน หัวหน้าแผนกทะเบียนเงินกู้ รองผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ รองผู้จัดการฝ่ายซื้อขายหลักทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจ
เคยทำงานให้แก่สถาบันอบรมมีชื่อเสียงในอดีต เช่น ศูนย์พัฒนาบุคลิกภาพ โดยดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม โดยมีความรู้และประสบการณ์การทำงานจากองค์กรต่างๆ ที่จำเลยที่ 14 ได้ทำงานมา ทำให้จำเลยที่ 14 มีความสามารถด้านการเจรจาติดต่อสื่อสารและมีประสบการณ์ในงานด้านการเงินและการบริหารจัดการธุรกิจ
จากนั้นจำเลยที่ 14 ออกมาช่วยดำเนินกิจการให้แก่บริษัทของสามี (นาย ส.) ชื่อบริษัท สามเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบธุรกิจนาเข้าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางทันตกรรม ทำการค้าขายกับทั้งหน่วยงานของรัฐ อาทิเช่น คณะทันตแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น จุฬาฯ, มหิดล, เชียงใหม่, ขอนแก่น, สงขลา และโรงพยาบาลต่างๆ ของรัฐ และเอกชน ปัจจุบันจำเลยที่ 14 ประกอบอาชีพเป็นนายหน้าและแม่บ้าน
จำเลยที่ 15 (นายอับดุลลา ปาทาน) อายุ 53 ปี เป็นบุคคลสัญชาติไทย จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาบริหารการจัดการ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี สาขาตาคลี จำเลยที่ 15 มีชื่ออยู่ในสาเนาทะเบียนบ้านเลขที่ ...หมู่ที่ ... ตำบลหนองหม้อ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มาตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.2546
โดยมีมารดาเป็นบุคคลสัญชาติไทย บิดาเป็นบุคคลสัญชาติปากีสถาน (ตามแบบรายการทะเบียนราษฎรเอกสารท้ายฟ้องในสานวนอันดับที่ 1/50)
อนุมานได้ว่าขณะเกิดเหตุคดีนี้ (ระหว่างต้นเดือน ก.ค.2563 ถึงเดือน ก.ย.2563) จำเลยที่ 15 อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาไม่น้อยกว่า 17 ปี ประกอบอาชีพค้าขายโค กระบือมาทั้งชีวิต โดยขายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศมาเลเซียบ้าง และเป็นผู้ชำนาญการของนาย อ. ส.ส.จังหวัดปัตตานี
จำเลยที่ 15 เคยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปยังหลายประเทศ คือ ฮ่องกง จีน กัมพูชา พม่า จำเลยที่ 15 ไม่เคยเดินทางไปนอกจากประเทศที่กล่าวมานี้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา จำเลยที่ 15 ไม่เคยทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศ จำเลยที่ 15 พูด เขียน อ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ โดยพูด เขียน อ่านได้เฉพาะภาษาไทยเท่านั้น
จำเลยที่ 16 (นายราชาทีปซิงห์ ยอน) อายุ 53 ปี (ชื่อเล่น ซันนี่) จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียน GHPS ประเทศอินเดีย ก่อนหน้านี้เคยประกอบอาชีพในนามส่วนตัวค้าขายสิ่งของหลายอย่าง เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเทศ ไม่ได้เปิดบริษัทหรือจัดตั้งนิติบุคคล และไม่เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับถุงมือยางมาก่อน
ปัจจุบันจำเลยที่ 16 ประกอบอาชีพรับจ้างตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายของร้าน PUNJAB STORE ซึ่งเป็นร้านค้าขายเครื่องเทศ จำเลยที่ 16 เคยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปยังหลายประเทศ คือ จีนเมื่อประมาณ 8 ปีก่อน อินเดียเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน สิงคโปร์เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน
มาเลเซียเมื่อประมาณ 7–8 ปีก่อน อเมริกาเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน โดยการไปอเมริกา เป็นการเดินทางไปยังแคลิฟอร์เนีย เนื่องจากบิดาของจำเลยที่ 16 เสียชีวิตและจำเลยที่ 16 อาศัยอยู่ประมาณ 1 เดือน จากนั้นจำเลยที่ 16 ก็ไม่เคยเดินทางไปอเมริกาอีกเลย
จำเลยที่ 16 เคยทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศบ้างในจำนวนเงินไม่มาก โดยเป็นการส่งเงินค่าเทอมไปให้ลูกชายที่อินเดียประมาณ 200,000 บาท แต่ในการดำเนินธุรกิจหรือค้าขาย จำเลยที่ 16 ไม่เคยมีการโอนเงินหรือรับโอนเงินแต่อย่างใด
จำเลยที่ 16 เกิดและโตที่ประเทศไทย พูด อ่านภาษาไทยได้บ้าง แต่เขียนไม่ได้ นอกจากนี้ จำเลยที่ 16 ยังพูด เขียน อ่านภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี และพูด อ่าน เขียนภาษาอินเดียได้ด้วย
จำเลยที่ 16 ไม่เคยทำธุรกิจหรือทำสัญญาใด ๆ กับองค์การคลังสินค้าหรือหน่วยงานราชการแห่งใดมาก่อน
จำเลยที่ 17 (นางฉันทิศา หวง) อายุ 40 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียน WEN ZHONG มณฑล HAINAN ประเทศจีน จำเลยที่ 17 เคยถือสัญชาติจีน และแปลงสัญชาติไทย เมื่อประมาณปี 2548 โดยจำเลยที่ 17 อยู่เมืองไทยมาประมาณ 20 กว่าปีแล้ว สามารถฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาไทยได้
จำเลยที่ 17 ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว โดยเป็นกรรมการของ 2 บริษัท คือ 1.บริษัท ไทย จินเซียง เทรด จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อประมาณปี 2560 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการประมูลเพื่อรับจ้างทำของเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกปุ๋ยตามวัตถุประสงค์ทั้งหมดให้แก่บุคคลภายนอก คณะบุคคล นิติบุคคล ส่วนราชการ โดยผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท คือ จำเลยที่ 17 และประทับตราสำคัญของบริษัท
และ 2.บริษัท ไทย สไมล์ เทรด จำกัด หรือจำเลยที่ 18 ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อประมาณปี 2560 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการผลิต จำหน่าย ขายปลีก ส่ง นำเข้า ส่งออกทุเรียนอบแห้ง มะม่วงอบแห้ง โดยผู้มีอานาจลงนามผูกพันบริษัท คือ จำเลยที่ 17 และประทับตราสำคัญของบริษัท ซึ่งทั้ง 2 บริษัทใช้เงินทุนของจำเลยที่ 17 ในการจัดตั้ง
นอกจากนี้ จำเลยที่ 17 กำลังร่วมกับเพื่อน จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท POWER AND HEALTH CO.,LTD โดยให้เพื่อนเป็นผู้ดำเนินการ
จำเลยที่ 19 (ร้อยตารวจเอกนพฤทธิ์ หรือณรภัทร สุขแจ่ม) อายุ 34 ปี (ชื่อเล่น เนส) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ประมาณปี 2553 จบการศึกษาโรงเรียนนายสิบตำรวจ กองกำกับการ 7 กองบังคับการฝึกพิเศษ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน วันที่ 30 เม.ย.2560 และใบประกาศนียบัตรผ่านการอบรมภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียว เมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีนในปี 2558
ปัจจุบันจำเลยที่ 19 รับราชการตำรวจ ตำแหน่ง รองสารวัตรฝ่ายทะเบียนประวัติอาชญากร 4 กองทะเบียนประวัติอาชญากร
จำเลยที่ 19 ประกอบอาชีพเสริมโดยการเปิดบริษัท ทองสุขกรุ๊ป จำกัด มีวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจค้ามูลไส้เดือนส่งทั่วประเทศ มีเงินทุนหมุนเวียน 4-5 แสนบาท มีแฟนของจำเลยที่19 ชื่อ นางสาว ก. เป็นกรรมการเพียงผู้เดียว
จำเลยที่ 19 ไม่เคยประกอบอาชีพค้าขายถุงมือยาง ไม่เคยทำธุรกิจระหว่างประเทศ ไม่เคยโอนเงินระหว่างประเทศ มีแต่เพียงการรับโอนเงินนานๆ ครั้ง จำนวนไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท จำเลยที่ 19 ไม่เคยทำสัญญากับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การคลังสินค้า และไม่ทราบว่าองค์การคลังสินค้าทำหน้าที่หรือประกอบกิจการใด
จำเลยที่ 20 (นางนรากร รมศรี) อายุ 51 ปี (ชื่อเล่น น้อย) หลังจากจบการศึกษา จำเลยที่ 20 ประกอบอาชีพพนักงานบริษัท เอราวัณ เคมีคอล จำกัด ฝ่ายขายเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบทางด้านอาหารมาโดยตลอด หลังจากนั้นจำเลยที่ 20 ได้จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด อรญาฟูด โดยมีวัตถุประสงค์ในการค้าขายอาหารมีเงินทุนหมุนเวียนไม่เกิน 1 ล้านบาท
ก่อนปี 2563 จำเลยที่ 20 ไม่เคยประกอบอาชีพนายหน้าค้าขายถุงมือยาง และไม่เคยทำการค้าขายกับหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ไม่เคยทำธุรกิจระหว่างประเทศ และไม่เคยทำการโอนเงินระหว่างประเทศมาก่อน
จำเลยที่ 20 รู้จักจำเลยที่ 21 เมื่อประมาณต้นปี 2563 โดยการแนะนาของคุณเจี๊ยบ (ไม่ทราบนามสกุล เคยทำงานร่วมกันที่บริษัทเอราวัณ เคมีคอล จำกัด) ซึ่งคุณเจี๊ยบ ถามจำเลยที่ 20 ว่า สนใจเป็นนายหน้าขายถุงมือยางหรือไม่ จำเลยที่ 20 ตอบว่าสนใจ และคุณเจี๊ยบส่งเบอร์โทรศัพท์จำเลยที่ 21 เพื่อให้จำเลยที่ 20 โทรสอบถาม
จำเลยที่ 21 แจ้งจำเลยที่ 20 ว่า ต้องการถุงมือยางประมาณ 10,000 คู่ หรือ 200 กล่อง กล่องละ 230 บาท จำเลยที่ 20 จึงสอบถามไปยังคุณหมวย (ไม่ทราบนามสกุล) ซึ่งมีโควต้าสินค้ายี่ห้อด๊อกเตอร์บู และจำเลยที่ 20 นำตัวอย่างถุงมือยางประมาณ 4-5 คู่ ไปให้จำเลยที่ 21 ดูที่ร้านแมคโดนัล แถวบีทีเอสอ่อนนุช
โดยจำเลยที่ 21 ก็นำตัวอย่างจากจำเลยที่ 20 ไปให้ลูกค้าดูอีกทอดหนึ่ง หลังจากนั้น จำเลยที่ 21 แจ้งจำเลยที่ 20 ว่า ลูกค้าไม่ต้องการ จึงไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น
จำเลยที่ 21 (นางปณาลี บุรณศิริ) อายุ 49 ปี (ชื่อเล่น หมู) ปัจจุบันทางานอยู่ที่บริษัท เอสวีแอล คอร์ปอเรชั่น จากัด ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารเอสวีแอลเฮ้าส์ ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารขององค์การ
เหล่านี้เป็นความเห็นแย้งในคดี 'ถุงมือยาง' ของ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ซึ่งจะเห็นได้ว่า จำเลยในคดีนี้ส่วนใหญ่ไม่เคยประกอบอาชีพเป็น ‘นายหน้า’ ค้าขายถุงมือยางมาก่อน หรือเคยทำธุรกิจระหว่างประเทศเลย แต่กลับเข้ามาเกี่ยวข้องกับการซื้อขาย ‘ถุงมือยาง’ มูลค่าสูงถึง 1 แสนล้านบาท!
อ่านประกอบ :
- ฉบับเต็ม! ยกฟ้องคดี‘ถุงมือยาง’ ไม่ปรากฏใช้‘ดุลพินิจ’ทำเสียหาย-มัดจำ 2 พันล.ไม่เสียเปรียบ
- ฉบับเต็ม! อธิบดีผู้พิพากษาเห็นแย้งยกฟ้อง! 'รุ่งโรจน์-พวก 21 คน' คดีซื้อถุงมือยาง 2 พันล.
- ยกฟ้อง! 'รุ่งโรจน์-พวก 21 คน' คดีซื้อถุงมือยางอคส. 2 พันล.-อธิบดีผู้พิพากษา เห็นแย้ง
- เพิ่งจัดตั้ง 2 ด.เศษ! เปิดตัว บ.คู่สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล.-พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ยันทำถูกต้อง
- โชว์ครบ 4 หน้า! สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล้าน-ข้อสังเกตหลักประกัน 200 ล.-ลูกค้าปริศนา?
- แกะรอยเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียนโกลฟส์ งวดแรก อยู่ที่ไหน?
- โพรไฟล์ชีวิต ‘พ.ต.อ.รุ่งโรจน์’ ผู้ลงนามสัญญาซื้อขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- แฉเหตุ 'รุ่งโรจน์' กล้าทำสัญญาขายถุงมือยางแสนล.! มีบอร์ดอคส.-นักการเมือง ปชป.ดีลลูกค้าให้
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' เบื้องลึก บ.ขายถุงมือยาง อคส.แสนล.-1 ในผู้บริหารเคยโดนแจ้งความคดีฉ้อโกง?
- พบเป็นโกดังเก็บสินค้าย่านนครปฐม! เผยโฉม บ.การ์เดียนโกลฟส์ฯ คู่สัญญาถุงมือยาง อคส.แสนล.
- เปิดตัว คุณเอ็ม 'ธณรัสย์ หัดศรี' เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- ภาพชุด 2! เปิดตัว 'คุณเอ็ม' เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส.แสนล.
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ': เปิด 7 เอกชน จองซื้อถุงมือยาง อคส.แสนล.-บ.K สั่งล็อตใหญ่ 500 ล้านกล่อง
- MR.Abdullah Pathan ตัวแทนลอว์เฟิร์มในสหรัฐฯ สั่งซื้อถุงมือยางแสนล.มีตัวตนจริงหรือไม่?
- บ้าน 2 ชั้นย่านอุดมสุข! เปิดตัวบ.เคเค.ออยล์ ลูกค้ารายที่ 2 สั่งซื้อถุงมือยาง 1.1 หมื่นล.
- คนชื่อแอร์แนะนำ! ผู้บริหารบ.เคเคออยล์ฯ แจงทำสัญญาซื้อถุงมือยาง 1.1หมื่นล.-มีลูกค้าจริง
- รุ่นพี่ชื่อ'จ๋า'แนะนำ! เปิดตัวบ.ถนอมผลไม้ ลูกค้าอคส.รายที่ 3 ซื้อถุงมือยาง 1.1 หมื่นล.
- รายที่4! เปิดตัว Galore ลูกค้า อคส. ซื้อถุงมือยาง2.2หมื่นล.-อยู่ฟลอริดา โชว์รายได้ 2 ล.
- เจอแล้ว! บ.รายที่ 5 ซื้อถุงมือยาง2.1 หมื่นล.-แจ้งงบฯขาดทุน1.2 หมื่น-ยันมีลูกค้าตปท.จริง
- ตามไปดู บ.รายที่ 6 ซื้อถุงมือยาง อคส.2.5 พันล. พบเป็นที่ตั้งลอว์เฟิร์มย่านรัชดา
- ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง! ตัวแทน บ.ควีนฯ แจงเหตุสั่งซื้อถุงมือยาง 2.5 พันล.-คนใน.อคส.ชักชวน
- เปิดตัว บ.รายที่ 7 ซื้อถุงมือยาง 2.5 พันล.-โอดเดือดร้อน ส่งของ รบ.ท้องถิ่นแคนาดาไม่ทัน
- ล็อกเป้า 3 บ.จุดเริ่มต้นคดีถุงมือยางแสนล.! อคส.รอ DSI สอบปากคำจบตามเงินคืน 1.8 พันล.
- โชว์ใบฝากเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียนฯ-เข้าบช.กสิกรไทย บิ๊กซีนครปฐม
- เปิดเส้นทางเงิน 2 พันล.! อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง บ.การ์เดียน- ณ 15 ก.ย. เหลือยอดแค่ 858 ล.
- เผยโฉมบัญชี บ.การ์เดียนฯ รับเงิน อคส.จ่ายค่าถุงมือยาง 2 พันล.-ก่อน ป.ป.ช.สั่งอายัด
- แฉบ.การ์เดียนฯ ชิงถอนเงินเกือบหมด! หลังสื่อตีข่าว ป.ป.ช. สั่งอายัดบัญชีถุงมือยาง 2 พันล.
- ไม่เคยให้เงินใต้โต๊ะกับใคร! เปิดคำชี้แจง เจ้าของบ.การ์เดียนโกลฟส์ ปมขายถุงมือยางแสนล้าน
- ต้องเอาเงินคืน!'จุรินทร์'ตอบปม อคส.ซื้อถุงมือยางแสนล้าน-ป.ป.ช.ระงับบัญชีแล้วบางส่วน
- เบื้องลึก 'จุรินทร์' สั่งตามเงินคืน 2 พันล.! อคส.คุ้ยหลักฐานตปท.พิสูจน์MOUซื้อถุงมือยางแสนล.
- ขมวดปม (1) ข้อสังเกตสร้างนิติกรรมสัญญา? เปิดโอกาสจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน
- โชว์ครบ 3 หน้า แปลไทยแล้ว! สัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล. 'อคส.-ลอว์เฟิร์มสหรัฐฯ'
- ผู้บริหารโดนคดีฉ้อโกงค่าอาหารที่พัก! ขมวดปม (2) ข้อมูลลับ 'การ์เดียนโกลฟส์'ในมือ อคส.
- ขมวดปม (3) ข้อสังเกตสัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล. 'อคส.-การ์เดียนโกลฟส์' เอื้อปย.เอกชน
- เปิดที่มาเงิน 2 พันล. อคส. จ่ายค่าถุงมือยาง 'ถอนจากบัญชีฝากประจำ' ไม่ขออนุญาตก.คลัง?
- เปิดคำให้การ! เบื้องหลังมติถอนเงินบัญชีฝากประจำจ่ายถุงมือยาง 2 พันล.-ไม่ผ่านบอร์ด อคส.?
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' : 9 เงื่อนปม ป.ป.ช.ลุยสอบ อคส. ทำสัญญาจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน
- สภาระอุ! หลักฐาน-คำชี้แจง'ประเสริฐ-จุรินทร์' ปมจัดซื้อถุงมือยาง
- รอ ป.ป.ช.ชี้ขาดดีกว่า! 'รุ่งโรจน์' เมิน อคส.ชงผลสอบถุงมือยางแสนล.ให้ 'จุรินทร์'
- ยังเปิดกิจการอยู่! โชว์ภาพล่าสุด บ.การ์เดียนโกลฟส์ คู่สัญญาขายถุงมือยาง อคส. แสนล.
- ให้ปากคำ ป.ป.ช.แล้ว! ความเคลื่อนไหวล่าสุด บ.การ์เดียนฯ ขายถุงมือยางแสนล.
- แฟ้มลับคดีถุงมือยางแสนล.(1) เปิดคำให้การ บ.การ์เดียนฯ จนท. 'ก.' มาดีลงานถึงที่
- โวย อคส.ชวนมาซื้อแต่โดนคดีทุจริต! อนุฯ ป.ป.ช.แจ้งข้อหา จนท.รัฐ-เอกชนปมถุงมือยางแสนล.
- ลับสุดยอด! ภาพชุด จนท.อคส. เปิดคลังรับสินค้า บ.การ์เดียนฯ จุดเริ่มต้นคดีถุงมือยางแสนล.
- รีวิวครั้งแรก! เผยโฉมถุงมือยางแสนล้าน อคส.ทำสัญญาซื้อ บ.การ์เดียนฯ - ใครผลิต?
- เบื้องหลัง! ภาพชุดเปิดคลังรับสินค้าถุงมือยางแสนล.- บิ๊ก อคส. สั่งจัดฉากโชว์ของตัวอย่าง?
- คู่สัญญาถุงมือยางแสนล. 'อคส.' เปลี่ยนชื่อใหม่ - ออกสื่อPR.ข่าวแผนธุรกิจงานหมื่นตำแหน่ง
- อคส. หัก บ.การ์เดียนฯ สั่งคืนถุงมือยางแสนล.! ‘อิศรา’ บุกคลังสินค้าขอดูของ จนท.ไม่ให้
- ขอริบเงิน 2,000 ล.! บ.การ์เดียนฯ โต้กลับ อคส. ชิงบอกเลิกสัญญาถุงมือยางแสนล้าน
- หลักฐานใหม่ 'ศรีตรัง-ซันไทย' ไม่รู้เรื่องถูกใช้เอกสารแนบทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางแสนล.
- เจาะผลสอบถุงมือยางแสนล.(1) เริ่มต้นห้อง บิ๊ก อคส.-นาย อ.จัดให้คำสั่งซื้อลอว์เฟิร์มสหรัฐ
- เจาะผลสอบถุงมือยางแสนล.(2) บทบาทผู้บริหาร อคส.ปริศนา สั่งหาช่องทำสัญญา-จ่ายเงินสองพันล.
- ถ้าบอกทุจริตจะสู้หัวชนฝา! ป.ป.ช. เรียก รุ่งโรจน์ แจ้งข้อกล่าวหาถุงมือยางแสนล. 28 พ.ค.
- เผยหนังสือลับคดีถุงมือยางแสนล.! อนุฯ ไต่สวน ป.ป.ช. แจ้งขอหลักฐานแต่งตั้ง ปธ.บอร์ด อคส.
- กลับไปใช้ชื่อเก่า! บ.การ์เดียนฯ ถุงมือแสนล. อคส.แจ้งเปลี่ยนรอบ2-ยังไม่โชว์งบการเงิน
- พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ยื่นหนังสือลาออกแต่โดนเบรก - ขอแสดงความรับผิดชอบถุงมือยางแสนล.!
- กางระเบียบ อคส.! ทางเดียว 'รุ่งโรจน์' ลาออกได้ ต้องเป็น 'ผู้บริสุทธิ์' คดีถุงมือยางแสนล.
- ขีดเส้น 'รุ่งโรจน์' ให้ปากคำสอบวินัยร้ายแรงถุงมือยาง-ถ้าโดนไล่ออกเจอฟ้องคืนเงินด.หลักล้าน!
- ระทึก! บอร์ด อคส. ทั้งคณะ จ่อโดนสอบความรับผิดทางละเมิดคดีถุงมือยางแสนล้าน
- สรุปผลสอบคดีละเมิดถุงมือยาง โดนชี้ 7 ราย 'สุชาติ-รุ่งโรจน์-เกียรติขจร-มูรธาธร-จนท.อีก 3'
- พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ : The Last Dance ท่าที-แนวทางต่อสู้ คดีถุงมือยางแสนล.
- 'จุรินทร์'เผยผลสอบ กก.ลงโทษทางวินัยร้ายแรงไล่ออกราชการ 3 คนเอี่ยวคดีถุงมือยาง
- เป็นทางการ! บอร์ด อคส. ลงมติไล่ออก 'รุ่งโรจน์-เกียรติขจร -มูรธาธร' คดีถุงมือยางแสนล.
- 'เอ็กซ์คลูซีฟ' เปิดสำนวน คกก.วินัยร้ายแรง มติเอกฉันท์ไล่ออก 'รุ่งโรจน์-พวก' คดีถุงมือยาง
- โชว์คำสั่งไล่ออก จนท.อคส.คดีถุงมือยางแสนล.-กรณี 'รุ่งโรจน์' แจ้งปลัดสำนักนายกฯ แล้ว
- ไต่สวนคดีถุงมือยาง อคส. แสน ล.เสร็จแล้ว! เตรียมส่ง กก.ป.ป.ช.ชี้ขาด
- มีชื่อบิ๊กในบอร์ด อคส.ด้วย! ป.ป.ช.ขีดเส้นสรุปสำนวนไต่สวนคดีถุงมือยางแสนล.ก่อนสิ้นปีนี้
- รัฐมนตรีไม่โดน! ป.ป.ช.ชี้มูลคดีจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน อคส.-มีผู้ถูกกล่าวหา 21 คน
- โดนจริง 22 คน! เจาะมติป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยางอคส.-'มูรธาธร' มือจ่ายเช็ค2พันล.รอดอาญา
- ได้มาแล้ว! เปิดครบ 22 ชื่อผู้ถูกกล่าวหา คดีถุงมือยาง 'รุ่งโรจน์-สุชาติ-ธณรัสย์' โดนหมด
- ยังไม่เลิกกิจการ! ข้อมูลล่าสุด บ.ถนอมผลไม้ถูกชี้มูลคดีถุงมือยาง เจ้าของออเดอร์1.1หมื่นล.
- พร้อมสู้! 'รุ่งโรจน์-ธณรัสย์' แจงถูก ป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยาง ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม
- ข้อมูลใหม่! มติ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยาง อคส. ขอให้ริบทรัพย์เงิน 550 ล.-ที่ดิน 33 ไร่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา